ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 239-1 ความโกลาหลในคืนวันอภิเษก
งานแต่งงานของหนานจ้าวกับจงหยวนมีความแตกต่างกันอย่างมาก งานอภิเษกสมรสระหว่างองค์หญิงอันซีกับผู่อา จัดขึ้นที่ลานกว้างหน้าพระราชวัง ซึ่งมิได้มีเพียงชนชั้นสูงของหนานเจียงและคณะทูตจะแต่ละแว่นแคว้นเท่านั้น ชาวบ้านสามัญชนทั่วไปของหนานจ้าวก็มารวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้าง ร้องเพลงร่ายรำ เพื่อเป็นเฉลิมฉลองให้กับการอภิเษกสมรสขององค์หญิง
ถึงแม้ซีเป่ยจะมีอาณาเขตไม่ใหญ่นัก และอาจถึงขั้นมิได้มีศักดิ์เป็นแคว้น แต่หนานจ้าวก็ยังจัดให้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ชิดหนานจ้าวอ๋องและคู่บ่าวสาวที่สุด แม้แต่ขุนนางทูตจากต้าฉู่และซีหลิงยังได้นั่งถัดลงมา
แม้เสนาบดีหลิ่วจะไม่พอใจกับเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เขาก็มิใช่คนไร้มารยาท จึงย่อมไม่มีเรื่องกับม่อซิวเหยาด้วยเรื่องเช่นนี้
สีหน้าเหลยเถิงเฟิงยังคงย่ำแย่ คิ้วเข้มขมวดมุ่น เห็นได้ชัดว่า การที่ถูกโจรดักปล้นระหว่างทาง ซ้ำยังเสียยาที่เพิ่งได้มากับมือไป ทำให้เขาเป็นกังวลไม่น้อย หนำซ้ำครานี้ เจิ้นหนานอ๋องยังให้บุตรชายมาออกงานเพียงคนเดียว มิได้ติดตามมาด้วย จึงทำให้เหลยเถิงเฟิงที่ถึงแม้จะมีเวลา แต่ก็หาคนปรึกษาหารือด้วยไม่ได้
องค์หญิงอันซีอยู่ในชุดสีขาวประหนึ่งหิมะ ปักลวดลายดอกไม้สีฟ้าอย่างประณีตงดงาม นั่งอยู่ข้างเจ้าบ่าว ทำให้สตรีที่ยามปกติดูเข้มแข็งห้าวหาญ ดูงดงามและสูงสง่าขึ้นหลายส่วน
ซูม่านหลินอยู่ในชุดหลัวสีเหลืองอร่ามอย่างธิดาเทพ ประดับตกแต่งใบหน้าอย่างประณีตบรรจง นั่งอมยิ้มน้อยๆ อยู่ข้างๆ หนานจ้าวอ๋อง ซึ่งยิ่งดูโดดเด่นกว่าบ่าวสาวเสียอีก หากมิได้มีหลิ่วกุ้ยเฟยที่งดงามและเยือกเย็นเสียยิ่งกว่านั่งอยู่ด้วย เกรงว่าสายตาของคนโดยมากคงพากันจับจ้องไปที่นาง
เฟิ่งจือเหยานั่งอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีแหละม่อซิวเหยา มองสตรีที่นั่งอยู่โดยรอบแล้วยิ้มเอ่ยกระเซ้าว่า “ตายแล้ว พระชายา ดูเหมือนท่านจะถูกผู้อื่นแซงหน้าไปเสียแล้วนะ”
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ มิได้ตอบอันใด การแย่งชิงความสนใจกับบ่าวสาวเช่นนี้ นางไม่คิดทำหรอก
ม่อซิวเหยาก้มลงมองภรรยาข้างกายที่อยู่ในชุดหลัวสีเขียวอ่อน ผมรวบขึ้นเป็นทรงง่ายๆ ธรรมดาๆ กับปิ่นหยกสองชิ้นที่เสียบแซมเฉียงๆ อยู่บนศีรษะ มองดูแล้วก็ให้รู้สึกงดงามอ่อนหวานยิ่งนัก เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์และแสงจากโคมไฟ ยิ่งทำให้ดูงดงามสะอาดตา อ่อนหวานตรึงตราตรึงใจ “ในสายตาของข้า อาหลีงดงามที่สุด”
เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขา ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ท่านติ้งอ๋อง ต่อให้ท่านพูดได้น่าฟังเพียงไร ข้าก็ยังไม่ลืมว่าท่านมีสาวงามอีกคนที่กำลังจ้องมองท่านอยู่”
แน่นอนว่า ม่อซิวเหยาก็รับรู้ได้ถึงสายตาของใครบางคนที่มองมา จึงพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างดูแคลน “หากอาหลีไม่ชอบใจ ข้าให้คนไปควักลูกตาคู่นั้นออกมาก็สิ้นเรื่อง”
“ข้าจะเอาลูกตานั่นไปทำอันใด กินเข้าไปหรือ” เยี่ยหลีกรอกตาใส่เขา
ม่อซิวเหยาใคร่ครวญอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่อร่อยหรอก ป้อนให้ม่อตัวน้อยก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีพูดไม่ออกเลยจริงๆ ไม่อร่อย จึงจะเอาไปป้อนให้ม่อตัวน้อย เขาหมายความเช่นนี้หรือ อันที่จริง เขาคงไปเก็บม่อตัวน้อยมาจากที่อื่นกระมัง
นางถลึงตาดุๆ ใส่ม่อซิวเหยา “ไม่ให้ป้อนม่อตัวน้อย ป้อนตัวใหญ่ดีหรือไม่”
ม่อซิวเหยาเพียงกะพริบตา ก็เข้าใจทันทีว่าตัวใหญ่ที่เยี่ยหลีเอ่ยถึงคือผู้ใด จึงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ไม่กิน”
เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ด้านหลัง ได้ฟังเช่นนี้ก็ถึงกับเหงื่อออกหลัง ปากของเขานี่มันยังไงกัน ถึงได้กล้าสอดปากเข้าไปได้ แล้วทั้งสองคนที่อยู่ด้านหน้าเขานี้มีความอดทนกันมากเพียงไร ถึงได้เปลี่ยนเรื่องสนทนากันไปจนถึงเรื่องนั้นได้ ขอร้องพวกท่านล่ะ อย่าได้พูดคุยเรื่องน่าสยดสยองเช่นนี้กันในงานแต่งงานของคนอื่นจะได้หรือไม่ หากต่อไปชีวิตการแต่งงานขององค์หญิงอันซีไม่มีความสุข ก็ต้องเป็นเพราะพวกท่านสองคนนี่ล่ะ!
“พระชายา…ดูเหมือนองค์หญิงฉางเล่อจะไม่ได้อยู่ในงาน” ในที่สุด เฟิ่งจือเหยาก็รับความสยดสยองของคนที่อยู่ข้างหน้าตนไม่ไหว จึงเอ่ยเตือนขึ้น
เยี่ยหลีหันมองไปทางโต๊ะของคณะทูตจากต้าฉู่ ก็ไม่เห็นองค์หญิงฉางเล่อจริงอย่างที่เขาว่า เห็นเพียงมุมปากของหลิ่วกุ้ยเฟย ที่เอาแต่จับจ้องมาทางม่อซิวเหยาอยู่ตลอดเวลา มีแววของรอยยิ้มประหลาดแฝงอยู่
เยี่ยหลีขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ก่อนหันไปเอ่ยสั่งการเฟิ่งจือเหยาสามสี่ประโยค
สีหน้าเฟิ่งจือเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วในที่สุดก็หาจังหวะที่ไม่มีผู้ใดทันสังเกต ลอบออกจากงานไปเงียบๆ
การออกจากงานไปเงียบๆ ของเฟิ่งจือเหยามิได้มีผู้ใดทันสังเกตเห็น ม่อซิวเหยายังคงพูดคุยหยอกเย้ากับเยี่ยหลีเบาๆ ต่อไป ถึงแม้ทั้งสองมิได้คิดที่จะแย่งความสนใจกับคู่บ่าวสาว แต่คนในงานที่คอยจับตามองพวกเขากลับไม่น้อยลงเลยแม้แต่น้อย
ม่อซิวเหยามองไปฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็พอดีเห็นว่าม่อจิ่งหลีกำลังมองมายังคนข้างกายตนอย่างใจลอย ยังมีเหลยเถิงเฟิงที่สีหน้าดูกำลังใช้ความคิด นัยน์ตาเขาก็วาววับเป็นประกายเย็นเยียบ ส่งเสียงหึเบาๆ ทีหนึ่ง พร้อมส่งยิ้มเยาะเย้ยให้ม่อจิ่งหลี
แน่นอนว่าม่อจิ่งหลีย่อมทันได้เห็นรอยยิ้มเยาะของม่อซิวเหยา แต่กลับไม่รู้สึกขัดเขินที่ถูกจับได้ว่าแอบมองภรรยาผู้อื่น กลับมองจ้องม่อซิวเหยาอย่างถือดี
จอกสุราในมือม่อซิวเหยายกขึ้นไปด้านหน้า เอ่ยอย่างไร้ซุ่มเสียงว่า “ขอให้ทุกอย่างราบรื่น”
ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะไม่ชอบหน้าม่อซิวเหยามาตลอด แต่ไม่ว่าม่อซิวเหยาจะทำอันใด ก็มักให้ความสนใจเสมอ จึงย่อมเข้าใจภาษากายของม่อซิวเหยา เดิมทีที่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของม่อซิวเหยา ในใจก็หล่นวูบ ด้วยรู้สึกประหนึ่งว่าตนมีเรื่องบางอย่างที่ถูกม่อซิวเหยาอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่งกระนั้น ความรู้สึกที่ว่าเรื่องที่เป็นความลับที่สุดของตน ถูกศัตรูล่วงรู้เข้าเช่นนี้ ทำให้ม่อจิ่งหลีรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง และย่อมไม่มีอารมณ์จะไปมองเยี่ยหลีอีก
จนเมื่อหนานจ้าวอ๋องทำพิธีอภิเษกสมรสให้กับองค์หญิงอันซีและผู่อาด้วยตนเองเป็นที่เรียบร้อย และกลับเข้าวังไปก่อน จากนั้นทั่วทั้งลานจึงกลายเป็นท้องทะเลแห่งความสนุกสนานอย่างแท้จริง ทุกคนต่างพากันร้องเล่นเต้นรำอย่างสนุกสนาน รวมถึงองค์หญิงอันซีและสามีของนางด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางความสนุกสนานครื้นเครง เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยานั่งอยู่ในมุมหนึ่งที่ไม่เป็นที่สะดุดตาที่สุด คอยสังเกตการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า
“งานแต่งงานของหนานเจียง ถึงแม้จะมิได้มีพิธีรีตองมากมายเช่นจงหยวน แต่ดูจะครื้นเครงกว่ามากนะ” เยี่ยหลียิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นเบาๆ
ม่อซิวเหยามองผู้คนที่รื่นรมย์อยู่กับเสียงเพลงและพูดคุยส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนใจ เอ่ยถามว่า “อาหลี พวกเราจะลงไปร่วมสนุกกับพวกเขาหรือไม่”
เยี่ยหลีปรายตามองเขาเรียบๆ “ถ้าท่านชอบก็ไปเองเถิด ข้าร่ายรำไม่เป็น”
ม่อซิวเหยาผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ช่างเถิด ข้าก็ไม่อยากเห็นอาหลีร่ายรำต่อหน้าคนอื่น”
“พระชายา…” จั๋วจิ้งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังทั้งสอง ก้มลงกระซิบบางอย่างที่ข้างหูเยี่ยหลี
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “เกิดเรื่องกับองค์หญิงฉางเล่อ พวกเราไปกันก่อนเถิด”
ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะมิได้คุ้นเคยอันใดกับองค์หญิงฉางเล่อ แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของฮว่าฮองเฮา และม่อซิวเหยาเองก็มีความรู้สึกดีกับแม่นางน้อยผู้นั้นอยู่มาก ซึ่งเป็นเด็กที่แตกต่างกับเสด็จพ่อของนางโดยสิ้นเชิง
เขาพยักหน้า ดึงเยี่ยหลีให้ลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่กลับถูกเสียงที่ดังขึ้นทางด้านหลังรั้งเอาไว้ “ท่านอ๋อง งานเพิ่งเริ่มเท่านั้น ท่านจะกลับแล้วหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยไม่รู้เดินมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อใด ถึงแม้จะเป็นยามค่ำคืนที่อยู่ท่ามกลางแสงจากโคมไฟ และอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่หลิ่วกุ้ยเฟยก็ยังคงโดดเด่นอยู่ในชุดสีขาวสง่า ประหนึ่งหิมะบนยอดเขา ที่ทำให้ผู้คนพากันชื่นชมในความงาน แต่มิกล้าเข้าใกล้
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
หลิ่วกุ้ยเฟยแย้มยิ้มแต่เพียงบางๆ “ยามนี้ทูตจากแต่ละแคว้นยังอยู่ที่นี่กันครบ ท่านอ๋องจะออกจากงานไปก่อนเช่นนี้ จะไม่ถือว่าไม่เคารพท่านเจ้าของงานหรือ”
ทั้งสามคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ต่างเป็นคนที่เป็นที่จับจ้องของทุกคน เพียงแค่พูดคุยกันไม่กี่ประโยค สายตาของม่อจิ่งหลี เหลยเถิงเฟิงก็ต่างพากันกวาดมองมาทางนี้
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันทันที เหลือบมองม่อซิวเหยาก่อนเอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยพูดถูก ถ้าเช่นนี้ ท่านอ๋อง…ท่านก็อย่าเพิ่งกลับไปเป็นเพื่อนข้าเลย ข้ากลับไปเองก่อนก็แล้วกัน”
ไม่เพียงเรื่องขององค์หญิงฉางเล่อเท่านั้น ทางฟากองค์หญิงอันซีนี่ก็ต้องการคนคอยจับตาดู
ม่อซิวเหยาดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจความหมายของเยี่ยหลีดี แต่ก็ยังทำทีเป็นห่วงเป็นใย “เจ้ากลับไปคนเดียวได้หรือ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พร้อมพยักหน้า
หลิ่วกุ้ยเฟยมองสำรวจเยี่ยหลีด้วยความสงสัย ก่อนเอ่ยถามว่า “คุณหนูเยี่ยเป็นอันใดหรือ”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “คืนนี้คนมากเกินไปจนข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่านั้น ลำบากหลิ่วกุ้ยเฟยต้องเป็นห่วงแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยมิได้ทัดทานอันใด แต่เห็นได้ชัดว่า การที่เยี่ยหลีกลับไปคนเดียวนั้น ทำให้นางยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นเอ่ยกับเยี่ยหลีด้วยสีหน้าอบอุ่นว่า ”เช่นนั้นคุณหนูเยี่ยก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
เยี่ยหลีคร้านที่จะใส่ใจกับสตรีที่สมองมีปัญหาผู้นี้ นางหันไปพยักหน้าให้ม่อซิวเหยาก่อนเดินนำจั๋วจิ้งออกไปจากงานเลี้ยง
เมื่อกลับถึงจวนพักทูต เดินผ่านประตูเรือนไป เฟิ่งจือเหยาก็กระหืดกระหอบเข้ามาทันที สีหน้าดูไม่ค่อยจะดีนัก “พระชายา”
“องค์หญิงฉางเล่อเป็นอันใดไปหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “องค์หญิงฉางเล่อถูกส่งตัวเข้าวังไปแล้ว”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ตั้งแต่เมื่อไร”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “ก็เป็นตอนที่พวกเราออกไปร่วมงานเลี้ยง ข้ากลับมาช้าไปก้าวหนึ่ง องค์หญิงฉางเล่อถูกส่งเข้าวังไปก่อนแล้ว”
ด้วยสายลับที่ตำหนักติ้งอ๋องวางไว้ในวังหนานจ้าว ก็ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถนำตัวองค์หญิงฉางเล่อออกมาได้ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการเปิดโปงคนที่เป็นสายลับของตำหนักติ้งอ๋อง อีกทั้งหลังจากที่นำตัวองค์หญิงฉางเล่อออกมาแล้ว ความยุ่งยากที่จะตามมาคงอีกมากมาย ไม่ใช่สิ่งที่เฟิ่งจือเหยาสามารถตัดสินใจเองได้
เยี่ยหลีนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “หนานจ้าวอ๋องเพิ่งกลับวังไปได้ไม่นาน ตามธรรมเนียบของหนานจ้าว…พวกเราเข้าวังกันตอนนี้ บางทีอาจจะยังทัน!”
เฟิ่งจือเหยาตาเป็นประกาย “ขอบพระคุณพระชายา!”
ครานี้คนที่มาหนานจ้าวด้วยนั้นมีไม่มากนัก แต่ที่เยี่ยหลีจะเข้าวังหนานจ้าว ต้องการเพียงเฟิ่งจือเหยา ฉินเฟิง จั๋วจิ้ง หลินหานกับหน่วยกิเลนอีกสองนายก็เพียงพอแล้ว
พวกเขาเดินอ้อมลานกว้างหน้าวังที่กำลังอึกทึกครึกโครม ลอบเข้าวังไปโดยไม่ทำให้องครักษ์ภายในวังต้องแตกตื่น
แต่เมื่อพวกเขาไปถึงหน้าห้องพระบรรทม ก็ได้ยินเสียงดังโวยวายขึ้นจากด้านในว่า “มีผู้บุกรุก!”
เฟิ่งจือเหยาตกใจ “รู้ตัวแล้วหรือ”
ฉินเฟิงส่ายหน้า ยื่นมือไปกดมือเฟิ่งจือเหยาที่กำลังจะชักดาบไว้ “การป้องกันในวังหนานจ้าวมิได้เก่งกาจถึงเพียงนั้น”
พวกเขาสามสี่คน นอกจากเฟิ่งจือเหยาแล้ว ล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการหลบซ่อนตัว หากพวกเขาระวังตัวอยู่ตลอด องครักษ์ของวังหนานจ้าวไม่มีทางพบเห็นพวกเขาอย่างแน่นอน
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ องครักษ์ที่เข้ามาสอบถาม ไม่แม้แต่จะมองมาทางที่พวกเขาอยู่ ต่างบุกเข้าไปในห้องบรรทมกันทันที แล้วในห้องบรรทมก็เกิดเสียงปะทะกันของอาวุธจากการต่อสู้ดังขึ้น
เยี่ยหลียกมือขึ้นหันไปส่งสัญญาณมือให้กับทุกคนที่อยู่ด้านหลัง หน่วยกิเลนสองนายและจั๋วจิ้งกับหลินหานที่อยู่ด้านหลัง แบ่งออกเป็นส่องกลุ่ม แยกซ้ายขวาอ้อมไปทางตำหนัก แล้วเงาก็ทั้งสี่คนก็ไปปรากฏอยู่บนหลังคาตำหนักอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในนั้นหันมาส่งสัญญาณมือมาทางพวกเขา เฟิ่งจือเหยายังไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ พากระโดดขึ้นไปบนหลังคาตำหนักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
กว่าจะลงยืนได้มั่นคง เงาของทั้งสี่คนก็หายวับไปเสียแล้ว