ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 227-1 กาลเวลาที่พ้นผ่าน ข้อพิพาทระหว่างบิดาและบุตร
หลังจากงานแต่งงานระหว่างฉินเจิงและสวีชิงเจ๋อผ่านพ้นไป เมืองหลีก็ดูจะสงบเงียบลงทันตา ไม่ว่าโลกภายนอก เป่ยหรง เยียหลี่ว์หงกับเยียหลี่ว์เหยี่ยจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไร ม่อจิ่งฉีกับม่อจิ่งหลีจะต่อหน้าดูสามัคคีแต่ในใจกลับไม่เป็นหนึ่งเดียวกันเช่นไร และเจิ้นหนานอ๋องที่ดูจะครอบงำเชื้อพระวงศ์ของซีหลิงที่โดนข่มขู่ได้อย่างมั่นคงเพียงไร ก็ล้วนไม่มีผลอันใดต่อความเงียบสงบของซีเป่ยทั้งสิ้น เมื่อมีกองทัพตระกูลม่อจำนวนนับแสนนายคอยคุ้มครองอยู่
ติ้งอ๋องสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยใช้บัณฑิตรุ่นใหม่อายุน้อยที่มีความสามารถของสวีชิงเฉินไปรับหน้าที่ปกครองบริหาร ชาวบ้านทั่วทั้งซีเป่ยที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำหนักติ้งอ๋อง ก็ล้วนอยู่กันอย่างสงบสุขและมีความสุขอย่างหาใดเปรียบ หากก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเป็นกังวลกับชะตาชีวิตหลังจากประกาศตัดขาดจากต้าฉู่ แต่ยามนี้หากให้พวกเขากลับไปอยู่ต้าฉู่อีกครั้ง เกรงว่าชาวบ้านกว่าครึ่งคงจะไม่ยินยอม ในจิตใจของขาวบ้านทั้งหลาย มีเพียงติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องเท่านั้นที่สามารถทำให้พวกเขามีชีวิตที่สงบสุขไร้ความกังวลได้ และเป็นคนที่พวกเขาสนับสนุนด้วยใจจริง
กาลเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตา ช่วงเวลาห้าปีก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ณ ตำหนักติ้งอ๋อง
เด็กชายตัวน้อยในชุดสีดำปักลวดลายมังกรสีเงิน กำลังเดินเรื่อยๆ ไปตามระเบียงทางเดิน ใบหน้าเล็กที่ขาวอวบ แม้จะพยายามบังคับสีหน้าให้เคร่งขรึมอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังคงน่ารักน่าเอ็นดูจนอดคิดอยากยื่นมือเข้าไปหยิกแก้มแน่นๆ นั้นสักทีไม่ได้ เด็กตัวน้อยมีดวงตาดำขลับและงดงามประหนึ่งไข่มุกดำ เมื่อรวมกับใบหน้าเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง ก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนเจ้านายตัวน้อย แลดูประณีตงดงามราวรูปหยกขาวสลักกระนั้น อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับสามารถทำให้คนที่พบเห็นต้องสูดหายใจด้วยความสง่างามและหล่อเหลาเสียแล้ว
คนที่เดินตามหลังพวกเขามา ทุกคนต่างพากันขมวดคิ้วมุ่น มองดูนายน้อยประหนึ่งอยากพูดอันใดแต่ก็หยุดลง น่าสงสารด้วยอยากเอ่ยปากห้าม แต่ก็มิกล้า
เด็กน้อยหันกลับไปปรายตามองกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง ประหนึ่งรับรู้ได้ถึงเสียงบ่น ก่อนส่งเสียงหึเบาๆ ด้วยความดูแคลน “ข้าบอกแล้วว่าพวกเจ้าไม่ต้องตามมา ทำไม คำสั่งของข้าไม่ศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ”
ทุกคนพากันรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง ได้แต่น้ำตาตกใน ซื่อจื่อน้อย น้ำเสียงที่ท่านนี่ ไปเลียนแบบผู้ใดมากันนะ ช่างน่ากลัวดีแท้
“เรื่องนั้น…ซื่อจื่อ ท่านอ๋องสั่งไว้ว่า ให้ท่านคัดประวัติของติ้งอ๋องในประวัติศาสตร์ต้าฉู่สิบจบ ท่านกลับมาแล้วจะมาตรวจดูนะพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวผู้ติดตามเอ่ยเตือนขึ้น
ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อย เด็กน้อยเอ่ยด้วยความสงบนิ่งว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ข้าจะไปคารวะเสด็จแม่”
ทุกคนต่างหันมาสบตากัน ไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไรดี จะไม่ให้ซื่อจื่อน้อยไปคารวะพระชายา นั่นคงไม่ได้อย่างแน่นอน ซื่อจื่อน้อยกตัญญูต่อผู้เป็นมารดา ผู้ใดก็มิอาจพูดอันใดได้ แต่หากให้ซื่อจื่อน้อยไป การบ้านที่ท่านอ๋องสั่งไว้ เด็กน้อยคงขี้เกียจทำเป็นแน่ ถึงเวลาเมื่อท่านอ๋องกลับมา คนที่ซวยก็คงเป็นพวกเขา
“หึ!” ซื่อจื่อน้อยส่งเสียงหึหนักๆ เขารู้อยู่แล้วว่าที่เสด็จพ่อจัดให้มีคนติดตามเขาจำนวนมากเช่นนี้ มิใช้เพราะหวังดีอันใดหรอก เสด็จแม่เป็นของเขา ใช่คนที่ต่าแก่นั้นบอกจะแย่งก็จะแย่งไปได้เสียเมื่อใดกัน
เขาปรายตามองบ่าวไพร่ที่ติดตามเขาด้วยความดูแคลน แล้วซื่อจื่อน้อยก็สะบัดแขนเสื้อพร้อมสาวเท้าไวๆ ไปทางเรือนที่มารดาของตนอยู่ทันที
ภายในห้องหนังสือ เยี่ยหลีนั่งอ่านฎีกาที่เพิ่งส่งขึ้นมาเมื่อครู่อยู่หลังโต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ระยะเวลาห้าปีที่ผ่านพ้นไป มิได้ทิ้งร่องรอยอันใดไว้บนใบหน้าและร่างกายของนางมากนัก และอาจถึงขั้นว่า เมื่อเทียบกับเมื่อห้าปีก่อนแล้ว ประสบการณ์บนฐานะที่ยิ่งใหญ่ของเยี่ยหลีในยามนี้ที่เพิ่งอายุล่วงเข้ายี่สิบปีได้ไม่เท่าไร กลับยิ่งทำให้นางดูสง่างามและสูงส่ง จนดึงดูดสายตาขึ้นอีกหลายส่วน
เยี่ยหลีปิดฎีกาในมือลง เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยถามว่า “การเปลี่ยนแปลงและการปรับเปลี่ยนภายในกองทัพตระกูลม่อดูจะเสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว แล้วหน่วยกิเลนเล่า เป็นอย่างไรบ้าง”
ฉินเฟิงอมยิ้มเอ่ยว่า “พระชายาโปรดวางใจ ยามนี้ทหารที่บรรจุอยู่ในหน่วยกิเลนมีทั้งหมดสองพันนาย ทหารทุกนายล้วนเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือที่พวกเราคัดกรองมาและฝึกปรือพวกเขามาโดยละเอียดพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยว่า “คำว่ายอดฝีมือนั้นมิได้วัดกันที่คำพูด ซีเป่ยสงบเรียบร้อยมาหลายปีเกินไป กองทัพตระกูลม่อเพิ่งมีการปรับเปลี่ยนกันเรียบร้อย หลายปีมานี้มีทหารใหม่ที่ไม่เคยออกสนามรบเพิ่มเข้ามาจำนวนมาก ข้าเกรงว่า ความสามารถในการรบของกองทัพตระกูลม่อจะไม่แข็งแกร่งขึ้น และมีแต่จะถดถอยลง”
ฉินเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้พระชายาคงคิดมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้ทหารใหม่เหล่านั้นจะไม่เคยออกสนามรบมาก่อน แต่ท่านอ๋องและแม่ทัพทุกท่านต่างฝึกปรือพวกเขาอย่างเข้มงวด และไม่เคยผ่อนปรนให้มาก่อน ส่วนเรื่องของประสบการณ์นั้น หากเคยออกสนามรบสักครั้งหรือสองครั้งก็จะคุ้นชินเองพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมองฉินเฟิงทีเหนึ่ง ฉินเฟิงติดตามเยี่ยหลีมาหลายปีแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าเยี่ยหลีเปลี่ยนไป จึงพอเข้าใจนางอยู่หลายส่วน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “พระชายามีความคิดเห็นอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเคาะนิ้วชี้เบาๆ พยักหน้าเอ่ยเสียงขรึมเบาๆ ว่า “ข้าคิดทำสิ่งใดอยู่เล็กน้อยจริงๆ เพียงแต่จะทำได้จริงหรือไม่นั้นคงต้องรอปรึกษาหารือให้ดีเสียก่อน”
ฉินเฟิงเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยยินดีรับฟังโดยละเอียดพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นยิ้ม เอ่ยว่า “เพื่อไม่ให้เหล่าทหารห่างหายจากสนามรบนานเกินไปจนมือไม้ไม่คล่องแคล่ว สู้…จัดการฝึกรบเสมือนจริงสักครั้งหนึ่งจะดีหรือไม่”
“การฝึกรบเสมือนจริง?” ฉินเฟิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้จะฟังดูไม่คุ้นหู แต่เท่าที่ฟังความหมายดู เขาก็พอเดาความหมายของพระชายาออกอยู่หลายส่วน อันที่จริงการฝึกซ้อมทหารของแต่ละแคว้นก็มีการฝึกเสมือนจริงกันอยู่บ้าง เช่นว่าการฝึกรบทางน้ำ การเปลี่ยนรูปแบบกระบวนทัพ การซ้อมรบของแต่ละกองทัพ เป็นต้น แต่ฉินเฟิงกลับรู้สึกว่า พระชายาจะต้องมีความคิดที่น่าสนุกยิ่งกว่านั้น
เยี่ยหลีพยักหน้าคิดไปพลาง เอ่ยกลั้วยิ้มไปพลางว่า “ถูกต้อง…ฉินเฟิง อีกเดี๋ยวเจ้าลองไปดูทีว่าในซีเป่ยมีพื้นที่ส่วนใดบ้างที่เหมาะกับการฝึกซ้อมเสมือนจริงขนาดใหญ่เช่นนี้”
ฉินเฟิงเลิกคิ้ว “ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ลานฝึกของกองทัพตระกูลม่อแห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้น อยู่ห่างเมืองหลีไปห้าสิบลี้ก็น่าจะใหญ่พอแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้ามิได้ต้องการสถานที่เช่นนั้น แต่ต้องเป็นสนามรบ!”
“สนามรบ!” ฉินเฟิงถึงกับตกใจ “ความหมายของพระชายาคือ?”
เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้ม เอ่ยว่า “ถูกต้อง ที่ที่มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หลากหลาย มีพื้นที่กว้างขวาง และเพียงพอที่จะรองรับการสู้รบที่แท้จริง ข้าต้องการการซ้อมรบที่รวมทหารหลากหลายประเภทเข้าด้วยกัน มิใช่เพียงกองทัพตระกูลม่อ แต่ยังมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉี รวมถึงหน่วยกิเลนที่จะต้องเข้าร่วมในการฝึกซ้อมครั้งนี้ด้วย”
ฉินเฟิงพยายามนึกภาพตามที่เยี่ยหลีเอ่ย แล้วจู่ๆ เลือดในกายก็ร้อนระอุขึ้นมาทันที เอ่ยตอบรับเสียงใสว่า “พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยจะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมให้พบพ่ะย่ะค่ะ!”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ ”ดีมาก เจ้าไปจัดการเถิด เรื่องนี้ไว้ข้าจะหารือกับท่านอ๋องดูอีกที แต่ก่อนหน้านั้น…ให้ปิดเป็นความลับไว้ก่อน”
“ข้าน้อยรับบัญชา!” ใบหน้าที่มีความหลักแหลมของฉินเฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความตื่นเต้น หลายปีมานี้เขาออกจะเรียบเรื่อยไปเสียหน่อยจริงๆ ถึงแม้การฝึกซ้อมจะมิใช่สนามรบที่แท้จริง แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ ฉินเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งแล้ว
“เสด็จแม่…” ด้านนอกประตู มีเสียงฝีเท้าเบาๆ และเสียงเรียกอย่างอ่อนหวานประหนึ่งออดอ้อนของเด็กน้อยดังเข้ามา
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นบุตรตัวน้อยของตนเดินเข้ามาด้วยสีหน้างอง้ำ มองหน้าตนอย่างน่าสงสาร
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ ถึงกับมุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ก่อนถอยออกไปด้านข้าง “ข้าน้อยคารวะซื่อจื่อ”
เมื่อม่อตัวน้อยเห็นว่าภายในห้องหนังสือมีคนนอกอยู่ด้วย ใบหน้าที่งอง้ำก็ชะงักไปเล็กน้อย
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เจ้าตัวเล็ก มีอันใดหรือ”
ม่อตัวน้อยเลิกสนใจฉินเฟิงโดยทันที เดินอ้อมโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ไปพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเยี่ยหลี ซุกไซร้ใบหน้าน้อยๆ เข้ากับกายเยี่ยหลี “เสด็จแม่…ข้ามิได้ชื่อเจ้าตัวเล็ก เฉินเอ๋อร์โตแล้ว…”
เยี่ยหลียื่นมือไปอุ้มม่อตัวน้อยขึ้นมาให้เขานั่งอยู่บนตักของนาง ยกมือขึ้นจิ้มไปบนหน้าผากน้อยๆ นั้น แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เอาล่ะ ขอโทษด้วย แม่ลืมอีกแล้ว เฉินเอ๋อร์มาหาแม่ มีเรื่องอันใดหรือ”
จะไม่พูดคงไม่ได้ว่า การค่อยๆ หยอดข้อมูลไปทีละน้อยนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เดิมทียามที่ม่อตัวน้อยเพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆ เยี่ยหลียังบอกตัวเองว่า ต่อไปจะต้องเรียกชื่อจริงของม่อตัวน้อยให้เยอะๆ เผื่อว่าหากชื่อเล่นของบุตรชายเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางเกินไปแล้ว ลูกของนางจะรู้สึกอับอาย น่าเสียดายที่ม่อตัวน้อยยังไม่ทันรู้ความขนาดจะต่อต้านอันใดได้ ม่อซิวเหยาก็ได้บอกชื่อเล่นของบุตรชายให้รู้กันไปทั่วกองทัพตระกูลม่อเสียแล้ว หากมิใช่เพราะในยามนั้นชื่อจริงของม่อตัวน้อยเป็นที่ฮือฮาอยู่ไม่น้อย เกรงว่ายามนี้ทุกคนคงเข้าใจกันไปแล้วว่า ซื่อจื่อของตำหนักติ้งอ๋องแซ่ม่อ นามตัวน้อย
ม่อตัวน้อยถึงได้ซุกไซร้เข้ากับอกของมารดาด้วยความพอใจ ดอมดมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายผู้เป็นมารดาด้วยความอิ่มเอม ก่อนกะพริบตาคู่โตนั้นปริบๆ “ลูกมากินมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนท่านแม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหันมองท้องฟ้าด้านนอก ก่อนผินหน้าไปมองฉินเฟิง
ฉินเฟิงก้มหน้าลงกระแอมไอทีหนึ่ง พยายามกลั้นยิ้มไว้พลางเอ่ยว่า “เรียนพระชายา นี่เพิ่งพ้นยามซื่อ*มาได้เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีก้มหน้าลง เลิกคิ้วมองม่อตัวน้อย “ไปทำเรื่องไม่ดีอันใดมาหรือ”
ปากน้อยๆ ของม่อตัวน้อยยื่นออกมาทันที ยื่นมือน้อยๆ มาตรงหน้าเยี่ยหลีอย่างน่าสงสาร “ท่านแม่ ข้าเจ็บมือ…”
เยี่ยหลีได้แต่จนใจ “เสด็จพ่อเจ้าให้เจ้าทำอันใดอีกหรือ”
“เสด็จพ่อจะให้ข้าคัดประวัติติ้งอ๋องสิบจบพ่ะย่ะค่ะ หากเขียนไม่เสร็จจะไม่ได้กินมื้อเที่ยงพ่ะย่ะค่ะ ฮือๆ…มือของเฉินเอ๋อร์จะหักแล้ว…”
ประวัติติ้งอ๋องในหน้าประวัติศาสตร์ต้าฉู่มีทั้งหมดแปดบท แต่ละบทมีตัวอักษรอยู่ไม่ต่ำกว่าสองสามพันตัว รวมทั้งหมดก็เกือบสองหมื่นตัว หากต้องคัดทั้งหมดสิบบทจริงๆ ก็เท่ากับสองแสนตัวอักษร
ม่อตัวน้อยดิ้นขลุกขลักไปมา จับมารดาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่คัด มือของเขาจะหักเอาน่ะสิ! ดังนั้นเขาถึงได้อาศัยจังหวะที่เสด็จพ่อไม่อยู่ มาขอให้มารดาช่วย
ประโยคสุดท้ายที่ว่า หากเขียนไม่เสร็จจะไม่ได้กินมื้อเที่ยงนั้น เป็นข้อความที่เขาเติมเสริมเข้าไปเองอย่างไม่ต้องสงสัย เยี่ยหลีที่รู้นิสัยบุตรชายของตนเป็นอย่างดีจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ อย่างจนใจ เพียงแต่ที่ม่อซิวเหยาลงโทษให้บุตรชายคัดตัวอักษรจำนวนมากเช่นนั้นก็ดูจะน่าตีไม่น้อย ม่อตัวน้อยอายุยังไม่เต็มห้าขวบ แม้แต่จับพู่กันยังจับไม่มั่นคงดี ตัวอักษรกว่าสองแสนตัวนั้น ต่อให้เป็นคนธรรมดาทั่วไปคัดก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กที่ยังรู้ตัวอักษรไม่ครบเลย