ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 246-1 การประลองยุทธบนยอดเขา
เมื่อมีสวีชิงเฉินคอยดูแลสถานการณ์ในเมืองอันและตระกูลมู่หรงแล้ว เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาจึงยิ่งผ่อนคลายและสบายกายขึ้นไปอีก ม่อซิวเหยาพาเยี่ยหลีออกเดินเล่นไปทั่วทั้งในเมืองและนอกเมือง อย่างไม่มีเป้าหมาย ประหนึ่งเป็นคู่สามีภรรยาที่กำลังเบื่อหน่ายและหาเรื่องใช้เวลาก่อนงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพจะเริ่มขึ้นเท่านั้น
ซึ่งทำให้คนที่ถูกส่งมาคอยติดตามพวกเขานึกหงุดหงิดใจเป็นที่สุด พวกเขาดูไม่ออกเลยว่า คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นี้มีอันใดน่าสงสัย ถึงแม้บุรุษผู้นั้นจะหน้าตาหล่อเหลาไปสักหน่อย มีวรยุทธสูงไปสักหน่อย ส่วนสตรีนางนั้นถึงแม้จะงดงามไปสักหน่อย และดูจะโดดเด่นกว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไปอยู่สักหน่อย แต่ก็มิได้เกี่ยวอันใดกับเจ้านายของพวกเขาเลยนี่ พวกเขาจึงมิอาจเข้าใจได้ ว่าเหตุใดผู้เป็นนายของตนถึงได้ยืนหยัดที่จะคิดว่าสองคนนี้มีอันตรายนัก
พวกเขาติดตามมาแล้วถึงสองวัน แต่ก็ยังไม่พบว่าทั้งสองคนมีตรงใดที่น่าสงสัย เหรินฉีหนิงจึงอายเล็กน้อยหากจะให้คนตามพวกเขาต่อไป จึงจำต้องสั่งถอนคนที่ติดตามม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีออกเสีย
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมมาแล้วพบว่าวันนี้ไม่มีหางคอยติดตามมาด้วย เยี่ยหลียังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ถอนคนออกไปเร็วเพียงนี้เชียวหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เขาเป็นคนฉลาด ในเมื่อสืบที่มาของพวกเราไม่ได้ หากให้ตามต่อไปมีแต่จะฉีกหน้าตนเอง อย่างไรทุกคนก็คงดูไม่ดี”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ทางฝั่งพี่ใหญ่พอรู้ที่มาที่ไปของเหรินฉีหนิงแล้วหรือยัง”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “สืบไม่พบ คนผู้นี้กับผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังเขา น่าจะมิเคยปรากฏกายขึ้นในยุทธภพหรือในบรรดาผู้มีอิทธิพลและชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นมาก่อน มิเช่นนั้นอย่างไรก็ควรมีเบาะแสอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก…ที่นี่อยู่ในอาณาเขตของซีหลิง”
คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นที่ซีหลิง ต่อให้ต้องมีผู้ที่ปวดหัว ก็ควรจะเป็นเหลยเจิ้นถิงที่ปวดหัวถึงจะถูก
“พี่ใหญ่เจ้าให้คนไปเตือนเหลยเจิ้นถิงและเหลยเถิงเฟิงไว้แล้ว ไว้รอดูท่าทีของพวกเขาก่อนค่อยว่ากัน”
เยี่ยหลีพยักหน้า เดิมทีหากมิใช่เพราะเหรินฉีหนิงอวดฉลาดส่งคนตามสะกดรอยตามและสืบประวัติของพวกเขา เยี่ยหลีก็คงไม่นึกสนใจคนผู้นี้ ในเมื่อม่อซิวเหยาคิดอันใดไว้อยู่ในใจแล้ว เยี่ยหลีก็คร้านจะเข้าไปยุ่มย่าม
หลายวันนี้พวกเขาเที่ยวเล่นไปทั่วเมืองอัน ถึงแม้ด้านหลังจะมีหางที่น่ารังเกียจคอยตามติด แต่ก็ได้รู้ข่าวอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ตระกูลมู่หรงจะมิได้มีชื่อเสียงเป็นที่โดดเด่นนักในต้าฉู่และซีเป่ย แต่เมืองอันกับตระกูลมู่หรงนั้น ขอเพียงอยู่ในระยะสิบลี้ เรียกได้ว่าทั่วทั้งเมืองอันอยู่ภายในอิทธิพลของตระกูลมู่หรงเลยทีเดียว แน่นอนว่าข่าวคราวเกี่ยวกับตระกูลมู่หรงคงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ว่ากันว่าคุณหนูมู่หรงเกิดมาก็งดงามประหนึ่งบุพผา นิสัยก็อ่อนหวานและมีเมตตา ในเมืองอันนางมีชื่อเสียงที่ดีมาโดยตลอด นางจึงได้ใจของชาวบ้านจำนวนมาก ปานประหนึ่งเป็นเทพธิดาในโลกแห่งความจริงกระนั้น ว่ากันว่า วันที่หนึ่งของทุกเดือน คุณหนูมู่หรงจะเดินทางไปยังวัดเจาหนิงที่นอกเมือง เพื่อจุดธูปขอพรให้กับผู้เป็นบิดาและบรรพบุรุษ
วันนี้เป็นวันที่หนึ่งพอดี ถึงแม้งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพจะใกล้เริ่มต้นขึ้นเต็มทีแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้คุณหนูมู่หรงเปลี่ยนกิจวัตรของตนเองในเรื่องนี้ และด้วยเพราะเหตุนี้ เมื่อได้รู้ข่าวบรรดาจอมยุทธหนุ่มแห่งยุทธภพ และคุณชายมากความสามารถจากตระกูลผู้มีอิทธิพลและชนชั้นสูง จึงพากันมุ่งตรงไปยังวัดเจาหนิงโดยไม่ทันแม้แต่จะกินข้าวเช้า จึงทำให้เมืองอันที่หลายวันมานี้แออัดยัดเยียด ดูสะอาดตาขึ้นมากทีเดียว
ถึงแม้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีจะมาเพื่อร่วมชมความสนุก แต่ก็ย่อมไม่พลาดที่จะไปร่วมมุงดูความสนุกครั้งนี้ที่วัดเจาหนิงด้วย ทั้งสองกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ออกเดินทางสบายๆ ไปยังนอกเมือง
กว่าจะเดินทางไปถึงวัดเจาหนิง ก็มีศีรษะของผู้คนอออยู่เต็มทุกพื้นที่แล้ว หากคนต่างถิ่นที่ไม่รู้มาเห็นภาพนี้เข้า จะต้องตกใจที่วัดเจาหนิงแห่งนี้มีธูปปักอยู่เสียเต็มกระถาง
ถึงแม้จำนวนคนจะมากเกินไป แต่โชคดีที่วัดเจาหนิงเป็นวัดที่น่ามาท่องเที่ยวอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าผืนใหญ่อันเงียบสงบบนภูเขาด้านหลัง ช่างงดงามปานประหนึ่งภาพวาด ผู้คนที่มาถึงก่อนหน้านี้ต่างออกันอยู่ที่ภูเขาด้านหน้า เพื่อต้องการชื่นชมความงามของคุณหนูมู่หรง ยามนี้ภูเขาด้านหลังจึงสงบเงียบและสบายเป็นพิเศษ
ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีจับมือกันเดินเรื่อยๆ ไปตามทางเดินเล็กๆ บนภูเขาด้านหลัง เสียงจ๊อกแจ๊กที่ดังลอยมาจากที่ไกลๆ ยิ่งทำให้ภูเขาด้านหลังดูสงบเงียบและไร้ผู้คน
เมื่อคิดถึงบรรดาผู้คนที่ตั้งตารอกันอยู่เหล่านั้น เยี่ยหลีก็อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้
ม่อซิวเหยาก้มลงมาถามนางว่า “อาหลีหัวเราะอันใดหรือ”
เยี่ยหลีกลั้นหัวเราะขึ้นเงยหน้ามองเขา “ข้ากำลังคิดว่า ม่อจิ่งหลีกับเหลิยเถิงเฟิงจะรวมอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยหรือไม่ แล้วก็…หากท่านอ๋องไปตั้งต่อรอเช่นเดียวกับคนเหล่านั้น จะเป็นเช่นไร”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงเหอะเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ ท่านติ้งอ๋องทระนงตนมาตั้งแต่เกิด แต่ไหนแต่ไรมา มีแต่คนตั้งตารอเขา เคยเมื่อใดที่จะทำตัวเหมือนคนเหล่านั้น “นอกจากอาหลีแล้ว ในโลกนี้มีผู้ใดบ้างที่ควรค่าให้ข้าต้องรอคอย”
เยี่ยหลีได้แต่กรอกตาใส่เขา กับคำพูดคำจาหวานหูของม่อซิวเหยาที่นึกจะพูดก็พูดนั้น เยี่ยหลีเริ่มที่จะชินเสียแล้ว
ในขณะที่กำลังพูดจาเล่นหัวกันอยู่นั้น สีหน้าม่อซิวเหยาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด มองตรงไปด้านหน้า จากนั้นก็อุ้มเยี่ยหลีกระโดดขึ้นไปบนเนินเขาบนทางเดินเล็กๆ ก่อนกระโดดตัวลงบนต้นไม้เก่าแก่ที่มีใบไม้สีเขียวอยู่รกทึบ
ที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ มิได้ทำให้เยี่ยหลีตกใจอันใด นางพิงอยู่ในอ้อมอกของม่อซิวเหยา มองตรงไปทางด้านหน้า ไม่นานก็ได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยเอ่ยพูดคุยกันดังมา
คนกลุ่มนั้นเดินค่อยๆ เดินลงมาจากภูเขา เยี่ยหลีทอดสายตามองไปเห็นว่ามีสิบกว่าคนในนั้นเป็นบุรุษและสตรีที่ดูแข็งแรง ในมือถือดาบอยู่ ส่วนคนที่พวกเขาอารักขาอยู่ก็เป็นสตรีที่อยู่ในชุดหลัวสีม่วงอ่อน ข้างกายยังมีสาวใช้ติดตามอีกหกคน อยู่ในชุดสีเขียว กับหมัวมัวอีกสองคน
แค่เพียงมองดู เยี่ยหลีก็รู้แล้วว่า ชุดหลัวสีม่วงที่สาวน้อยผู้นั้นสวมอยู่เป็นผ้าไหมสุ่ยอวิ๋น หนึ่งในสามสินค้าล้ำค่าจากหนานจ้าว ส่วนผ้าลูกไม้ที่ทับอยู่ด้านนอกชุดหลัวก็คือฝ้ายฝูหรง
คนหนานจ้าว ถือเอาว่าสีน้ำเงินและสีขาวเป็นสีที่สูงส่งที่สุด ดังนั้นผ้าไหมสุ่ยอวิ๋นที่เป็นหนึ่งในของล้ำค่าของหนานจ้าวจึงล้วนมีสีที่ค่อนข้างสะอาดและเรียบง่าย จึงมิได้ผลิตสีที่เข้มอย่างสีม่วง ดังนั้นผ้าไหมสุ่ยอวิ๋นนี้ย่อมมิใช่ของบรรณาการจากหนานจ้าว แต่ในใต้หล้านี้ นอกจากหนานจ้าวแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถผลิตผ้าไหมชั้นเลิศเช่นผ้าไหมสุ่ยอวิ๋นนี้ได้อีก ดังนั้นผ้าไหมสุ่ยอวิ๋นสีม่วงนี้ จึงจะต้องเป็นของทำขึ้นเองอย่างแน่นอน ซึ่งก็หมายความว่า มีคนที่รู้ความลับในการทำสินค้าที่ล้ำค่าที่สุดของหนานจ้าวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาผลิตผ้าไหมสุ่ยอวิ๋นจำนวนมากออกมา จะต้องกลายเป็นเงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระนั้นคนในใต้หล้าต่างก็ไม่เคยมีผู้ใดได้ยินว่ามีที่ใดที่ผลิตผ้าไหมสุ่ยอวิ๋นออกมานอกจากหนานจ้าวมาก่อน เช่นนั้นก็เกรงว่า คนผู้นั้นจะมิได้เห็นการค้าส่วนนี้อยู่ในสายตา
ยิ่งเมื่อมองไปยังกำไลและปิ่นหยก รวมถึงสร้อยคออัญมณีทั้งหลายที่อยู่บนตัว ล้วนไม่มีของชิ้นใดที่มิใช้ของชั้นเลิศอันล้ำค่า การแต่งกายเช่นนี้ อย่าว่าแต่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเลย เกรงว่าแม้แต่องค์หญิงที่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็ยังไม่หรูหราฟู่ฟ่าเช่นนี้
ไม่ต้องแม้แต่จะคิด เยี่ยหลีก็เดาออกทันทีว่า สตรีที่อยู่ท่ามกลางการอารักขาผู้นั้นคือใคร
“คุณหนู ด้านนอกประตูฝั่งภูเขามีคนอยู่มากทีเดียว พวกเราเข้าทางประตูด้านข้างกันเถิดเจ้าค่ะ” หมัวมัวที่อยู่ข้างกายสตรีสาวในชุดสีม่วงเอ่ยเสนอขึ้นเบาๆ ถึงแม้ละแวกนี้จะมิได้มีผู้ใดอยู่ แต่นั่นก็ด้วยเพราะคนเหล่านี้คิดว่าคุณหนูยังไม่มา แต่หารู้ไม่ว่าพวกนางขึ้นเขากันไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ยามนี้หากออกไปทางประตูหลัก เกรงว่าจะเป็นการรบกวนคุณหนู
สตรีในชุดสีม่วงยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ซูหมัวมัวไม่ต้องกังวลไป กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นผู้มีความสามารถในใต้หล้าที่มาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพ เชื่อว่าคงมิใช่คนที่ไม่รู้จักธรรมเนียม”
“ก็จริงเจ้าค่ะ คุณหนูพูดถูก คนเหล่านั้นอยากเอาอกเอาใจคุณหนูกันเสียแทบรอไม่ไหว ผู้ใดเลยจะกล้าทำร้ายคุณหนู”
สาวใช้ข้างกายสตรีในชุดสีม่วงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านประมุขและนายท่านอาทวดบอกไว้แล้วว่า จะเลือกบุรุษที่ดีเลิศที่สุดในใต้หล้ามาเป็นสามีให้กับคุณหนู ต้องให้คนพวกนั้นได้รู้ว่า คุณหนูของพวกเรามิได้เป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นสตรีที่งามเลิศขนาดที่ล้มบ้านล้มเมืองได้ทีเดียวเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าเด็กคนนี้ พูดเหลวไหลอันใด กลับไประวังท่านปู่จะสั่งสอนเจ้า!” สตรีในชุดสีม่วงเอ่ยต่อว่าขึ้น แต่ดวงตาที่มิได้ถูกผ้าปิดหน้าสีม่วงปิดไว้ กลับมีรอยขบขันจางๆ อยู่ เห็นได้ชัดว่านางมิได้ตั้งใจที่จะต่อว่าจริงๆ
สาวใช้รู้ดีว่าคุณหนูของตนเป็นคนจิตใจดีมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่นึกกลัว เอ่ยกลั้วหัวเราะคิกคักว่า “คุณหนูใจดีที่สุดแล้ว ไม่มีทางให้นายท่านลงโทษลี่ว์เอ๋อร์หรอกเจ้าค่ะ”
สาวน้อยในชุดสีม่วงถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “เอาเถิด รีบกลับกันเถิด เดี๋ยวท่านปู่กับท่านอาทวดจะเป็นกังวล”
“คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ” คนกลุ่มนั้นเดินไปคุยไปและค่อยๆ ออกห่างไปเรื่อยๆ แล้ว ม่อซิวเหยาถึงได้อุ้มเยี่ยหลีกระโดดลงบนทางเดินเล็กๆ นั้นอีกครั้ง
เยี่ยหลีมองถนนสายเล็กที่ไม่มีร่างผู้ใดอยู่แล้วอย่างให้ความคิด ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ดูท่าพวกเราคงจะดวงดีไม่น้อย ไม่ต้องไปเบียดเสียดอยู่กับคนเหล่านั้น ก็ได้เห็นคุณหนูตระกูลมู่หรงก่อนผู้ใดเสียอีก”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเรียบๆ เห็นได้ชัดว่าเขามิได้ใส่ใจ
เยี่ยหลียื่นมือไปจิ้มเขาอย่างจนใจ “ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าท่านอ๋องจะมองไม่ออก”
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงยิ้มให้นาง “มองอันใดไม่ออกหรือ”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “คุณหนูมู่หรงผู้นั้น ลายที่ฝังอยู่ในชุดของนางกับปิ่นปักผมบนศีรษะของนางล้วนเป็นลายหงส์อย่างไรเล่า ดูท่าคุณหนูมู่หรงผู้นี้จะชื่นชอบหงส์เป็นพิเศษ”
ในวัฒนธรรมของซีหลิงและต้าฉู่ที่ภาพรวมมีความคล้ายคลึงกันนั้น ลายหงส์มิใช่ลายที่ทุกคนจะใช้ได้ ด้วยฐานะของเยี่ยหลี นางจะพึงใจใช้ลายใดนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามายุ่มย่ามได้ เพียงแต่ยามที่นางยังอยู่ที่เมืองหลวงของต้าฉู่ ตัวเยี่ยหลีเองก็น้อยครั้งนักที่จะใช้ลายหงส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลายที่ฝังอยู่บนผ้าของชุดคุณหนูมู่หรงผู้นั้น ถึงแม้จะมิได้สะดุดตา แต่ก็ไม่สามารถพลางตาเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาไปได้ นั่นเป็นลายหงส์เก้าหาง เป็นสัญลักษ์แทนเจ้าแห่งนกทั้งปวง แค่เพียงจุดนี้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตระกูลมู่หรงและคุณหนูมู่หรงผู้นี้ เกรงว่าจะมีความคิดที่ไม่ธรรมดา
“พวกประจบสอพลอ อาหลีจะใส่ใจพวกนางไปไย” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ มือข้างหนึ่งกอดเอวเยี่ยหลีไว้ พานางเดินขึ้นไปบนภูเขาต่อไป
วิวทิวทัศน์บนภูเขาด้านหลังวัดเจาหนิงสวยจับตาจับใจยิ่งนัก จึงมักมีบรรดาผู้คนที่มาไหว้พระขึ้นมาเที่ยวเล่นบนภูเขาเสมอ ด้วยเพราะเหตุนี้ วัดจึงได้สร้างศาลารับลมขึ้นบนยอดเขา เพื่อให้คนที่เดินขึ้นมาใช้พักผ่อน