ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 231-1 นักฆ่าบุก
“กวานถิ่ง เจ้าจะฆ่าใครหรือ พูดให้ข้าฟังดีหรือไม่”
กวานถิ่งนึกอึ้งไปเมื่อเห็นม่อซิวเหยาที่มีผมสีขาวและอยู่ในชุดสีขาวกำลังเดินออกมาอย่างคาดไม่ถึง แต่ครานี้เขากลับไม่นึกกลัวม่อซิวเหยา ในใจกวานถิ่งคิดว่า ยามนี้เขาเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีของต้าฉู่ เป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงให้ความไว้วางพระทัย แต่ม่อซิวเหยากลับเป็นขุนนางกบฏที่ทุกคนต่างพากันรังเกียจ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทั้งภายในและภายนอกเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีทหารฝีมือดีอยู่อย่างน้อยสามพันนาย ส่วนม่อซิวเหยาพาคนมาทั้งหมดแค่เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ต่อให้กองทัพตระกูลม่อเก่งกาจเพียงใด กวานถิ่งก็นึกไม่ออกว่า ตนที่มีข้อได้เปรียบอยู่มากเพียงนี้ จะมีเหตุใดให้พ่ายแพ้ได้ ดังนั้นหลังจากตกใจในคราแรกแล้ว สีหน้ากวานถิ่งที่มองไปยังม่อซิวเหยาจึงเปลี่ยนกลับมาถือดีและมาดร้ายอีกครั้ง ในดวงตาคู่นั้น ที่ด้วยเพราะกินดีอยู่ดีจนเต็มไปด้วยก้อนเนื้ออันอวบอ้วน ทำให้ดวงตายิ่งดูเล็กลง เต็มไปด้วยความเกลียดชังและเคียดแค้น
ถูกต้อง คือความเคียดแค้น ในใต้หล้านี้ รวมถึงผู้เป็นประมุขแห่งแคว้นอย่างม่อจิ่งฉี ดูจะมีบุรุษอยู่ไม่กี่คนที่ไม่โกรธแค้นม่อซิวเหยา ผู้ที่ครอบครองตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดแห่งยุค มีกองกำลังลับที่แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองแห่งใต้หล้า รูปลักษณ์ที่งดงามหล่อเหลา ทั้งยังมีภรรยาที่เป็นที่หมายปองของบุรุษทุกคนที่มีใจทะเยอทะยานกับบุตรชายที่น่ารัก ไม่มีเหตุผลอันใดที่คนในใต้หล้าจะไม่นึกริษยาม่อซิวเหยา
เพียงแต่ความเคียดแค้นที่กวานถิ่งมีต่อม่อซิวเหยานั้น ดูจะมีมาก่อนผู้ใดทั้งหมด ยามที่เขาติดตามอยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีที่ในวัยหนุ่มยังเป็นเพียงรัชทายาท ซื่อจื่อน้อยของตำหนักติ้งอ๋องที่มีทั้งบารมีและความสง่างาม ก็กลายเป็นคนที่เขาทั้งอิจฉาและริษยา
ครานั้นที่เขาไปปราบโจรผู้ร้ายที่ตีนเขา ม่อซิวเหยาที่อยู่ในชุดขาว ห้อม้ามาถึง ไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดแซ่ฟาดเข้าใส่เขาอย่างรุนแรง ทำให้เขาอับอายขายหน้าจนหมดสิ้นต่อหน้าทหารหลายพันนาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กวานถิ่งก็เกิดความเคียดแค้นและโกรธเกลียดม่อซิวเหยามาจากภายใตจิตใจ เขาเกลียดชาติกำเนิดของม่อซิวเหยา หากม่อซิวเหยามิใช่ซื่อจื่อแห่งตำหนักติ้งอ๋อง เขาจะกล้าลงแซ่เขาต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนั้นได้อย่างไร หากเขามิใช่ทายาทของม่อหลั่วอวิ๋น มิใช่บุตรชายของม่อหลิวฟาง เขาจะมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมเช่นนี้ได้อย่างไร ดังนั้น คราแรกที่พบว่าตำหนักติ้งอ๋องถึงคราวโชคร้าย เขาจึงเป็นหนึ่งในคนที่ยินดีเป็นที่สุด
“ติ้ง…ม่อซิวเหยา คนเป็นขุนนางกบฏอย่างเจ้า ยังกล้าเหยียบย่างเข้ามาในเขตแดนของต้าฉู่อีกหรือวันนี้ข้าจะต้องฉีกร่างของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ เพื่อตอบแทนบุญคุณของฝ่าบาทให้จงได้!” กวานถิ่งชี้หน้าม่อซิวเหยาพร้อมตะโกนออกมาอย่างเห็นว่าชอบธรรม
ม่อซิวเหยาปรายสายตามองกวานถิ่งเรื่อยๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ม่อจิ่งฉีใช้คนนับวันยิ่งไม่เลือกหนักเข้าไปทุกที ให้คนพิการออกมานำทัพ ต่อให้เขาไม่เป็นห่วงว่าเจ้าจะตกลงมาจากหลังม้า ก็ควรเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกน้องทหารสักหน่อยนะ”
เฟิ่งจือเหยาพัดพัดไปมือไปพลาง หัวเราะหึหึไปพลางพร้อมเอ่ยต่อว่า “ก็ใช่น่ะสิ แม่ทัพกวานที่มีปณิธานแน่วแน่แต่ร่างกายพิกลพิการเช่นนี้ คงไม่มีทางเดินเข้าลงสู่สนามรบได้ หากเกิดตกจากหลังม้าใส่ทหารที่อยู่ข้างๆ เข้า จะดีหรือ จึ๊…จะว่าไปฝ่าบาทก็ช่างไม่รักไม่ทนุถนอมพลทหารเอาเสียเลยนะ”
“พวกเจ้า…พวกเจ้า!” กวานถิ่งโกรธจนหายใจไม่ทัน สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือ การมีคนมาพูดถึงขาของตน ตัวเขาเป็นแม่ทัพทหาร การที่ขาพิการก็เท่ากับทุกอย่างนั้นจบสิ้น ถึงแม้จะเป็นขุนนางสายบู๊ แต่ด้วยเกียรติของราชสำนัก จึงไม่มีทางให้คนพิการเดินเข้าราชสำนักไปเป็นขุนนางอย่างแน่นอน ดังนั้น ด้วยเพราะฝ่าบาทเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เคยมีกันมาแต่เก่าก่อน จึงได้ส่งตนให้ออกมานำทัพอยู่ที่ด้านนอกแทน
อันที่จริงที่พูดว่านำทัพนั้น แต่หากถึงคราวต้องทำศึกขึ้นมาจริงๆ ก็คงมาไม่ถึงเขา จึงเป็นเพียงการแต่งตั้งลอยๆ เท่านั้น ถึงแม้หลายปีมานี้เขาจะมีชีวิตที่ไม่เลว แต่ชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้จะสู้ความอู้ฟู่หรูหราเช่นที่เมืองหลวงได้อย่างไร แต่ทั้งหมดนี้…ก็เป็นเพราะคนของตำหนักติ้งอ๋อง!
ถึงแม้กวานถิ่งจะไม่รู้ว่า ในคราแรกที่เขาถูกมาเหยียบจนขาหัก เป็นเพราะตำหนักติ้งอ๋องต้องการให้มู่หรงเซิ่นไปประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ย แต่อย่างไรก็แน่วแน่ที่จะโยนความผิดนี้ไปให้ตำหนักติ้งอ๋อง เพียงแต่ เหตุผลของกวานถิ่งก็คือ เพราะเขาเป็นคนที่ม่อจิ่งฉีไว้วางใจ ดังนั้นม่อซิวเหยาจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดเขา
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้า! ข้าจะฆ่าพวกเจ้า! ยิงธนูออกไป ฆ่าพวกกบฏพวกนี้ให้ได้!” ในที่สุด กวานถิ่งก็อดรนทนไม่ไหว ตะโกนเสียงเข้มออกมาด้วยความโกรธ
แต่ทหารที่เป็นลูกน้องเขากลับมิได้เชื่อฟังเขาอย่างที่คิด เพราะถึงอย่างไร ชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นร้อยปีในต้าฉู่ ยิ่งในบรรดาเหล่าทหารแล้วยิ่งคล้ายเป็นตำนานที่ไม่มีวันดับสูญ มิใช่ว่าม่อจิ่งฉีคิดอยากทำลายก็จะทำลายจนหมดสิ้นได้ หากม่อจิ่งฉีใช้เวลาสักยี่สิบสามสิบปี บางทีอาจทำให้ชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องในต้าฉู่ศูนย์สิ้นลงได้ แต่ระยะเวลาห้าปี อย่างไรก็สั้นเกินไป อีกทั้งยามที่ซีเป่ยประกาศตัดขาดกับต้าฉู่นั้น หนังสือประกาศก็กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ความเข้าใจของชาวบ้านสามัญกับนายทหารอาจไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เข้าใจตรงกันนั่นก็คือ เป็นราชวงศ์ที่ผิดต่อตำหนักติ้งอ๋อง มิใช่ตำหนักติ้งอ๋องที่ผิดต่อราชวงศ์
ความแค้นจากการสังหารบิดา ทำให้มิอาจอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันได้ ที่ติ้งอ๋องไม่นำกองทัพตระกูลม่อเข้าบุกเมืองหลวงเพื่อแก้แค้นให้ผู้เป็นบิดาและพี่ชายโดยทันที ก็ทำให้ชาวบ้านเห็นว่า ติ้งอ๋องจิตใจกว้างขวาง เห็นแก่ที่เคยปกป้องต้าฉู่มานานเป็นร้อยปีแล้ว
ยามนี้เมื่อกวานถิ่งจะให้ทหารเหล่านี้ยิงธนูสังหารคณะของม่อซิวเหยา ต่อให้ทหารเหล่านี้ไม่คิดถึงชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋อง แต่อย่างไรก็ยังต้องนึกถึงหน่วยกิเลนอันแสนลึกลับที่หายไปมาได้ประหนึ่งภูตผีของตำหนักติ้งอ๋องอยู่บ้าง
ม่อซิวเหยากวาดตามองทหารที่ปิดล้อมโรงเตี๊ยมอยู่ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง นายทหารที่เดิมมือยังจับธนูอยู่ด้วยความไม่มั่นใจ แต่เมื่อเห็นสายตาที่ราบเรียบนั้นเข้า ก็ถึงกับลดธนูในมือลงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อกวานถิ่งเห็นว่าทหารไม่ฟังคำสั่งตน ก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวจนหน้าดำไปหมด ตะโกนด้วยความโกรธว่า “บังอาจ! พวกเจ้าเองก็จะเป็นกบฏกับเขาด้วยหรือ ยังไม่รีบจัดการกบฏพวกนี้อีก!”
นายทหารทั้งหลายย่อมรู้สึกลำบากใจ พวกเขาไม่คิดและไม่อยากเป็นศัตรูกับตำหนักติ้งอ๋อง แต่กวานถิ่งก็เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขา ถึงแม้ผู้บังคับบัญชาผู้นี้จะมิได้เป็นที่ถูกใจนัก แต่อย่างไรพวกเขาก็ยังต้องฟังคำสั่ง
เฟิ่งจือเหยาเดินอมยิ้มออกมาข้างหน้า ระบายยิ้มเต็มใบหน้าพลางเอ่ยกับทุกคนว่า “อันที่จริงทุกคนไม่จำเป็นต้องลำบากใจไป ปัญหานี้แก้ได้ง่ายเพียงนิดเดียว”
ทุกคนพากันนึกฉงนสงสัย ไม่รู้ว่าคุณชายในชุดแดงที่ดูสง่างามไร้กฎเกณฑ์ผู้นี้ เตรียมจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
แล้วเฟิ่งจือเหยาก็สะบัดชายแขนเสื้อขึ้น ก่อนแส้ยาวเส้นหนึ่งจะพุ่งออกมา ตรงเข้าใส่กวานถิ่ง
ทุกคนนิ่งอึ้งกันไปเพียงชั่วพริบตา กวานถิ่งก็ถูกแส้เส้นนั้นมัดไว้อย่างแน่นหนา ถูกดึงตัวออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิ่งเจือเหยา ต้องโทษกวานถิ่งที่เมื่อครู่ถูกโยนแตงกวาเข้าใส่ ถึงได้รู้ว่าการมีคนห้อมล้อมอยู่มากเกินไป ทำให้หลบได้ไม่สะดวก จึงได้สั่งให้คนกระจายกันออกไปสักหน่อย มิเช่นนั้น ที่เฟิ่งจือเหยาจะลากเขาออกมา ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถลากเขาออกมาจากฝูงชนได้
เฟิ่งจือเหยาก้มลงมองกวานถิ่งที่ถูกตนใช้แส้มัดเอาไว้อย่างแน่นหนา เขาเอาพัดยันคางวพลางแย้มยิ้มอย่างสดใส “นี่ก็หมดเรื่องแล้วมิใช่หรือ คนแซ่กวานนี้พวกเราจะเอาตัวไป พวกเจ้ากลับไปรายงานตามจริงก็พอแล้ว วางใจได้ เขาไม่กลับไปแล้วล่ะ”
บรรดาทหารต่างพากันลังเล แต่ในที่สุดก็ได้เปิดทางออก เดิมทีที่กวานถิ่งนำพวกตนออกมาที่นี่ ก็มิได้ผ่านความเห็นชอบของแม่ทัพที่ประจำการอยู่บริเวณชายแดนตะวันตกเฉียงใต้อยู่แล้ว แต่เพราะได้รับราชโองการลับของม่อจิ่งฉี ถึงได้ดำเนินการอย่างลับๆ ดังนั้นหากพวกเขากลับไปรายงานว่ากวานถิ่งถูกคนจับตัวไป แม่ทัพที่อยู่ชายแดนก็มิอาจลงโทษพวกเขาได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็มิต้องปะทะกับตำหนักติ้งอ๋อง ถึงว่าได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งร่อง
เหล่าทหารต่างรู้สึกพอใจ แต่กวานถิ่งกลับไม่คิดเห็นเช่นนั้น ความหมายของเฟิ่งจือเหยาเป็นเช่นไร กวานถิ่งย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี หากถูกติ้งอ๋องจับตัวไปจริงๆ เท่ากับว่าชีวิตนี้ของตน จบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้ “พวกเจ้ากล้าหรือ! หากข้ากลับไปจะรายงานต่อฮ่องเต้ให้ฆ่าพวกเจ้าล้างตระกูลให้หมด!”
ประโยคนี้ตอนยังไม่พูดก็ยังพอว่า แต่เมื่อพูดออกแล้ว บรรดาทหารต่างพากันล่าถอยกลับไปกันเร็วขึ้นไปอีก รองแม่ทัพที่เดินอยู่ด้านหลังสุด ยังได้หันกลับมาประสานมือให้คณะของเฟิ่งจือเหยา “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตนายทหารอย่างพวกเรากว่าพันชีวิต ขอท่านอ๋องได้โปรดช่วยจัดการโดยละเอียดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “วางใจเถิด ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อน”
รองแม่ทัพได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง “ขอบพระคุณท่านอ๋อง”
เมื่อเห็นทหารของต้าฉู่ล่าถอยไปแล้ว เฟิ่งจือเหยาที่จับกวานถิ่งอยู่ ก็หันกลับไปเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง พวกเราจะไปจากที่นี่กันก่อนหรือไม่”
การมีทหารหลายพันนายเข้ามาในเมือง ถือเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งคงปิดไว้ไม่มิด พวกเขาออกไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปกันเถิด”
คณะเดินทางพาตัวกวานถิ่งที่ถูกมัดประหนึ่งบ๊ะจ่าง เดินทางออกจากเมือง ยามที่ยังอยู่ที่โรงเตี๊ยม กวานถิ่งเอาแต่ตะโกนด่าทอไม่หยุด เฟิ่งจือเหยานึกรำคาญเสียงด่าทอของเขาที่ฟังแล้วไม่รื่นหู มือหยิบผ้าบนโต๊ะขึ้นมาได้ ก็จับยัดเข้าปากเขาทันที
กวานถิ่งเจอกลิ่นน้ำมันเหม็นๆ ของผ้าเช็ดโต๊ะเข้าไปก็ถึงกับตาเหลือก ได้แต่รองอื้อๆ ให้วุ่นไปหมด
ออกจากเมืองมายังไม่ทันถึงสิบลี้ดี จู่ๆ ฉินเฟิงที่เปิดทางอยู่ด้านหน้าก็หยุดลง คนที่ตามมาด้านหลังย่อมหยุดตาม มองสังเกตรอบด้านด้วยความระมัดรวัง
ฉินเฟิงยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “ออามาเถิด แม้แต่หลบซ่อนตัวก็ยังทำได้ไม่ดี ยังคิดจะตามมาลอบฆ่าคนอีกหรือ!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็มีธนูหลายดอกพุ่งสวบๆ ไปทางฉินเฟิงทันที
ฉินเฟิงคร้านแม้แต่จะลงจากหลังม้า เขาเบี่ยงตัวหลบธนูลูกยาที่วิ่งเข้าใส่ทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า ริมถนนและบนเนินเขาข้างทางโดยรอบ ค่อยๆ มีร่างของชายในชุดดำที่ปิดหน้าจำนวนมากทยอยปรากฏตัวออกมาให้เห็น
เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ข้างจั๋วจิ้งเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว ว่าการเดินทางไปหนานจ้าวครานี้จะต้องไม่ราบรื่น เพียงแต่…กลางวันแสกๆ แต่แต่งตัวชุดดำปิดหน้าเช่นนี้ จะไม่เป็นอันใดจริงๆ หรือ”
กลางวันแสกๆ เช่นนี้ ยังจะมีสีใดที่สะดุดตายิ่งไปกว่าสีดำอีกหรือ
จั๋วจิ้งกระตุกมุมปากขึ้น กระเถิบห่างจากเฟิ่งจือเหยาด้วยความรังเกียจ เอ่ยเรียบๆ ว่า “นักฆ่าส่วนใหญ่มักชอบใส่ชุดดำและปิดหน้า”
“เหลวไหล สำนักเยี่ยนอ๋องมีนักฆ่าอยู่ตั้งมากมาย เคยให้พวกเขาใส่ชุดดำปิดหน้าที่ใดกัน” เฟิ่งจือเหยาสวนกลับ สำนักเยี่ยนอ๋อง ได้ชื่อว่าเป็นสำนักนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ไม่เคยต้องสวมเครื่องแบบ การเอ่ยอย่างเหมารวมเช่นนี้ มีแต่จะผลเสียต่อสำนักนักฆ่า ไม่มีผลดี
“นักฆ่าชั้นเลว” จั๋วจิ้งเอ่ยขึ้นเรียบๆ
เมื่อได้ยินเฟิ่งจือเหยากับจั๋วจิ้งเอ่ยรับส่งกันไปมาด้วยน้ำเสียงส่อเสียดและเหยียดหยามเช่นนั้น ทำให้บรรยากาศที่ควรตึงเครียดจากการสังหาร กลายเป็นน่าขันขึ้นอย่างประหลาด
นักฆ่าที่รายล้อมอยู่ ถึงแม้จะมีผ้าปิดหน้าจนมองเห็นสีหน้าไม่ชัด แต่ดวงตาแต่ละคู่ ที่ดูประหนึ่งจะมีไฟลุกออกมานั้น ก็เพียงพอที่จะบอกถึงความโกรธเกรี้ยวที่อยู่ภายในได้เป็นอย่างดี