ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 254-1 การต่อสู้อันวุ่นวาย การเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้
“ม่อซิวเหยา?!”
มู่หรงสยงทั้งโกรธทั้งตกใจ ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบหน้าม่อซิวเหยามาก่อน แต่ก็รู้ว่าติ้งอ๋องนั้นมีผมขาวทั้งศีรษะ อีกทั้งทั่วทั้งใต้หล้านี้ คนที่สามารถใช้มือเพียงมือเดียวต้านพลังฝ่ามือทั้งหมดของตนได้ ก็หาได้น้อยนัก บุรุษผมขาวตรงหน้า นอกจากติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยาแล้วย่อมไม่มีผู้อื่นให้เขานึกถึงอีก
เจิ้นหนานอ๋องมองบุรุษในชุดขาวที่ยืนถือกระบี่อยู่ด้วยสีหน้าหลากหลาย แต่คงจะไม่บอกไม่ได้ว่า การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของม่อซิวเหยา ทำให้เขาลอบนึกเบาใจ เขาผินหน้าไปมองสวีชิงเฉินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “คุณชายชิงเฉินช่างวางแผนได้ดีนัก”
การที่เขามาถึงได้ทันเวลาพอดีเช่นนี้ ม่อซิวเหยาไม่มีทางเพิ่งมาถึงเมืองอันอย่างแน่นอน แต่การที่เขาไม่ปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็นมาโดยตลอด ก็ทำให้รู้ว่า สวีชิงเฉินเก็บเขาไว้เป็นไพ่ลับ มิน่าสวีชิงเฉินที่อ่อนเปลี้ยไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ถึงกล้าไปท้าทายคนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า
สวีชิงเฉินเพียงยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบอันใด
เจิ้นหนานอ๋องลอบจับสังเกตขึ้นมาทันที หันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ติ้งอ๋องช่างทำเวลาได้ดีเสียจริง หากช้าไปอีกสักนิดทั้งสองฝ่ายคงต่างบาดเจ็บอย่างหนัก จะไม่ยิ่งดีหรอกหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เมื่อครู่มียอดฝีมือนับร้อยคนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ จึงใช้เวลามากไปสักนิดจนเกือบมาถึงช้าไป ขอโทษด้วยจริงๆ”
ทุกคนถึงได้เพิ่งสังเกตเห็นว่า บนชุดสีขาวของม่อซิวเหยามีจุดแดงๆ เปรอะเปื้อนอยู่ รอยเลือดยังไม่ทันเปลี่ยนเป็นสีดำ แสดงว่าเพิ่งเปื้อนมาได้ไม่นาน
เหรินฉีหนิงที่ยังติดพันอยู่กับหน่วยกิเลนสี่คน เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาพูดดังนั้นก็หน้าถอดสี จนเกือบถูกเฉือนเข้าที่แขน
“มาก็ดีแล้ว” หลิงเถี่ยหานลุกยืนพร้อมเอ่ยขึ้น
สวีชิงเฉินขมวดคิ้ว “คนที่มามีเยอะมากหรือ”
เขารู้ว่าเหรินฉีหนิงจะต้องวางแผนอื่นไว้อย่างแน่นอน ดังนั้นถึงได้ขอให้ม่อซิวเหยาช่วยตัดตอนคนด้านนอกที่มุ่งหน้ามายังบ้านตระกูลมู่หรง องครักษ์สักหลายร้อยคนยังพอว่า แต่ที่สามารถทำให้ม่อซิวเหยาเรียกว่ายอดฝีมือได้ จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ม่อซิวเหยายิ้ม “ไม่ต้องกังวล อาหลีกับม่อจิ่งหลีกำลังจัดการอยู่ ข้าล่วงหน้ามาดูทางนี้ก่อน คุณชายเหริน เหตุใดถึงยังไม่หยุดมือเล่า”
เหรินฉีหนิงขมวดคิ้ว กระโดดถอยออกมาจากวงต่อสู้ จากการปะทะกันเมื่อครู่ทำให้เขารู้ว่า คนเหล่านั้นที่ดูเหมือนฝีมือธรรมดาๆ แต่กลับรับมือได้ยากยิ่ง หากเขามีพลังมากพอที่สามารถทำให้ตายได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็คงไม่ต้องเป็นกังวล แต่หากไม่มี ก็ทำได้เพียงถูกเจ้าพวกนั้นยื้อไปเรื่อยๆ ใช้กำลังกายและกำลังภายในจนหมด และพ่ายแพ้ในที่สุด
เมื่อเขาถอยออกไป หน่วยกิเลนสี่คนก็ไม่ไล่ตาม แต่ต่างพากันถอยกลับไปอยู่ข้างกายสวีชิงเฉิน คอยคุ้มกันสวีชิงเฉินไว้อย่างแน่นหนา
เหรินฉีหนิงกวาดสายตามองเหตุการณ์โดยรอบ รอยยิ้มดูมีความฝืดเฝื่อนเล็กน้อย “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ได้พบกันหลายคราแต่กลับดูไม่ออกว่าเป็นติ้งอ๋องกับพระชายา เมื่อต้องแพ้ในครานี้ก็ไม่ถือว่าไม่คุ้มค่า”
เพียงประโยคนี้เป็นการยืนยันแล้วว่า ม่อซิวเหยามาถึงเมืองอันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วจริงๆ
ม่อซิวเหยาส่งยิ้มให้อย่างไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “เดิมทีข้าเพียงคิดจะเดินทางไปทั่วๆ และมาร่วมชมความสนุกด้วยเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าคุณชายเหรินจะทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจได้ถึงเพียงนี้ จึงจำต้องรั้งอยู่ต่ออีกสักช่วงหนึ่ง มิใช่เหตุบังเอิญหรอกหรือถึงได้เกิดเรื่องเช่นในวันนี้ขึ้น”
ดังนั้น หากเจ้าไม่อวดฉลาดส่งคนมาสะกดรอยตามข้า ข้าคงไปเสียนานแล้ว ดังนั้นที่วันนี้เรื่องต้องมาพังลงไม่เป็นท่า ก็เพราะเจ้าทำตัวเองนั่นล่ะ
เหรินฉีหนิงฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของม่อซิวเหยาออก สีหน้าจึงยิ่งดูย่ำแย่เข้าไปอีก
“เจ้าก็คือติ้งอ๋อง?” มู่หรงสยงจ้องม่อซิวเหยาเขม็งพลางเอ่ยเสียงขรึม
ม่อซิวเหยาเชิดหน้าขึ้น เอ่ยอย่างถือดีว่า “คือข้าเอง”
ในยุทธภพมู่หรงสยงอาจถือว่าเป็นคนที่มีตัวตน แต่แต่ไหนแต่ไรมา ตำหนักติ้งอ๋องไม่เคยขาดอัจฉริยะบุคคล ติ้งอ๋องทุกรุ่น ไม่มีผู้ใดที่มิใช่บุคคลที่มีความสามารถเป็นเลิศ ม่อซิวเหยาจะเห็นคนที่นอกจากวรยุทธแล้วก็มิได้มีความสามารถด้านอื่นอยู่ในสายตาได้อย่างไร
มู่หรงสยงหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “ติ้งอ๋องตัวดี ข้าขอดูหน่อยเถิดว่าเจ้ามีความสามารถเพียงใด!”
ดาบในมือม่อซิวเหยาสั่นสะเทือนขึ้นทันที ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ท่านจะลองดูก็ได้ เจ้าสำนักหลิง ท่านยังขยับตัวไหวหรือไม่”
อาศัยช่วงที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน หลิงเถี่ยหานกับเจิ้นหนานอ๋องได้ใช้จังหวะนั้นพักและปรับร่างกายกันไปแล้ว เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ จึงขยับตำแหน่งเท้าของตนทันที ทั้งสามยืนเป็นรูปเขาสัตว์ ล้อมมู่หรงสยงเอาไว้ตรงกลาง
ในเวลาเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดที่คิดจะต่อสู้กับมู่หรงสยงแบบตัวต่อตัวโดยไม่ประเมินฝีมือตนเอง อีกทั้งในบรรดาทั้งสามคนนี้ นอกจากหลิงเถี่ยหานแล้ว อีกสองคนที่เหลือแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นคนในยุทธภพเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่าคงไม่อาจให้พวกเขายึดถือกฎของยุทธภพได้ การทำให้อีกฝ่ายเสียชีวิตต่างหากถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
แต่จู่ๆ เหรินฉีหนิงก็เข้ามาร่วมด้วย ขวางหน้าเจิ้นหนานอ๋องไว้ อมยิ้มเอ่ยว่า “ท่านทั้งสาม สองรุมหนึ่งก็แล้วไปเถิด แต่นี่สามรุมหนึ่งจะไม่เกินไปหน่อยหรือ ข้าน้อยขอให้เจิ้นหนานอ๋องชี้แนะสักสามสี่กระบวนท่าจะดีกว่าหรือไม่”
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายเหรินตามสบาย”
พูดจบก็ไม่สนใจผู้อื่นอีก กวัดแกว่งดาบยาวที่เป็นประกายเย็นวาบคมกริบเข้าใส่มู่หรงสยงทันที
หลิงเถี่ยหานก็ไม่เกรงใจ เพียงสะบัดดาบยาวในมือ พลังดาบก็พุ่งออกไปทันที
เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกันกลับแข็งแกร่งกว่าเจิ้นหนานอ๋องมากนัก ถึงแม้จะเป็นมู่หรงสยง ก็ไม่อาจต่อสู้ได้สบายๆ เช่นนั้น ส่วนอีกด้านหนึ่ง แน่นอนว่าเหรินฉีหนิงก็เริ่มเข้าต่อสู้กับเจิ้นหนานอ๋องแล้วเช่นกัน
ระหว่างทางมาบ้านตระกูลมู่หรง ก็เกิดการต่อสู้อันชุลมุนวุ่นวายและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นเดียวกัน ฝ่ายหนึ่งที่อยู่ในการต่อสู้อยู่ในชุดอย่างชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาวุธที่ใช้ก็หลากหลายประเภท แต่ทุกคนล้วนมีฝืมือไม่ธรรมดา ส่วนอีกด้านหนึ่ง องครักษ์ของม่อจิ่งหลีก็เริ่มส่อแววว่าจะต้านไว้ไม่อยู่
ม่อจิ่งหลีฟันดาบสังหารศัตรูคนหนึ่งไปได้ ก็รับรู้ถึงแรงลมที่พุ่งเข้ามาทางด้านหลัง เขาคิดอยากจะหลบแต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ก่อนที่ดาบยาวเล่มนั้นพุ่งเข้าใส่หน้าอกตน ก็เห็นเงาสีขาวเงาหนึ่งกระโดดผ่านไป ดาบที่พุ่งเข้าหาหน้าอกเขาอย่างดุดันกลับชะงักไปทันที เมื่อม่อจิ่งหลีกระโดดลอยตัวออกไป หันกลับมาอีกทีก็เห็นว่าคนผู้นั้นล้มลงกับพื้นไปเสียแล้ว ห่างไปไม่ไกลมีสตรีในชุดเรียบๆ กำลังกระโดดลอยตัวขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม ซ้ำยังมีฝีมือที่ร้ายกาจ กระบวนท่าเรียบง่ายแต่โดนจุดตายทุกคราไป เพียงชั่วพริบตา ก็มีศพกองอยู่ตรงหน้านางถึงสามสี่ศพด้วยกัน
ม่อจิ่งหลีอึ้งไปเล็กน้อย มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าหลากหลายยากจะดูออก
เยี่ยหลีวาดกริชเข้าใส่คอคู่ต่อสู้อีกคนหนึ่ง เมื่อหันกลับไปเห็นม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่ด้านหลังตน กำลังมองมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย ก็อดขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “ท่านหลีอ๋อง แม้แต่ในสนามรบท่านก็ใจลอยได้หรือ”
ม่อจิ่งหลีถึงได้เรียกสติกลับมา มองเยี่ยหลีด้วยสายตาแปลกๆ “เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ได้”
เยี่ยหลีได้กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างพูดไม่ออก ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าม่อจิ่งหลีต้องการพูดอันใด นางหมุนตัววาดกริชขึ้นเป็นประกายวาววับ ตัดเข้าที่ข้อมือของคู่ต่อสู้ แต่กลับถูกม่อจิ่งหลีเข้ามาดึงไว้จากทางด้านหลังอีกครั้ง
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว หันมองม่อจิ่งหลีอย่างเริ่มมีน้ำโห “ท่านคิดจะทำอันใดกันแน่”
องครักษ์ลับกับหน่วยกิเลนที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าพระชายาของพวกตนถูกหลีอ๋องยื้อยุดไว้ จึงพากันเคลื่อนตัวเข้าใกล้เยี่ยหลี พร้อมกันศัตรูที่อยู่รอบๆ ทั้งสองให้ห่างออกไป
เมื่อเยี่ยหลีเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ถึงกับสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ สะบัดมือม่อจิ่งหลีออกพลางเอ่ยเสียงขรึมว่า “หลีอ๋อง หากมีอันใดอยากพูด ไว้ให้จบเรื่องตรงนี้เสียก่อนค่อยพูดกันไม่ได้หรือ”
ม่อจิ่งหลีมองเยี่ยหลีเงียบๆ คิดในใจว่า หากรอให้เรื่องนี้จบแล้ว ข้าจะยังจับตัวเจ้ามาพูดคุยได้อีกหรือ
แต่ไหนแต่ไรมา ม่อจิ่งหลีก็ไม่เคยคิดว่าคนที่มีฐานะเป็นอ๋องเช่นตน จำเป็นต้องต่อสู้ฝ่าวงล้อมศัตรูออกไปเช่นพลทหารทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นยามนี้ ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนยังชุลมุนวุ่นวายอยู่ในการต่อสู้ ส่วนเขากลับยืนนิ่งพูดคุยเรื่องอื่นอยู่นั้น จึงไม่บังเกิดความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
ม่อจิ่งหลีจ้องเยี่ยหลีพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่เคยบอกข้ามาก่อนว่าเจ้ามีฝีมือดีเช่นนี้”
เยี่ยหลีเมื่อได้ฟังน้ำเสียงเจือแววต่อว่าเช่นนี้ ก็ได้แต่กรอกตาขึ้นเงียบๆ นางอดทนกับการพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ของม่อจิ่งหลีมาพอแล้วจริงๆ แทบทุกคราที่เจอหน้า เขาจะต้องพูดถึงเรื่องอันใดทำนองนี้อยู่เสมอ ประหนึ่งเป็นเรื่องที่นางผิดต่อเขากระนั้น “ข้าฝีมือดีหรือไม่แล้วเกี่ยวอันเดียวกับท่านอ๋องด้วยหรือ”
ในระหว่างที่ทั้งสองยืนประจันหน้ากันนั้น คนของตำหนักติ้งอ๋องและหลีอ๋องก็ร่วมมันกันจัดการศัตรูลงจนหมดแล้ว
เยี่ยหลีคร้านที่จะสนใจม่อจิ่งหลีที่คอยแต่จะหาเรื่องนางอยู่เสมอ จึงจะหันเดินออกไปทางบ้านตระกูลมู่หรง
แต่ยังไม่ทันได้หันไปที่ใด ก็เห็นว่าห่างไปไม่ไกล มีคนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เยี่ยหลีอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เหรินฉีหนิงไม่มีทางแอบซ่อนคนจำนวนมากเช่นนี้ไว้ในละแวกเมืองอันโดยที่ไร้ร่องรอยอย่างนี้แน่นอน
ม่อจิ่งหลีเหลือบมองทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “คือเสด็จพี่”
แล้วก็เป็นม่อจิ่งฉีจริงๆ ที่กำลังนำยอดฝีมือโขยงใหญ่ที่คอยอารักขาเขา มุ่งหน้าตรงเข้ามา
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ครานี้คนที่พวกเขานำมาเดิมทีก็มิได้มีมากนัก ดังนั้นครานี้ที่มาขวางคนของเหรินฉีหนิงไว้ที่นี่ พวกนางจึงเลือกที่จะร่วมมือกับม่อจิ่งหลี ซึ่งแน่นอนว่านั่นเพราะกิจการของตระกูลมู่หรงในต้าฉู่ถูกม่อจิ่งหลีอาศัยจังหวะชุลมุน กลืนกินเข้าไปไม่น้อย อีกด้านหนึ่ง ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะดูไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับม่อจิ่งฉีที่เดี๋ยวเยือกเย็นเดี๋ยวคลุ้มคลั่งแล้ว เยี่ยหลียังคิดว่า คนผู้นี้ดูจะมีขอบเขตกับเขาอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือ คนที่รักชีวิตเสียยิ่งกว่าอันใดอย่างม่อจิ่งฉี ในยามที่เมืองอันเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างชัดเจนเช่นนี้ เขากลับยังไม่ไปจากที่นี่ แต่นำคนตรงไปยังบ้านตระกูลมู่หรงแทน