ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 222-1 พูดคุยเปิดอก
เป็นเพียงสหายกัน?
คำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียว ก็ชัดเจนว่าสวีชิงเฉินปฎิเสธ เยี่ยหลีทำได้เพียงลอบถอนใจด้วยความเสียดายเท่านั้น ดูท่าพี่ใหญ่กับองค์หญิงอันซีคงไม่มีวาสนาต่อกันจริงๆ
เยี่ยหลีโยนตัวหมากในมือลง มองสวีชิงเฉินพร้อมเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น หลีเอ๋อร์ไม่พูดเรื่องนี้กับพี่ใหญ่แล้ว เพียงแต่…หากพี่ใหญ่ไม่มีความคิดเรื่องนี้เลย พูดกับองค์หญิงอันซีให้ชัดเจนเลยจะดีกว่า”
สวีชิงเฉินพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว หลีเอ๋อร์ยังอยากพูดอันใดอีกหรือไม่”
เยี่ยหลีมองสวีชิงเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่กับท่านลุงยังมีความกังวลอันใดเรื่องท่านอ๋องและตำหนักติ้งอ๋องหรือไม่เจ้าคะ”
สวีชิงเฉินอึ้งไป วางหมากในมือลงเช่นกัน หันมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามว่า “เหตุใดหลีเอ๋อร์ถึงคิดเช่นนี้”
เยี่ยหลียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “พี่ใหญ่ หลีเอ๋อร์เองก็ถือว่าเติบโตมาในบ้านตระกูลสวี สิ่งที่ท่านลุงใหญ่กับพี่ใหญ่สั่งสอนเยี่ยหลีมาเมื่อยามเป็นเด็ก หลีเอ๋อร์มิกล้าลืม พี่ใหญ่กับท่านลุงใหญ่ล้วนเป็นคนมีความสามารถที่ผ่านโลกมามาก ในโลกนี้จะขอให้มีเช่นพวกท่านสักคนหนึ่งยังยาก แต่ตระกูลสวีกลับโชคดีที่มีพวกท่านถึงสองคน ช่วงนี้เรื่องทั้งหลายในซีเป่ยล้วนต้องลำบากพี่ใหญ่กับท่านลุง เพียงแต่…ด้วยความสามารถของท่านลุงและพี่ใหญ่ พวกท่านมิได้จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้กระมัง”
สวีชิงเฉินหลุบตาลง เอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “เป็นสิ่งที่ติ้งอ๋องคิดหรือ?”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “เรื่องที่เยี่ยหลียังดูออก มีหรือท่านอ๋องจะดูไม่ออก เพียงแต่เขามิได้พูดอันใด ที่พี่ใหญ่กับท่านลุงเก็บคมไว้ในฝักเช่นนี้ เป็นเพราะไม่วางใจในตำหนักติ้งอ๋องหรือเจ้าคะ”
สวีชิงเฉินนิ่งไปครู่หนี่ง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “มิได้ เพียงแต่เริ่มรู้สึกเหนื่อยก็เท่านั้น”
“เหนื่อย?” เยี่ยหลีไม่เข้าใจ
สวีชิงเฉินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลีเอ๋อร์ ไม่ว่าหลายปีมานี้ตระกูลสวีจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพียงใด แต่ชื่อเสียงที่ว่าตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจวเป็นผู้นำแห่งบัณฑิตก็มีมาหลายร้อยปีแล้ว ตระกูลสวีอยู่มาแล้วสองราชวงศ์ แต่ยังคงยืนหยัดได้โดยไม่ล้ม ก็ด้วยเพราะคนตระกูลสวีหลายต่อหลายรุ่นที่ต่อสู้อย่างห้าวหาญเพื่อให้ได้มา ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว…หากตระกูลสวีไม่ต้องการให้ลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปเป็นเหมือนเช่นพวกเรา เช่นนั้น…การให้ชื่อเสียงตระกูลสวีค่อยๆ หายไปก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
เยี่ยหลีก้มหน้าลง “พี่ใหญ่ไม่เชื่อใจหลีเอ๋อร์หรือ”
สวีชิงเฉินส่ายหน้า “มิใช่เลย มิใช่ว่าพี่ไม่เชื่อใจเจ้า และมิใช่ว่าพี่ไม่เชื่อใจติ้งอ๋อง แต่หลังจากนี้เจ้ากับติ้งอ๋องจะเป็นเช่นไร ลูกหลานของพวกเจ้ารุ่นต่อๆ จะทำเช่นไรกับตระกูลสวีหากตระกูลสวีอยู่ไปได้ถึงสามราชวงศ์ ซ้ำยังช่วยให้คนได้ขึ้นนั่งบรรลังก์มังกรถึงสองราชวงศ์ ตระกูลเช่นนี้ผู้ใดเลยจะไว้ใจได้ และจะมีผู้ใดที่ไม่นึกระแวงสงสัย ในยามนั้นปฐมฮ่องเต้กับติ้งอ๋องรุ่นแรก มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องลึกซึ้งเพียงใด พอมายามนี้ผลสุดท้ายกลายเป็นเช่นไร”
“พี่ใหญ่…” เยี่ยหลีถอนใจ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจุดที่ตระกูลสวีเป็นอยู่นั้นยากลำบาก เมื่อใดก็ตามที่กองทัพตระกูลม่อได้ปกครองใต้หล้าขึ้นมาจริง หรือแม้กระทั่งสุดท้าย ได้ขึ้นเป็นราชวงศ์แห่งจงหยวนจริง เช่นนี้ตระกูลสวีก็จะกลายเป็นตระกูลที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ที่สุดในการช่วยก่อตั้งแคว้น ตระกูลที่ผ่านมาแล้วถึงสามราชวงศ์ แต่ยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ตระกูลที่ทรยศราชวงศ์ก่อนและช่วยพยุงต้าฉู่ให้ลุกขึ้น แล้วต่อมาก็ทรยศต้าฉู่ช่วยพยุงตระกูลติ้งอ๋องให้ลุกขึ้น ต่อให้มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้นำบัณฑิตแห่งใต้หล้า ก็มิอาจลบล้างความเคลือบแคลงสงสัยของคนในใต้หล้าและผู้ที่เป็นประมุขไปได้
สวีชิงเฉินอมยิ้มมองนาง แล้วจึงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หลีเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวลไป ตระกูลสวีจะยังคงอยู่ที่ซีเป่ยคอยช่วยสนับสนุนติ้งอ๋องจนกว่าติ้งอ๋องจะไม่ต้องการแล้ว”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่หมายถึงการเป็นที่ปรึกษาหรือ”
“ถูกต้อง” สวีชิงเฉินอมยิ้มพร้อมพยักหน้า
“ไม่ได้!” เยี่ยหลีปฏิเสธโดยทันที “พี่ใหญ่ก็รู้ว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในการก่อตั้งราชวงศ์นั้นไม่มีทางมีจุดจบที่ดีได้”
ที่เรียกว่าที่ปรึกษานั้น ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ การลอบช่วยเหลือผู้เป็นประมุขคิดวางแผนกลอุบายต่างๆ และด้วยเพราะรู้เรื่องที่เป็นความลับมากเกินไป จึงมักเป็นคนที่ถูกกำจัดเมื่อบรรลุผลตามเป้าหมายแล้ว ไม่ว่าคนในตำแหน่งข้างกายประมุขผู้นั้นจะเป็นขุนนางสายบุ๋นหรือแม่ทัพสายบู้ อย่างไรก็มิอาจมีความรู้สึกที่ดีต่อคนประเภทนี้ไปได้ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งถูกสงสัยมาก ยิ่งไร้ความสามารถมาก ก็ยิ่งถูกทอดทิ้ง หากต้องให้พี่ใหญ่และท่านลุงอยู่ในฐานะเช่นนี้ เยี่ยหลียอมให้พวกเขาถอยไปหลบอยู่ในป่าไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องโลกภายนอกเสียตั้งแต่บัดนี้ยังจะดีเสียกว่า
สวีชิงเฉินยิ้มพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “หลีเอ๋อร์คิดว่าติ้งอ๋องเป็นคนเก็บธนูเมื่อนกหมดอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยด้วยความหนักแน่นว่า “อย่างไรก็ไม่ได้! พี่ใหญ่ หากท่านกับท่านลุงเชื่อใจหลีเอ๋อร์ ก็โปรดอยู่ที่ซีเป่ยด้วยความสบายใจ ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไร หลีเอ๋อร์ยินดีใช้ชีวิตเป็นหลักประกันว่า เมื่อมีปีที่รุ่งเรือง ก็จะให้ตระกูลสวีได้ถอยออกไปอย่างปลอดภัยอย่างแน่นอน หากพี่ใหญ่และท่านลุงไม่เชื่อ หลีเอ๋อร์ก็จะไปขอร้องท่านอ๋อง ให้ตระกูลสวีถอยออกไปเงียบๆ”
“หลีเอ๋อร์”
เยี่ยหลีส่ายหน้า มองสวีชิงเฉินด้วยตาเป็นประกายวาววับ “หลีเอ๋อร์รู้ดีว่า พี่ใหญ่กับท่านลุงกำลังคิดเช่นนี้เพื่อหลีเอ๋อร์ หากท่านอ๋องพึ่งพาตระกูลสวีมากเกินไป ขุนนางเก่าแก่ของตำหนักติ้งอ๋องก็จะไม่พอใจในตัวหลีเอ๋อร์ เพียงแต่ หลีเอ๋อร์ก็มิอาจให้ท่านลุงและพี่ใหญ่ต้องแบกรับความทุกข์ใจเช่นนั้นได้ พี่ใหญ่กับท่านลุงเป็นอัจฉริยะบุคคลที่มีความสามารถในการปกครอง มิอาจให้หลบอยู่ในมุมมืดเพื่อวางกลอุบายได้”
“อาหลีพูดได้ดี” สวีชิงเฉินยังไม่ทันได้ตอบอันใด ก็มีเสียงม่อซิวเหยาที่เอ่ยอย่างเห็นด้วยดังลอยมาจากทางด้านหลัง เมื่อทั้งสองหันไปก็เห็นม่อซิวเหยากำลังค่อยๆ เดินเข้ามา ผมสีขาวที่ปรกอยู่ข้างตัวปลิวขึ้นเล็กน้อย
สวีชิงเฉินกำลังจะลุกยืนขึ้น ม่อซิวเหยาก็เดินมาถึงตัวพร้อมกดเขาให้นั่งลงที่เดิมพร้อมเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่คิดว่าอาหลีกับพี่ใหญ่จะมานั่งพูดคุยกันอยู่ที่นี่ ข้าเองก็อยากคุยกับพี่ใหญ่อยู่พอดี ขอร่วมวงด้วยเลยก็แล้วกัน พี่ใหญ่คงไม่ว่าอันใดกระมัง”
ที่ม่อซิวเหยาเรียกตนว่าพี่ใหญ่ติดๆ กันหลายครั้ง ทำให้สวีชิงเฉินอดกระตุกมุมปากขึ้นไม่ได้ คราแรกให้ตายอย่างไรม่อซิวเหยาก็ไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่ใหญ่
สวีชิงเฉินเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เชิญนั่งเถิด”
ม่อซิวเหยานั่งลงข้างกายเยี่ยหลี มองสวีชิงเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามิอาจรับประกันได้ว่าตระกูลสวีจะรุ่งเรื่องไปอีกร้อยปี แต่ก็เป็นเช่นที่อาหลีว่า หากข้าได้ขึ้นเป็นใหญ่ ก็รับประกันว่าตระกูลสวีทั้งหมดจะได้ถอยออกไปอย่างปลอดภัย ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะเชื่อหรือไม่”
สวีชิงเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้เงยหน้าขึ้นยิ้ม “คำพูดของท่านอ๋องนั้นหนักแน่นนัก ข้าจะไม่เชื่อได้อย่างไร เพียงแต่ที่เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เช่นนี้ เลิกเสียเถิด ท่านอ๋องเรียกข้าด้วยชื่อก็พอแล้ว”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว
สวีชิงเฉินยิ้มพร้อมส่ายหน้า “การแบ่งแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะกับท่านอ๋อง หลีเอ๋อร์ หรือว่าตระกูลสวีก็ถือเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น”
ม่อซิวเหยาเข้าใจความหมายของสวีชิงเฉินโดยทันที พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าขอใช้ชาแทนสุรา คารวะคุณชายชิงเฉิน”
“ขอบพระคุณ”