ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 225-1 จากซื่อจื่อกลายเป็นโจรปล้นสุสาน
“เรียนท่านอ๋อง แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ภายในที่พักทูตเมืองหลี ผู้ติดตามเคาะประตูห้องเจิ้นหนานอ๋องด้วยความตื่นตระหนก ไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
เจิ้นหนานอ๋องยืนจ้องผู้ติดตามที่มีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยถามเสียงเย็นว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ผู้ติดตามหอบหายใจ เอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “ซื่อจื่อ! เกิดเรื่องกับซื่อจื่อ…ซื่อจื่อถูกคนของตำหนักติ้งอ๋องจับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องใจหนักอึ้งขึ้นทันที คนพวกนั้นไม่มีทางยิงธนูอย่างไร้เป้าหมายแน่นอน แต่สองวันนี้กลับไม่ได้ยินข่าวว่าเมืองหลีหรือละแวกเมืองหลีมีการเคลื่อนพลของทหารเลยนี่ เหตุใดเถิงเฟิงถึงได้…
“ยังมีอันใดอีก พูดออกมาให้หมด!” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยเสียงขรึม
ผู้ติดตามรีบเอ่ยต่อว่า “คนที่ติดตามซื่อจื่อไปทั้งหมดล้วนขาดการติดต่อ ได้ยินว่าวันนี้ยามเช้า ชายาติ้งอ๋องจับคนกลุ่มหนึ่งกลับมาที่ตำหนักด้วยตนเอง คนที่กลับมารายงานบอกว่าเขาเห็นซื่อจื่อ รัชทายาทและองค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรง และหลีอ๋องแห่งตงฉู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วคมของเจิ้นหนานอ๋องขมวดเข้าหากันมุ่น “จับคนไปจำนวนมากเพียงนั้นเชียวหรือ ตำหนักติ้งอ๋องคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
จะว่าตำหนักติ้งอ๋องคิดอยากเปิดศึกกับแต่ละแคว้น เจิ้นหนานอ๋องไม่มีวันเชื่อ เรื่องอื่นคงไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงกองทัพตระกูลม่อที่ต่อให้เก่งกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางต้านทัพของทั้งสามแคว้นหากร่วมมือโจมตีพร้อมๆ กันได้
ในขณะที่กำลังคิดใคร่ครวญถึงเป้าหมายของการกระทำในครั้งนี้ ก็มีคนเดินนำเทียบเชิญฉบับหนึ่งเข้ามา “ท่านอ๋อง ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋องเชิญท่านอ๋องไปพบที่ตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องรับเทียบเชิญมา เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้แล้ว ออกไปเถิด”
เมื่อคนที่นำจดหมายมาส่งออกไปแล้ว ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ก็เอ่ยปากถามด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านอ๋อง พวกเราจะไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องเปิดเทียบเชิญที่เขียนด้วยลายมือที่สง่างามและดูมีบารมี แล้วยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยว่า “เถิงเฟิงอยู่ในมือพวกเขา จะไม่ไปได้หรือ”
ในตำหนักติ้งอ๋อง หานหมิงซีกำลังบ่นโอดครวญกับเยี่ยหลีถึงเรื่องที่ตนต้องประสบพบเจอมาเมื่อวานด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
เยี่ยหลีอมยิ้มมองท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงของเขาแล้วเอ่ยว่า “หมิงซี เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น ข้าขอโทษเจ้าแทนพวกเขายังไม่พอหรือ”
หานหมิงซีปรายตามองม่อซิวเหยาที่นั่งจิบชาด้วยท่าทีเรียบเรื่อย เขาส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนบ่นกระปอดกระแปดว่า “เข้าใจผิดอันใดกัน! ชัดๆ อยู่ว่ามีคนคิดอยากคิดบัญชีกับข้า!” รู้ทั้งรู้ว่าหน่วยกิเลนจะไปจับคนมา ยังจะมาบอกว่าเขาสามารถไปร่วมวงได้ด้วยอีก เห็นได้ชัดว่าไม่ประสงค์ดี เขาเองก็โง่เขลานัก ถึงขั้นคิดว่าม่อซิวเหยาจะชี้ช่องทางทำเงินให้กับเขา ม่อซิวเหยามีแต่จะปอกลอกเขาน่ะสิไม่ว่า
เยี่ยหลีปิดปากเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หมิงซี เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ เรื่องหน่วยกิเลนเป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจกะทันหัน แม้แต่ท่านอ๋องเองก็ไม่รู้”
หานหมิงซีรู้ดีว่า เยี่ยหลีไม่มีทางหลอกเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จึงทำได้เพียงส่งเสียงฟึดฟัดและยอมรับว่าตนช่างโชคร้าย
ม่อซิวเหยาวางถ้วยชาลง เลิกคิ้วขึ้นพูดกับเขาว่า “ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าก็ได้มาไม่น้อยมิใช่หรือ มีอันใดให้พร่ำบ่นกัน”
พวกคนของเหลยเถิงเฟิงที่ส่งเข้าไป แทบจะช่วยพวกเขาปลดค่ายกลออกจนเกือบหมดแล้ว คนของตำหนักติ้งอ๋องที่เข้าไปตอนท้ายเรียกได้ว่าเดินเข้าไปได้อย่างราบรื่นไม่มีอุปสรรคอันใดทั้งสิ้น ซึ่งหานหมิงซีย่อมได้ประโยชน์ไปไม่น้อยอยู่แล้ว
หานหมิงซีคิดถึงสมบัติพัสถานแก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดาต่างๆ ที่ตนขนกลับเข้าบ้านไป ไฟโกรธในใจก็ค่อยๆ คลายลง หันไปจ้องม่อซิวเหยาด้วยความระแวดระวัง “ของพวกนั้นทั้งหมดเป็นของข้า ท่านอย่าคิดแม้แต่จะยื่นนิ้วเข้ามาเชียว”
ม่อซิวเหยามิได้แสดงท่าทีอันใด หากเขาคิดอยากได้ของเล็กน้อยพวกนั้นที่อยู่ในมือหานหมิงซีจริง จะต้องกังวลว่าเขาจะไม่ได้หรือ เขาไม่จำเป็นต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกับหานหมิงซีต่อหน้าอาหลีเลยแม้แต่น้อย
สวีชิงเฉินที่นั่งอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาทะเลาะกันจบแล้ว ถึงได้อมยิ้มเอ่ยปากถามว่า “หลีเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำเช่นไรกับคนที่จับกลับมาได้เหล่านั้นหรือ”
คนเหล่านั้นล้วนเป็นบุคคลสำคัญของแต่ละแคว้น และด้วยเพราะเหตุนี้ทำให้จะจัดการเช่นไรก็ลำบาก จะเบาก็ไม่ได้ หนักก็ไม่ได้
เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่มีความเห็นเช่นไรหรือ”
สวีชิงเฉินจับหยกงามที่เลือกมาแขวนไว้ที่เอวเล่น นิ่งคิดอยู่เล็กน้อย “ข้าเห็นว่าหลีเอ๋อร์มิได้ตั้งใจจะทำอันใดพวกเขาอยู่แล้ว ท้ายสุดเกรงว่าคงต้องปล่อยตัวไป สิ่งที่สำคัญคือจะปล่อยไปเช่นไร…แล้วก็พวกเราจะสามารถได้ประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้บ้าง”
เยี่ยหลียิ้ม “พี่ใหญ่รู้เช่นนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ พวกเราเองก็มิได้หวังจะได้ประโยชน์อันใด ครานี้ก็เพียงคิดอยากส่งพวกเขาทั้งหมดกลับออกไปจากซีเป่ยเท่านั้น พวกเขาทนอยู่ในซีเป่ยกันมานานพอแล้ว”
ใบหน้าสวีชิงเฉินมีประกายแห่งความเข้าใจแวบผ่านในทันที ครานี้ที่ทำเรื่องเสียใหญ่โตเช่นนี้ ก็เพื่ออยากทำให้เหล่าผู้มีอิทธิพลที่เคยทำให้ซีเป่ยต้องหวาดผวาได้ดู ให้พวกเขามิกล้าทำอันใดผลีผลาม เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว กลับไปข้าจะไปบอกให้ท่านพ่อกับท่านอารองรู้”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เช่นนั้นเรื่องการเจรจากับแต่ละแคว้นก็รบกวนพี่ใหญ่กับท่านลุงแล้ว”
“เรียนพระชายา เจิ้นหนานอ๋องมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ด้านนอกมีองครักษ์มารายงานอยู่ที่หน้าประตู
เยี่ยหลีหันไปสบตากับม่อซิวเหยา แล้วต่างก็ระบายยิ้มออกมา
ม่อซิวเหยาลุกขึ้นเอ่ยว่า “เขามาได้รวดเร็วดีจริง อาหลี พวกเราออกไปพบเจิ้นหนานอ๋องกันสักหน่อยเถิด เจิ้นหนานอ๋องนี่ให้ข้าเจรจากับเขาเองจะดีกว่า”
เยี่ยหลีเองก็เห็นด้วย เจิ้นหนานอ๋องผู้นี้ ถึงแม้จะมีฐานะเป็นเพียงอ๋อง แต่กลับไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เขามีอิทธิพลโดยตรงต่อซีหลิง ด้วยเพราะแคว้นซีหลิงทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา คนเช่นนี้ ย่อมรับมือยากกว่ารัชทายาทแห่งเป่ยหรงหรือหลีอ๋องแห่งต้าฉู่มากนัก
เมื่อทั้งสองเดินจับจูงกันเข้าไปถึงห้องโถงของบริเวณโถงใหญ่ กลับไม่เห็นผู้ใดอยู่ที่นั่นสักคน แต่กลับมีเสียงต่อสู้กันดังมาจากด้านนอก เมื่อก้าวออกจากโถงใหญ่ ภายในลานมีคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่อย่างอุตลุด ซึ่งก็คือเจิ้นหนานอ๋องกับหลิงเถี่ยหานที่กำลังประมือกันอยู่ ซึ่งดึงดูดคนจำนวนไม่น้อยให้มาปักหลักรอชมกันอยู่ที่นี่
หลิงเถี่ยหานลงมือโดยไม่มีคำว่า เห็นแก่ว่าเจ้าแขนขาดไปหนึ่งข้างแล้วข้าจะอ่อนให้เจ้าเล็กน้อยไม่ แขนเจ้าขาดไปข้างหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ได้ความเอง ดังนั้นยามเขาพุ่งฝ่ามือเข้าใส่แต่ละทีจึงประหนึ่งจะแยกภูเขาพลิกทะเลได้เลยทีเดียว ไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยหลียืนพิงอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา มองทั้งสองที่กำลังปะทะกันอย่างดุเดือด พลางเอ่ยถามเสียงเบาว่า “หากต้องต่อสู้กับหลิงเถี่ยหาน ท่านมีความมั่นใจว่าจะชนะหรือไม่”
ม่อซิวเหยามองการต่อสู้อย่างใช้สมาธิอยู่เป็นนาน พักใหญ่ถึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ไม่มี หลิงเถี่ยหานมีคุณสมบัติ ความเข้าใจ และความพากเพียรอยู่ครบถ้วน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ฝึกฝนอย่างหนักมิได้ขาด หากสิบปีมานี้ข้ามิได้บาดเจ็บ บางทีอาจจะพอเอาชนะเขาได้สักครั้ง แต่หากเป็นยามนี้…เกรงว่าคงจะเพลี้ยงพล้ำอยู่เล็กน้อย”
พรสวรรค์ของม่อซิวเหยาถือว่าหาได้ยากนักในโลกใบนี้ แต่ไม่ว่าจะมีพรสววรรค์เป็นเลิศเพียงใด ก็ไม่มีทางสู้การฝึกอย่างหนักตลอดสิบปีได้ อันที่จริงที่ม่อซิวเหยายังสามารถรักษาวิทยายุทธของตนไว้ได้ในระดับนี้ ก็ไม่รู้ว่าต้องเสียเหงื่อและลำบากยากเข็นไปมากน้อยเพียงใดถึงสามารถรักษาไว้ได้เช่นนี้
“ยามนี้ สามารถเรียกได้ว่า หลิงเถี่ยหานเป็นยอดฝีมืออันดับหนี่งแห่งใต้หล้าโดยไม่อายได้แล้ว…” เมื่อเห็นทั้งสองประมือกัน ม่อซิวเหยาก็เอ่ยพร้อมทอดถอนใจขึ้นเบาๆ
“ท่านจะบอกว่า…” เยี่ยหลีอึ้งไป
ม่อซิวเหยาพูดต่อว่า “ เจิ้นหนานอ๋องมิใช่คู่ต่อสู้ของหลิงเถี่ยหาน มู่ฉิงชังยิ่งไม่ใช่”
ม่อซิวเหยาเองก็ยามรับว่าตนสู้หลิงเถี่ยหานไม่ได้ ยามนี้หลิงเถี่ยหานเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในขณะที่หลิงเถี่ยหานต่อสู้กับเจิ้นหนานอ๋องอย่างไม่ออมมือ ในขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่าเจิ้นหนานอ๋องมิได้อยู่ในสภาพร่างกายที่พร้อม เจิ้นหนานอ๋องเริ่มมีแววว่าจะพ่ายแพ้ให้ได้เห็นอย่างรวดเร็ว แต่หลิงเถี่ยวหานกลับไม่คิดที่จะหยุดอยู่เพียงเท่านั้น เขายังคงไล่โจมตีอย่างดุดันไม่มีออมมือ
เยี่ยหลีที่มองอยู่ถึงกับอดโอดครวญแทนเจิ้นหนานอ๋องไม่ได้ ที่วันนี้นางเชิญเจิ้นหนานอ๋องมาที่ตำหนักติ้งอ๋อง เจตนาเดิมของนางย่อมมิใช่การให้หลิงเถี่ยหานมาจัดการเขา นางแค่เพียงต้องการให้เรื่องต่างๆ จบลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ…