ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 236-1 ดอกโยวหลัวหมิง
ที่มาหนานจ้าวในครานี้ เดิมทีด้วยเพราะมีใจคิดอยากมาเที่ยวเล่น ในบรรดาคนที่มาร่วมงานอภิเษกสมรส คณะเดินทางของม่อซิวเหยาเป็นกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึง เพียงแต่ในเมืองหลวงของหนานจ้าว นอกจากมีการไปมาหาสู่กันระหว่างชนเผ่าแต่ละชนเผ่าแล้ว ก็มิได้มีอันใดให้เที่ยวเล่นมากนัก
เมื่อม่อซิวเหยาเห็นว่า อีกหลายวันกว่าจะถึงวันอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี จึงได้พาเยี่ยหลีออกไปเที่ยวเล่นบริเวณอื่นที่อยู่ภายในอาณาเขตของหนานจ้าว
ด้วยเพราะม่อซิวเหยาคิดอยากสลัดคนอื่นๆ ที่รกหูรกตามาตั้งแต่ต้น และอยากพาเยี่ยหลีออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกแต่เพียงลำพัง ดังนั้นยังไม่ทันถึงยามสาม ก็ลุกขึ้นพาเยี่ยหลีออกจากจวนพักทูต เดินทางออกนอกเมืองไป ด้วยวิทยายุทธที่ม่อซิวเหยาฝึกปรือมา หากเขาคิดอยากหลบหลีกผู้ใด ย่อมไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเขา ดังนั้นพอเช้ามา คนอื่นๆ ในจวนพักทูตจึงไม่พบตัวท่านอ๋องและพระชายา เห็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งที่ทิ้งไว้บนโต๊ะเขียนว่า “อีกสองสามวันกลับ ไม่ต้องห่วง” ถึงได้รู้ว่าท่านอ๋องพาพระชายาออกไปท่องเที่ยวเล่นเสียแล้ว เมื่อทุกคนต่างไม่พบว่ามีร่องรอยอันใดที่ทิ้งไว้ จึงทำได้เพียงทำใจให้สงบและรอคอยอยู่ภายในเมืองเท่านั้น ด้วยความสามารถของท่านอ๋องและพระชายา ยามอยู่ที่หนานเจียงเชื่อว่าคงไม่มีผู้ใดทำอันตรายพวกเขาได้
ส่วนทางฟากม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี ด้วยเดิมทีมิได้มีจุดหมายอันใด เพียงต้องการเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย พอเห็นตรงใดที่พอมีวิวทิวทัศน์งดงาม ก็หยุดเที่ยวชมกันอยู่พักหนึ่ง ถือเป็นช่วงเวลายามว่างสบายๆ ที่หาได้ยากยิ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
วันนี้ ทั้งสองจับม้าป่าจากในป่าแห่งหนึ่งมาได้สองตัว ด้วยอารามตื่นเต้นจึงคิดจะแข่งม้ากันสักหน่อย แต่ม้าป่าที่เพิ่งจับมาได้กลับไม่เชื่อฟังเช่นนั้น ม้าป่าตัวที่เยี่ยหลีขี่วิ่งสะเปะสะปะไปมาอยู่ภายในป่า ฝีมือการขี่ม้าของม่อซิวเหยาเก่งกว่าเล็กน้อย จึงขี่ม้าของตนเองตามไป กว่าม้าป่าจะวิ่งจนหนำใจและค่อยๆ ผ่อนฝีเท้ายอมฟังคำสั่งของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาก็บังคับม้าไล่ตามมาทันแล้ว เขาจ้องเขม็งอย่างดุดันไปทางม้าของเยี่ยหลีด้วยความโกรธเกรี้ยว คิดอยากฉีกร่างมันออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น
ม้าตัวนี้ถึงจะไม่เชื่องนัก แต่ก็มีความฉลาดอยู่บ้าง เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของม่อซิวเหยา ก็รู้สึกไม่สบายตัวและย่ำเท้าอยู่กับที่ทันที มิกล้าวิ่งสะเปะสะปะไปที่ใดอีก
เยี่ยหลีกระโดดลงจากหลังมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านก็อย่าได้โกรธไปเลย ม้าตัวนี้ยังไม่เชื่องดี หากมันยอมฟังคำสั่งเช่นนั้น คงเป็นเพียงม้าชั้นเลวเท่านั้น”
ม่อซิวเหยามีหรือจะไม่รู้ว่าม้าชั้นดีโดยมากมักมีนิสัยพยศนัก แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอาหลี ม้าชั้นดีตัวหนึ่งก็ไม่ถือว่ามีอันใดพิเศษ หากมิใช่เพราะเป็นห่วงกลัวว่าอาหลีจะบาดเจ็บ เมื่อครู่ยามที่ตามอยู่ด้านหลัง คงได้พุ่งดาบเข้าตัดขาม้าที่กำลังวิ่งห้อนั่นไปแล้ว
เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเอาแต่จ้องม้าตัวนั้นด้วยใบหน้าบึ้งตึง เยี่ยหลีก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ดึงม่อซิวเหยาไม่ให้เขามองเจ้าม้าน่าสงสารที่เริ่มอยู่ไม่สุข จนคิดอยากวิ่งห้อออกไปแต่ก็ไม่กล้าวิ่งหนีหายไปตัวนั้นอีก
นางหันมองโดยรอบเมื่อเห็นว่ามีแต่ต้นไม้และต้นหญ้าขึ้นอยู่อย่างรกทึบ ที่พื้นก็ยังมีดอกไม้ป่าเล็กๆ สีแดงบ้าง ฟ้าอ่อนบ้าง ขาวบ้าง เหลืองไข่นกกระทาบ้างอยู่เต็มไปหมด ทอดสายตามองไปก็ประหนึ่งมีพรมสีเขียวลายดอกไม้ขนาดใหญ่โตมโหฬารปูอยู่อย่างสุดลูกหูลูกตา
“สวยเหลือเกิน ม่อซิวเหยา ที่นี่คือที่ใดหรือ” ไม่ว่าจะที่ซีเป่ยหรือเมืองหลวงของต้าฉู่ เยี่ยหลีก็ไม่เคยเห็นสถานที่งดงามที่ทั้งสดชื่นและเป็นธรรมชาติเช่นนี้มาก่อน
ม่อซิวเหยาหันมองโดยรอบ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าม้านั่นวิ่งห้อมาตลอดทางเกือบสองชั่วยาม รวมกับระยะทางก่อนหน้านี้ที่พวกเราเดินทางมา ที่นี่ก็น่าจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงของหนานจ้าวสักห้าหกร้อยลี้ได้ ที่นี่…น่าจะอยู่ใกล้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียง”
“เอ๋?” เยี่ยหลีรู้สึกตกใจเล็กน้อย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียง แม้แต่ในหมู่คนหนานเจียงด้วยกันเองยังถือเป็นสถานที่ลึกลับนัก เมื่อหลายปีก่อนตำหนักติ้งอ๋องคิดอยากปราบพื้นที่ทางหนานเจียง ย่อมไม่มีทางที่จะไม่ให้คนไปสืบดู จึงดูไม่ตกใจสักเท่าไร
ม่อซิวเหยาจูงเยี่ยหลีให้ออกเดินไปข้างหน้า พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อมาแล้ว พวกเราก็ไปดูสักหน่อยเถิด”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “รุกล้ำดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงโดยพลการ จะเป็นการดีหรือไม่” หากเกิดคนหนานจ้าวรู้เข้าว่าติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องรุกล้ำเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงเป็นการส่วนตัว จะไม่เพียงส่งผลกระทบต่อพวกเขาเท่านั้น พวกเขาเองก็คงมองหน้าองค์หญิงอันซีได้ไม่สนิทนัก
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากไม่ถูกจับได้ก็ไม่ถือว่ารุกล้ำ ข้ารับปากเสิ่นหยางไว้ว่าจะเอาดอกโยวหลัวหมิงกลับไปให้เขาสักสามสี่ดอก”
สำหรับเสิ่นหยาง เยี่ยหลีรู้สึกซาบซึ้งใจเขาเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงยอมสละชื่อเสียงหมอเทวดา มาอยู่ช่วยรักษาพิษในกายม่อซิวเหยาที่ตำหนักติ้งอ๋องอยู่นานเป็นสิบกว่าปี แต่ยามที่ม่อตัวน้อยเกิดมานั้น จริงๆ แล้วสุขภาพของเขาก็อ่อนแอไม่น้อย ที่สามารถเติบโตมาได้อย่างกระฉับกระเฉงซุกซนเช่นทุกวันนี้ ก็ต้องขอบคุณเสิ่นหยางที่คอยช่วยดูแล เมื่อได้ยินว่าเป็นของที่เสิ่นหยางอยากได้ เยี่ยหลีย่อมมิอาจขัด อีกทั้งนางเองก็รู้สึกสนใจในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงที่ว่านั้นอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ม่อซิวเหยาดูจะมีความสามารถในการเป็นนายทหารหน่วยพิเศษ ความสามารถด้านทิศทางของเขา แม้แต่เยี่ยหลียังอดรู้สึกริษยาไม่ได้ เขาจูงเยี่ยหลีเดินหลบหลีกไปตามต้นไม้อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วยามก็มาถึงด้านรอบนอกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียง
ทั้งสองหลบหลีกองครักษ์ที่ด้านนอกไปได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถเข้าไปยังทางเข้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว บางทีอาจด้วยเพราะตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดบุกรุกเข้าไปมาก่อน การอารักขาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จึงมิได้เข้มงวดอันใดมากนัก ทั้งสองออกแรงเพียงเล็กน้อย ก็สามารถแทรกตัวเข้าไปด้านในได้แล้ว
พอเข้าไปด้านใน สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาอยู่ ก็เป็นทะเลดอกไม้สีแดงสดขนาดใหญ่ เป็นสีแดงสดล้วนๆ ที่ไม่มีสีใดผสมปนเปื้อนเลยแม้แต่น้อย ทำให้พื้นที่บริเวณหุบเขานี้ทั้งหมดกลายเป็นสีแดงฉาน ที่ดูทั้งประหลาดและมีกลิ่นคาวเลือด
“สิ่งนี้คือ…” เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองทะเลเพลิงสีแดงตรงหน้า
ม่อซิวเหยายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยเสียงขรึมว่า “นี่ก็คือดอกโยวหลัวหมิง”
เยี่ยหลีสูดหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “เดิมทีที่ข้าเคยได้ยินว่า ดอกโยวหลัวหมิงเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียง ยังคิดจะนำกลับไปลองดูว่าจะมีประโยชน์กับท่านหรือไม่ โชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้เสียเวลามาเอา”
“หือ?” ม่อซิวเหยาไม่เข้าใจ “อาหลีรู้จักดอกไม้นี้หรือ”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ของที่มีอยู่ตั้งมากมายเช่นนี้ ดูอย่างไรก็มิใช่ของศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่ากระมัง ข้ายังรู้อีกว่า ดอกไม้นี้มีอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่า ดอกม่านจูซา หรืออีกชื่อว่า ดอกปี่อั้น” และยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าดอกหงฮวาสือซ่วน หากตอนนั้นดอกปี้ลั่วไม่มาเบี่ยงเบนความสนใจนางไปเสียก่อน ไม่แน่ว่าเยี่ยหลีอาจจะบุกรุกเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหาดอกโยวหลัวหมิงเข้าให้จริงๆ หากในยามนั้นนางมาเห็นว่าดอกโยวหลัวหมิงที่ว่าก็คือดอกหงฮวาสือซ่วนที่มิได้หายากอันใดเช่นนี้ นางคงคิดอยากร้องไห้ขึ้นมากระมัง
“ดอกม่านจูซา เป็นชื่อทางพุทธศาสนา เป็นสี่ดอกไม้แห่งแดนสวรรค์” ม่อซิวเหยาเอ่ย
เยี่ยหลีนั่งสบายๆ ลงข้างๆ ม่อซิวเหยา เมื่อสายตาปรับให้คุ้นชินกับสีแดงสดที่ปกคลุมผืนดินอยู่จนทั่วแล้ว มองไปมองมาก็ให้ดูงดงามยิ่งนัก นางเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ฟังดูเป็นชื่อทางพุทธศาสนาจริงๆ เล่าขานกันว่าดอกม่านจูซานั้นขึ้นอยู่ริมแม่น้ำวั่งชวน เป็นดอกไม้แห่งยมโลก และเป็นวิวทิวทัศน์เดียวที่มีระหว่างเส้นทางไปยมโลก”
ม่อซิวเหยาไม่เคยศึกษาเรื่องพุทธศาสนามาก่อน จึงเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “แล้วเหตุใดถึงยังต้องเรียกอีกชื่อว่าดอกปี่อั้นเล่า”
เยี่ยหลีท่องกลอนขึ้นเบาๆ ว่า “ดอกไม้บาน ใบไม้ร่วงโรย ยามใบไม้ผลิ ไร้ซึ่งดอกไม้ ดอกปี่อั้น บานหนึ่งพันปี ร่วงหล่นหนึ่งพันปี ดอกและใบไม่เคยได้พบหน้า ความรักมิใช่เรื่องของเหตุและผล ชะตากรรมเป็นตัวกำหนดความเป็นและความตาย…”
ม่อซิวเหยาฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าไม่ชอบคำกล่าวเช่นนี้”
เยี่ยหลีบิดริมฝีปากขึ้นมองเขา เอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ ว่า “ข้าก็ไม่ชอบ ดอกไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณในการถอนพิษก็จริง แต่ตัวมันเองก็มีพิษ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นของหายาก เพียงแต่ยามนี้ นอกจากที่อยู่ที่นี่แล้ว คงไม่มีผู้ใดปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้อีก ต่อให้ในเจียงหนานมีอยู่ไม่มากนัก แต่หากค้นหาโดยละเอียดก็คงหาพบได้ไม่น้อย พวกเราจะเด็ดจากที่นี่กลับไปให้เสิ่นหยางหรือ”
ม่อซิวเหยาปรายตามองผืนดินสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า “ในเมื่อมาแล้ว ก็นำกลับไปสักหน่อยก็แล้วกัน ไว้ค่อยให้คนที่เดินทางไปเจียงหนานเด็ดกลับมาให้อีกสักหน่อย ลองดูว่ามีอันใดที่ไม่เหมือนกันหรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนานเจียงมีอยู่มากเช่นนี้ อย่าว่าพวกเขาเด็ดไปสักสามสี่ดอกเลย ต่อให้เด็ดกลับไปจนเต็มตะกร้าก็ไม่แน่ว่าจะมีผู้ใดทันสังเกต
เมื่อเด็ดดอกปี่อั้นจำนวนหนึ่งไปเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เดินลึกเข้าไปด้านใน แต่ที่น่าแปลกก็คือ ดูเหมือนยิ่งอยู่ลึกเข้าไปเท่าไร จำนวนคนที่อารักขาก็น้อยลงเรื่อยๆ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน ดอกไม้สีแดงสดที่มีอยู่เต็มไปหมดก็ดูจะค่อยๆ น้อยลง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทั้งสองเป็นดอกไม้อีกประเภทหนึ่ง ที่ดูหรูหรามีทรงกลมประหนึ่งลูกบอล มีทั้งสีแดง สีชมพู สีขาว สีน้ำเงิน สีเหลือง ดูงดงามดึงดูดสายตา ทำให้คนที่พบเห็นคลายความกังวลไปได้ทันใด
แต่เยี่ยหลีกลับดูเคร่งเครียดยิ่งขึ้น จ้องเขม็งไปยังทะเลดอกไม้ตรงหน้า
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงมาเอ่ยถามเสียงเบาว่า “อาหลี ทำไมหรือ”
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น หยิบดอกปี่อั้นที่เพิ่งเด็ดมาเมื่อครู่ขึ้นมอง ก่อนชี้ไปยังทะเลดอกไม้ตรงหน้า “ซิวเหยา พวกเราเข้าใจอันใดกันผิดกระมัง นี่น่าจะเป็นดอกโยวหลัวหมิงเสียมากกว่า”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป “อย่างไรหรือ”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “ทางที่ดีขอให้ข้าเดาผิด หากคนหนานจ้าวปลูกดอกไม้เหล่านี้ไว้เพียงเพื่อชื่นชมความงามก็ค่อยยังชั่ว แต่หากยังมีประโยชน์ด้านอื่น…”
ม่อซิวเหยาเอ่ยถามว่า “ดอกไม้นี้มีอันใดที่ผิดไปหรือ”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “ดอกไม้เหล่านี้มองดูแล้วสวยงามยิ่งนัก แต่หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี ผลที่ตามมาคงจะไม่มีผู้ใดสามารถรับได้ ดอกไม้ชนิดนี้สามารถนำไปทำเป็นยาระงับความปวดได้ดีที่สุด”
ม่อซิวเหยาเอ่ยถามด้วยความข้องใจ “เช่นนั้นก็ดีแล้วมิใช่หรือ”
ยามนี้ยาระงับความปวดที่ทุกแคว้นใช้กันอยู่ ล้วนเป็นยาหมาเฟ่ยซ่าน ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีส่วนผสมที่ซับซ้อน แต่ตัวยาที่ใช้ก็เป็นตัวยาที่ไม่ได้พบได้ทั่วไป โดยทั่วไปในสนามรบ มีเพียงผู้บัญชาการทหารระดับสูงเท่านั้นที่จะได้ใช้ พลทหารทั่วไปทำได้เพียงอดทนกับความเจ็บปวดไปเท่านั้น หากทนไม่ไหวก็ต้องตายเพราะความเจ็บปวด
เยี่ยหลีส่ายหน้า “เพราะว่าหากไม่ระวังเพียงนิด ก็จะสามารถเสพติดได้ ตามปกติก็ยากนักที่จะเลิกใช้ หากใช้ไปนานวันเข้า ก็จะกลายเป็นตัวสั่นไร้เรี่ยวแรง เมื่อใดก็ตามที่หักดิบ ก็จะออกอาการคลุ้มคลั่งประหนึ่งเจ็บปวด เรียกได้ว่าเป็นตัวยาชั้นดีที่จะใช้ควบคุมพวกหุ่นเชิด และใช้ได้ผลดียิ่งกว่ายาพิษใดๆ เจ้าสิ่งนี้หากใช้กันอย่างแพร่หลาย ต่อให้ทำให้แคว้นแคว้นหนึ่งล่มสลายได้ก็มิใช่เรื่องแปลก”
ม่อซิวเหยาจ้องเขม็งไปยังทะเลดอกไม้ตรงหน้าอย่างใช้ความคิด เป็นนานกว่าจะเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าอาหลีรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร แต่อย่างไรข้าก็เชื่ออาหลี พวกเราเข้าไปดูด้านในกันเถิด”