ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 244-1 มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า
“ท่านทั้งสอง ไม่รู้ว่าขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่” ที่ปากประตู บัณฑิตคนหนึ่งสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเดินเข้ามา กวาดตามองเห็นว่าชั่วพริบตาภายในห้องโถงใหญ่ก็มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด จึงเดินเข้ามาถึงโต๊ะที่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีนั่งอยู่
เยี่ยหลีหันไปเหลือบมองห้องโถงใหญ่ โถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมที่เดิมก็มิได้ใหญ่โตอันใด มีโต๊ะอยู่เพียงเจ็ดแปดโต๊ะเท่านั้น เพียงชั่วเวลาไม่นานก็มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด ถึงแม้จะยังมีที่นั่งว่างอยู่ แต่คนที่มีท่าทางเป็นบัณฑิตเช่นนี้ หากจะให้ไปนั่งเบียดอยู่กับคนในยุทธภพที่ดูห้าวหาญดุดัน ก็คงน่าอึดอัดไม่น้อย เดิมทีก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด
เยี่ยหลีหันไปเหลือบมองม่อซิวเหยา ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “เชิญตามสบาย”
บัณฑิตผู้นั้นเพียงหันมองบุรุษที่เขารู้สึกว่าดูไม่ค่อยเป็นมิตรนักทีหนึ่ง เดิมทีเขามิได้คาดหวังอันใดมากมายอยู่แล้ว ไม่คิดว่าสตรีที่อยู่ในชุดเรียบๆ กลับรับปากง่ายๆ เช่นนี้ จึงอดอึ้งไปเล็กน้อยไม่ได้ รีบเอ่ยขอบคุณว่า “ขอบคุณแม่นางมาก”
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงรังสีเย็นเยียบที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงของบุรุษข้างกาย นางเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับบัณฑิตผู้นั้นว่า “นี่คือสามีของข้า”
บัณฑิตผู้นั้นดูประหลาดใจขึ้นหลายส่วน เดิมทีเขาเห็นเยี่ยหลีอยู่ในชุดเรียบๆ ทรงผมก็มิได้รวบขึ้นไว้อย่างเรียบร้อยเช่นสตรีที่แต่งงานแล้ว แค่เพียงใช้ด้ายสีเงินรวบไว้ง่ายๆ เท่านั้น มองดูแล้วถึงแม้ลักษณะท่าทางจะเหมือนคนอายุสิบหกสิบเจ็ด แต่สตรีในซีหลิงอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่ยังไม่แต่งงานก็มีไม่น้อย จึงคิดเพียงว่า ทั้งสองคนนี้เป็นคู่พี่น้องที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันหรือเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องอันใดกันเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคู่สามีภรรยา “ขอโทษด้วยจริงๆ ฮูหยิน…คุณชายท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใดหรือ”
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย พักใหญ่ถึงได้เอ่ยเรียบๆ ว่า “เยี่ย”
แค่ชั่วเวลาเพียงครู่ สีหน้าประดักประเดิดและรู้สึกผิดบนใบหน้าของบัณฑิตผู้นั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง มองทั้งสองประหนึ่งเป็นญาติสนิทที่รู้จักมักคุ้นกันมานานหลายปี “พี่เยี่ยกับฮูหยินก็มาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพของปีนี้เช่นกันหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ถึงกับมาร่วมงาน เพียงแค่ท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ จึงมาร่วมชมด้วยเท่านั้น”
บัณฑิตผู้นั้นปรบมือพร้อมยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นช่างดีเสียจริง ข้าน้อยเองก็คิดอยากมาดูด้วยพอดี เช่นนั้นพวกเราร่วมเดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่ ใช่สิ…ข้าน้อยเหรินฉีหนิง”
ครานี้เยี่ยหลีไม่ได้ตอบรับอันใด นางไม่คุ้นเคยกับยุทธภพเลยจริงๆ นอกจากยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงจริงๆ แล้ว จะมีคนที่ชื่อประหลาดคนอื่นอยู่อีกหรือไม่นางไม่รู้ เพียงแต่อย่างน้อยก็มองออกว่า เหรินฉีหนิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ มิใช่บัณฑิตธรรมดาทั่วไป
ซีหลิงไม่เหมือนกับต้าฉู่ ซีหลิงมิใช่สถานที่ที่มีบัณฑิตขงจื้อเดินอยู่ทั่วทุกพื้นที่ การที่บัณฑิตผู้นี้มาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ เดิมทีก็แปลกมากพออยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจะพาพวกเขาไปดูงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพอีก
ม่อซิวเหยาวางตะเกียบในมือลง เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีก็กินเสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นพร้อมจูงเยี่ยหลีให้เดินออกไป เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเราสามีภรรยาไม่ชอบให้คนนอกมารบกวน”
และไม่สนใจว่าเหรินฉีหนิงที่อยู่ด้านหลังจะมีสีหน้าเช่นไรอีก จูงเยี่ยหลีเดินขึ้นไปพักผ่อนด้านบนทันที
“ซิวเหยา?”
ช่วงบ่ายภายในโรงเตี๊ยม เยี่ยหลีนั่งอยู่ตรงหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน อ่านหนังสือบันทึกท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องมากระทบกาย ทำให้รู้สึกเกียจคร้านไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกาย แล้วนางก็ถูกโอบกอดเข้าจากด้านหลัง เยี่ยหลีวางหนังสือในมือลง ผินหน้ามองบุรุษที่อยู่ด้านหลัง
“หือ?” ม่อซิวเหยายืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลี ทอดสายตามองผู้คนบนถนนที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านล่างอย่างสบายๆ
เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “เหรินฉีหนิงผู้นั้นเกรงว่าจะมิใช่คนธรรมดากระมัง”
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลง ช่วยจับผมตรงข้างหูที่หลุดรุ่ยของนางอย่างอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ดูไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพียงแต่ไม่ต้องเป็นห่วง ในยุทธภพมักมีคนแปลกๆ และเรื่องประหลาดๆ อยู่เสมอ อาหลีแค่เพียงถือเสียว่าไปดูเรื่องสนุกก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “วิทยายุทธเหรินฉีหนิงเป็นเช่นไร”
ตัวเยี่ยหลีเองก็เพียงดูออกว่า เหรินฉีหนิงมิใช่เป็นบัณฑิตอ่อนแอปวกเปียกที่ไม่มีแรงแม้จะจับไก่ แต่กลับมองไม่ออกว่าเขามีวิทยายุทธแก่กล้าเพียงใด ซึ่งนั่นก็เป็นตัวพิสูจน์ว่า เรื่องฝึกปรือกำลังภายในของเหรินฉีหนิงคงจะเก่งกาจกว่านางไม่น้อย
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ใช้ความคิดเล็กน้อย “หากในยุทธภพอย่างน้อยก็น่าจะติดหนึ่งในสิบ ไม่แน่ว่าหนึ่งในห้าก็อาจจะเป็นได้ ข้าเองก็มองไม่ออกว่าเขาเป็นพวกไหน”
จะว่าไป ม่อซิวเหยาก็มิใช่คนในยุทธภพ ในยามนั้นที่ม่อซิวเหยาใช้ดาบฟาดฟันจนได้เป็นสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้ามาเมื่ออายุสิบสี่ปีนั้น เวลาและพละกำลังโดยมากของเขาก็ใช้ไปในสนามรบ เรื่องในยุทธภพเขาก็เพียงรู้แต่คร่าวๆ เท่านั้น
เยี่ยหลีได้แต่ยิ้มขื่นอย่างจนใจ “ช่างโชคดีเหลือเกิน แค่ออกมาเที่ยวเล่นไปเรื่อยเปื่อย กลับบังเอิญได้พบยอดฝีมือเช่นนี้”
ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีให้พิงมาที่ตน ม่อซิวเหยาก้มลงมองนาง ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจเขา หากจะต้องมาเสียอารมณ์เที่ยวด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ สู้พวกเราไม่ไปดูการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพเสียจะดีกว่า”
“ท่านไม่กลัวว่าจะถูกแย่งตำแหน่งสี่ยอดฝีมือไปหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามกลัวหัวเราะ
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ อย่างดูแคลน “ต่อให้ถูกแย่งตำแหน่งสิบยอดฝีมือไป ก็มิอาจเปลี่ยนเรื่องจริงที่ว่า วิทธยายุทธของข้าสูงส่งกว่าพวกเขาไปได้หรอก อีกอย่าง…ในโลกนี้มีสักกี่คนกันที่ต้องให้ข้าลงมือด้วยตนเอง ยอดฝีมือไม่ยอดฝีมืออันใดนั่น ก็เป็นเพียงความคึกคะนองในวัยเด็กที่มาสู้ไปเล่นๆ เท่านั้นเอง”
เยี่ยหลีเอนกายอยู่ในอ้อมแขนเขา ถอนใจเบาๆ ทั้งเสียดายทั้งเห็นขัน ชื่อเสียงแห่งยอดฝีมือที่คนในยุทธภพต่างกรูกันไปแย่งชิงนั้น เป็นเพียงเรื่องเล่นๆ เท่านั้นเอง
“ข้ายังไม่ได้เห็นงามชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพเลยนะ พวกเราไปดูกันเถิดว่าเป็นเช่นไร” เยี่ยหลีหมุนตัวหันมาเอ่ย
“ได้สิ อาหลีอยากไปที่ใด พวกเราก็ไปที่นั่น” ม่อซิวเหยาตอบรับ
การชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพย่อมมิได้จัดขึ้นที่เมืองเล็กๆ ที่ไร้ชื่อเสียง เพียงแต่สถานที่จัดงานนั้นมิได้อยู่ห่างจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้มากนัก ซึ่งก็คือหมู่บ้านมู่หรงบนภูเขาที่อยู่ห่างจากเมืองอัน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของซีหลิงไปสิบลี้ และเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไปสองร้อยลี้
เช้าตรู่วันต่อมา เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาก็เตรียมตัวออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองอัน แค่เพียงเดินลงมาก็เห็นเหรินฉีหนิงที่เตรียมสรุปบัญชีจ่ายเงิน กำลังเตรียมออกเดินทางเช่นกัน
เขามิได้มีท่าทางเย็นชาเหมือนม่อซิวเหยา เหรินฉีหนิงเมื่อเห็นทั้งสอง กลับดูยินดีเป็นอย่างยิ่ง “คุณชายเยี่ย เยี่ยฮูหยิน ช่างบังเอิญเสียจริง ท่านทั้งสองก็เตรียมจะออกเดินทางเหมือนกันหรือ”
ม่อซิวเหยาจูงเยี่ยหลีไปจ่ายเงิน และเดินออกไปเองทันที เมื่อถูกเมินเฉยอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ต่อให้เหรินฉีหนิงจะงามสง่าเพียงไร ก็ยังอดสีหน้าแข็งเกร็งขึ้นไม่ได้ แต่ก็ยังรีบเดินตามมาเอ่ยว่า “คุณชายเยี่ย เยี่ยฮูหยิน…”
ไม่รอให้เขาพูดจนจบ ม่อซิวเหยาก็หันกลับไปมองสำรวจเขา แล้วถึงได้เอ่ยว่า “คุณชายเหริน ข้าน้อยกับภรรยา นานๆ ทีจะมีเวลาออกมาท่องเที่ยวกัน การมารบกวนสามีภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ จะโดนม้าถีบเอานะขอรับ”
เช่นนี้ เหรินฉีหนิงที่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จึงได้แต่ตาค้าง มองม่อซิวเหยาอุ้มเยี่ยหลีขึ้นม้าและควบออกไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองอีกเลยแม้แต่น้อย
เมื่อออกจากเมืองเล็กๆ นั้นมาแล้ว เยี่ยหลีก็นึกถึงเหรินฉีหนิงที่ถูกทิ้งเอาไว้ขึ้นมา สีหน้าประหนึ่งกลืนแมลงวันเข้าไปของเขา ทำให้เยี่ยหลีอดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้
ม่อซิวเหยาที่เอนตัวพิงกับไหล่ของเยี่ยหลี ควบคุมทิศทางและความเร็วของม้าไปเรื่อยๆ พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “อาหลีหัวเราะอันใดหรือ ถึงได้ดูมีความสุขเช่นนี้”
เยี่ยหลีส่ายหน้าดิก
ม่อซิวเหยาย่อมรู้ดีว่านางกำลังหัวเราะเรื่องอันใด แต่ก็มิได้สนใจอันใด เอ่ยเรียบๆ ว่า “เหรินฉีหนิงผู้นั้นดูท่าจะมิได้วางแผนคิดทำเรื่องเล็กๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามเดินทางมากับพวกเราด้วยเหตุอันใดก็ตาม หากมีเขาเดินทางมาด้วย อย่างไรก็คงไม่มีอิสระนัก”
เยี่ยหลีพยักหน้า นางก็มิได้คิดจะร่วมเดินทางกับผู้ใดเช่นกัน “หมู่บ้านมู่หรงบนภูเขาเป็นสถานที่เช่นไรกัน ตระกูลที่มีชื่อเสียงของยุทธภพหรือ”
หมู่บ้านมู่หรงบนภูเขา
หมู่บ้านมู่หรงบนภูเขาอันใดนั่น เป็นสถานที่ที่มักปรากฏขึ้นในนิยายกำลังภายในบ่อยๆ จริงๆ ทุกคราก็จะมีการเอ่ยถึงแปดตระกูลใหญ่แห่งยุทธภพอันใดนั่นทุกคราไป หากรู้แต่แรกว่าจะต้องปะปนเข้าไปในยุทธภพแล้ว นางน่าจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับยุทธภพทั้งหมดให้จบเสียตั้งแต่ทีแรก
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “หมู่บ้านมู่หรง…มิใช่ตระกูลใหญ่แห่งยุทธภพ แต่เป็น…มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า”
“เอ๋?” เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า?” ตระกูลที่ร่ำรวยนั้น เยี่ยหลีเคยพบเห็นมาก่อน ตระกูลเฟิ่งของเฟิ่งจือเหยาก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของต้าฉู่ แต่ก็มิกล้าเรียกตนเองว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า ตระกูลมู่หรงนั่นมีทรัพย์สมบัติอยู่มากมายมหาศาลเพียงใดกันแน่ “หากเทียบกับตระกูลเฟิ่ง ถือว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ตระกูลเฟิ่งห้าตระกูล ก็ไม่แน่ว่าจะเทียบกับความร่ำรวยของตระกูลมู่หรงได้”
ถึงแม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เยี่ยหลีก็ยังรู้สึกตกใจไม่น้อย