ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 227-2 กาลเวลาที่พ้นผ่าน ข้อพิพาทระหว่างบิดาและบุตร
เยี่ยหลีคิดไปคิดมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นคัดประหวัดติ้งหมิงอ๋องหนึ่งบทก็แล้วกัน”
ติ้งหมิงอ๋อง ก็คือติ้งอ๋องรุ่นแรก ม่อหลั่นอวิ๋น ได้ชื่อหลังการเสียชีวิตว่า หมิง แต่เมื่อเห็นแววยินดีที่แฝงอยู่ในดวงตาของม่อตัวน้อย เยี่ยหลีก็ค่อยๆ เอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “เมื่อคัดจบแล้ว จะต้องอ่านทุกตัวให้ออก ไว้รอบิดาเจ้ากลับมา จะต้องไปอ่านให้ท่านฟังต่อหน้าหนึ่งรอบนะ รู้หรือไม่”
ม่อตัวน้อยกะพริบตาปริบๆ แต่เมื่อเห็นแววไม่ใจอ่อนในดวงตาของมารดา ก็ทำได้เพียงตอบรับอย่างหงอยๆ จากแปดบทสิบจบ เหลือหนึ่งบทหนึ่งจบก็ถือว่าดีมากแล้ว เขาจึงซุกลงกับอกของเยี่ยหลีอย่างว่าง่าย “ลูกรู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เด็กดี” เยี่ยหลีลูบหัวเล็กๆ ของบุตรชายเบาๆ
แล้วม่อตัวน้อยก็หัวเราะหึหึพร้อมพยักหน้าขึ้นมาทันที “ลูกเป็นเด็กดีที่สุดอยู่แล้ว ลูกรักท่านแม่ที่สุดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีก้มลงไปจูบหน้าผากเขาทีหนึ่ง เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “แม่ก็รักเฉินเอ๋อร์ที่สุดเลยจ๊ะ”
ฉินเฟิงที่ยืนดูสองแม่ลูกอยู่นั้น ในใจลอบส่ายหน้า ซื่อจื่อน้อย ท่านอาศัยจังหวะที่ท่านอ๋องไม่อยู่มาทำตัวน่าสงสารและออดอ้อนพระชายาเช่นนี้ทุกครั้ง พอถึงเวลาท่านอ๋องกลับมา ก็จะต้องถูกแยกตัวออกไปและถูกลงโทษใหม่อีกครั้ง เช่นนี้สนุกนักหรือ
“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว” ด้านนอกมีเสียงคารวะของสาวใช้ดังลอยเข้ามา
ฉินเฟิงเหลือบมองซื่อจื่อน้อยที่ยังลงซุกไซร้อยู่กับอกของพระชายาแล้วจึงขอตัวฉากหลบออกไปทันที “พระชายา ข้าน้อยขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ไปเถิด”
ม่อซิวเหยาก้าวเข้ามาภายในห้อง เมื่อเห็นบุตรชายที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยหลีอย่างว่าง่าย ก็ถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาอยู่ในชุดสีขาวทั้งตัว บวกกับผมสีขาวประหนึ่งด้ายสีเงิน ยิ่งทำให้เขาดูทั้งเย็นชาและสูงส่งยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นภรรยาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ สายตาที่เย็นชานั้นกลับดูมีความอบอุ่นขึ้นหลายส่วน “อาหลี กำลังคุยอันใดกันหรือ”
เยี่ยหลีตบม่อตัวน้อยเบาๆ เงยหน้าขึ้นเอ่ยกลั้วยิ้มว่า “ไม่มีอันใด เมื่อครู่เฉินเอ๋อร์เพิ่งมาคารวะข้าน่ะ”
ม่อตัวน้อยลงจากตักมารดาด้วยความไม่ยินยอมเล็กน้อย เดินเข้าไปทำความเคารพผู้เป็นบิดา “ลูกคารวะเสด็จพ่อ”
ม่อซิวเหยากดสายตาลงจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก้มตัวลงไปอุ้มเขาขึ้นมาให้อยู่ระดับเดียวกับตน “มาคารวะท่านแม่เจ้า? ตัวน้อยช่างกตัญญูยิ่งนัก ข้าดีใจเป็นอย่างยิ่ง”
เมื่อถูกบิดาอุ้มขึ้นมา ม่อตัวน้อยก็ดูจะดิ้นขลุกขลักขึ้นมาทันที แต่ด้วยแรงอันน้อยนิดของเขาจะดึงมือม่อซิวเหยาออกได้อย่างไร ในยามที่ม่อซิวเหยาอุ้มเขาอยู่เช่นนี้ ต่อให้ม่อตัวน้อยใช้แรงทั้งหมดจนหน้าแดง ก็มิอาจทำให้สองแขนที่แข็งแกร่งประหนึ่งแขนเหล็กขยับได้เลยแม้แต่น้อย
“เฉินเอ๋อร์เป็นอันใดหรือ” เมื่อถูกม่อซิวเหยาบังสายตาไว้เช่นนี้ เยี่ยหลีจึงมองไม่เห็นท่าทีขัดขืนของบุตรชาย เพียงแต่นึกแปลกใจว่า บุตรชายที่มักชอบพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของนาง เหตุใดยามอยู่ในอ้อมแขนของม่อซิวเหยาถึงได้หน้าแดงขึ้นได้
ม่อซิวเหยามองบุตรชายด้วยความเอ็นดู แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดูท่าตัวน้อยคงเริ่มรู้จักเขินอายเสียแล้ว เจ้าโตแล้วจริงๆ เสียด้วย”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย เป็นเช่นนั้นหรือ
ม่อตัวน้อยรู้ดีว่ามิอาจสู้แรงผู้เป็นบิดาได้ จึงจำต้องแสร้งทำทีเป็นเขินอายกอดผู้เป็นบิดาไว้ ซึ่งก็เป็นการยืนยันคำพูดของม่อซิวเหยาพอดี
ม่อซิวเหยาอุ้มม่อตัวน้อยมานั่งลงข้างกายเยี่ยหลี เยี่ยหลีลุกขึ้นรินน้ำชามาวางไว้ตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยถามว่า “ค่ายทหารที่นอกเมืองเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
ม่อซิวเหยายกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม “ไม่มีปัญหาอันใด ความลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็ถือว่าไม่เสียแรงเปล่าแล้ว ข้าเห็นเมื่อครู่ฉินเฟิงรีบร้อนเออกไป อาหลีสั่งให้เขาไปทำอันใดอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยปากเล่าความคิดของตนที่เมื่อครู่เอ่ยกับฉินเฟิงให้ม่อซิวเหยาฟังอีกรอบ
ม่อซิวเหยาดูจะสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก “การซ้อมรบเสมือนจริง? ความคิดของอาหลีมักแปลกประหลาดเป็นพิเศษเสมอ หากเทียบกับการแสดงการฝึกซ้อมทั่วไปแล้ว ความคิดนี้ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว”
เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “วิธีการนี้มิได้เพียงเป็นการทดสอบทางการทหารทั่วไปเท่านั้น แต่ยังสามารถทดสอบผู้บังคับบัญชาที่สั่งการได้อีกด้วย หลายปีมานี้มิได้มีการตั้งใจคัดเลือกผู้บัญชาการหนุ่มชุดใหม่มาอมรมหรอกหรือ อย่างไรก็ต้องลองดูว่าผลการฝึกที่ผ่านมาเป็นเช่นไรบ้าง หากอบรมแล้วได้ผู้บัญชาการที่สั่งการรบได้เพียงในกระดาษ สู้โยนพวกเขาเข้าสนามรบไปฟาดฟันกันเลยเสียจะดีกว่า”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ดีเลย อาหลีเขียนแผนที่คิดออกมาก่อน ไว้ข้าจะลองดู แล้วให้คนไปจัดเตรียม เพียงแต่…ในเมื่อเป็นการรบระหว่างทหารสองฝ่าย อย่างไรก็ต้องมีหัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุด อาหลีมีในใจแล้วหรือไม่ จะให้ผู้ใดมานำทหารหรือ”
เยี่ยหลีอมยิ้มพยักหน้า “ข้าคิดไว้อยู่บ้างแล้ว ทัพหนึ่งให้ท่านเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการดีหรือไม่”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป วางถ้วยชาลง หันมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามว่า “เช่นนี้ อีกฝ่ายหนึ่งเล่า”
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “อีกฝ่ายให้เป็นข้าก็แล้วกัน แม่ทัพจางกับแม่ทัพหลี่ว์เป็นแม่ทัพเก่าแก่แล้ว ให้พวกเขาคอยสังเกตการณ์และเป็นกรรมการตัดสินก็แล้วกัน อีกอย่างก็สามารถป้องกันหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ด้วย”
ม่อซิวเหยานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการของเยี่ยหลี เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดี ต่างว่ากันว่าอาหลีเป็นคนมีพรสวรรค์เหนือผู้ใด ข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่าอาหลีจะนำทัพอย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ทำได้เพียงยิ้มแหยๆ อย่างจนใจ หากว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือผู้ใดแล้ว ผู้ใดเลยจะสู้ม่อซิวเหยาได้ มือสมัครเล่นอย่างนางคงไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่นางก็คงไม่จัดการซ้อมที่ต้องพังกันไปข้างหนึ่งอยู่แล้ว อย่างน้อย ทั้งสองฝ่ายก็ต้องพอสูสีกันถึงจะสนุกมิใช่หรือ
ม่อตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตักบิดา ผินศีรษะน้อยๆ คอยฟังสิ่งที่บิดามารดาพูดคุยกัน ถึงแม้ไม่แน่ว่าจะฟังเข้าใจ แต่ก็นั่งฟังไปเงียบๆ และคอยกะพริบตาคู่โตเป็นระยะ ซึ่งในสายตาของเยี่ยหลี ภาพนั้นช่างดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก นางจึงยื่นมือไปหาม่อซิวเหยาพร้อมเอ่ยว่า “เอาเฉินเอ๋อร์มาให้ข้าอุ้มเถิด”
ม่อตัวน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบยื่นมือน้อยๆ ไปทางมารดาทันที
ม่อซิวเหยาเบี่ยงตัวหลบไปด้านหนึ่ง กันให้ม่อตัวน้อยอยู่ห่างมารดามากกว่าเดิม แล้วเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “เขาอายุตั้งห้าขวบแล้ว ตัวก็ไม่เบาแล้ว เดี๋ยวจะทำเจ้าเหนื่อยเสีย อีกอย่าง เด็กๆ มัวแต่มาให้อุ้มก็ไม่ดีนัก ยามนั้นข้าไม่ให้ผู้ใดอุ้มตั้งแต่อายุสองขวบแล้วนะ”
เยี่ยหลีได้แต่มองบุตรชายด้วยความรักแต่ไม่รู้จะช่วยเช่นไรดี
ม่อตัวน้อยได้แต่นึกกัดฟันกรอดในใจ ได้ยินเพียงม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ขากลับเข้าเมือง ข้าแวะไปคารวะเยี่ยมท่านชิงอวิ๋นที่นอกเมืองมาด้วย ท่านชิงอวิ๋นบอกว่า ม่อตัวน้อยอายุได้ห้าขวบแล้ว สามารถเข้าศึกษาเล่าเรียนได้แล้ว”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจนักว่า “พวกเรามิได้ให้เฉินเอ๋อร์เล่าเรียนตั้งนานแล้วหรือ”
ถึงแม้บุตรชายของตนจะยังไม่ทันห้าขวบดี แต่บทเรียนอย่างแซ่ร้อยตระกูล และ หนังสือพันอักษรก็เรียนรู้ได้พอประมาณแล้ว ตอนเยี่ยหลีห้าขวบเมื่อชาติที่แล้ว ยังอยู่อนุบาล เล่นเกม เรียน ABC กับคุณครูอยู่เลย
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงมองบุตรชายที่พยายามฝืนยิ้มอย่างเต็มที่ ม่อตัวน้อยเพียงรู้สึกว่ามีลมเย็นๆ พัดผ่านศีรษะไป “อาหลี เจ้าเป็นสตรี สมัยนั้นตระกูลสวีจึงมิได้สั่งสอนอันใดเข้มงวดนัก แต่เจ้าลองสอบถามคุณชายสวีแต่ละคนดูก็ได้ มีผู้ใดบ้างที่มิได้เริ่มเรียนตัวอักษรตั้งแต่สองสามขวบ และมิได้เริ่มเข้าศึกษาเล่าเรียนจริงจังตั้งแต่สี่ห้าขวบกันบ้าง หากมิเป็นเช่นนั้น คนของตระกูลสวีจะสอบติดมีชื่อเป็นขุนนางกันตั้งแต่อายุยังไม่ยี่สิบปีได้อย่างไร จะต้องรู้ก่อนว่า คนทั่วไปการสอบติดอันดับด้วยอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีก็ถือว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว ในเมื่อตัวน้อยเป็นซื่อจื่อของตำหนักติ้งอ๋อง อีกหน่อยภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับก็มีมากกว่าคนอื่นๆ มากนัก หากพวกเราผ่อนปรนให้เขาต่างหาก ถึงเป็นการทำร้ายเขา”
เยี่ยหลีไม่รู้จะตอบเช่นไร เช่นนี้ก็ถือว่าไม่ยอมให้บุตรชายชนะตั้งแต่เส้นเริ่มต้นเลยมิใช่หรือ ผู้ใดกันที่บอกว่าเด็กยุคปัจจุบันลำบาก บุตรชายตระกูลสวีต่างหากที่ลำบากอย่างแท้จริง
เมื่อม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ก็ทำให้เยี่ยหลีนึกขึ้นได้ว่า บุตรชายตระกูลสวีทุกรุ่น ดูจะสอบผ่านมีชื่อเป็นขุนนางกันตั้งแต่ก่อนอายุยี่สิบปีจริง อย่างเช่นพี่ใหญ่ สวีชิงเฉิน นั่นก็สอบได้ขึ้นทะเบียนทองตั้งแต่อายุสิบสี่ปี มิใช่เพราะเริ่มศึกษาเล่าเรียนมาตั้งแต่สองสามขวบหรอกหรือ
เยี่ยหลีมองบุตรชายด้วยความผูกพัน เยี่ยหลีเอ่ยถอนใจเสียงเบาว่า “ข้าหวังเพียงให้เฉินเอ๋อร์มีวัยเด็กที่มีความสุขไร้กังวล”
วัยเด็ก? นั่นคือสิ่งใดกัน สิ่งที่เขาไม่เคยได้ เหตุใดบุตรชายเขาถึงต้องได้ด้วย ในใจม่อซิวเหยาเกิดความริษยาแล่นขึ้นมาทันที แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างอ่อนโยน “ในยุคนี้ ตัวน้อยรู้เรื่องเร็วหน่อย ดีกว่าถึงยามที่พวกเราปกป้องคุ้มครองเขาไม่ได้แล้ว เขายังไม่รู้เรื่องอันใดกว่ามากนัก อีกอย่าง มีท่านชิงอวิ๋นคอยชี้แนะด้วยตนเอง เจ้ายังไม่วางใจอีกหรือ ถึงแม้ท่านชิงอวิ๋นจะเคร่งครัดกับบุตรหลาน แต่ก็รักใคร่เอ็นดูตัวน้อยเป็นที่สุด เจ้ายังจะกลัวเขาเหนื่อยอีกหรือ”
เยี่ยหลีคิดไปคิดมาก็เห็นจริงเช่นนั้น หากจะถามว่า ทั่วทั้งซีเป่ยนี้ ผู้ใดรักใคร่เอ็นดูม่อตัวน้อยมากที่สุด หากท่านชิงอวิ๋นอยู่ที่สอง ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าอยู่ที่หนึ่ง แม้แต่หลานในของท่านชิงอวิ๋น อย่างบุตรชายของสวีชิงเจ๋อกับฉินเจิง สวีจือรุ่ยยังต้องหลีกทางให้
“เอาเถิด เฉินเอ๋อร์ เมื่อไปอยู่กับท่านทวดแล้วจะต้องเชื่อฟังเข้าใจหรือไม่ แม่จะไปเยี่ยมเจ้าทุกวันเว้นวันดีหรือไม่”
ม่อตัวน้อยเอนอยู่กับอกม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ในใจลอบนึกวางแผนมาดร้ายบิดาของตน มิใช่เพราะคิดอยากไล่ข้าไปหรอกหรือ หึ! ไว้รอให้ข้าโตก่อนเถิด จะคอยดูว่าตาเฒ่าอย่างเจ้าจะเอาอันใดมาแย่งท่านแม่ของข้า! ท่านแม่…ฮือๆ ท่านต้องรอให้เฉินเอ๋อร์เติบใหญ่เสียก่อน เฉินเอ๋อร์จะต้องแย่งท่านกลับมาให้ได้!