ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 255-1 การล่มสลายของตระกูลมู่หรง กลับบ้าน
“ติ้งอ๋อง เจิ้นหนานอ๋อง ทรัพย์สมบัติของบ้านตระกูลมู่หรง ท่านทั้งสองคิดจะทำอย่างไรให้ได้มาหรือ”
เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทุกคนต่างหันมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว
เจิ้นหนานอ๋องผลักมือที่เหลยเถิงเฟิงประคองอยู่ออก จ้องเหรินฉีหนิงด้วยสายตาเย็นเยียบ “คุณชายเหรินคิดจะทำเช่นไร”
เพื่อตระกูลมู่หรง สิ่งที่เขาต้องเสียและกำลังที่ใช้ไปนั้น ห่างไกลนักหากเทียบกับม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉิน ดังนั้นเขาจึงยิ่งทนไม่ได้ที่จะเห็นเป็ดที่ต้มเสียจนสุกดีแล้ว ต้องมาบินหายไป
ม่อซิวเหยายังคงนอนอยู่กับพื้นอย่างลุกไม่ขึ้น ศีรษะหนุนอยู่กับตักเยี่ยหลี เอ่ยกับเหรินฉีหนิงอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าบอกแล้วว่าเพียงมาเพื่อร่วมชมความสนุก ก็มาเพื่อร่วมชมความสนุกจริงๆ เรื่องทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรง ต่อให้ข้าพูดอันใดก็คงไม่มีผล อ๊า…ตาแก่มู่หรงสยงนั่นช่างร้ายกาจนัก อาหลี สามีบาดเจ็บหนักทีเดียว…”
เมื่อเยี่ยหลีเห็นว่าเขายังคงส่งยิ้มให้นางเช่นยามปกติ ทั้งๆ ที่ใบหน้าขาวซีดไปหมด ก็ให้ปวดใจยิ่งนัก “เจ็บมากหรือ พวกเรารีบกลับไปเชิญท่านหมอมาดูอาการเถิด”
ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะบอกว่าตนเองบาดเจ็บอย่างหนัก แต่คนที่อยู่ ณ ที่นั้น นอกจากหลิงเถี่ยหานแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาบาดเจ็บหนักจริงๆ สายตาที่มองไปยังคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับพื้น ดูมีแววระแวงสงสัยอยู่อย่างเต็มที่
เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนั้น เหรินฉีหนิงจึงเลิกคิ้วไปทางสวีชิงเฉิน ยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นคุณชายชิงเฉินว่าอย่างไร”
สวีชิงเฉินหรุบตาลง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรตระกูลมู่หรงก็มิใช่ตำหนักติ้งอ๋อง อย่างมากก็เป็นเพียงทรัพย์สินก้อนหนึ่งที่ได้มาโดยมิชอบเท่านั้น”
อย่าดูแต่ว่าครานี้ เกิดการฆ่าฟันนองเลือดกันจนกลายเป็นแม่น้ำ เอาเข้าจริงสำหรับตำหนักติ้งอ๋อง นอกจากม่อซิวเหยาได้รับบาดเจ็บที่ก็ไม่รู้ว่าหนักหรือเบาแล้ว ก็มิได้มีอันใดเสียหายเลย ผู้ที่ลงทุนลงแรง หากมิใช่เจิ้นหนานอ๋องก็คือสำนักเยี่ยนอ๋อง หรือไม่ก็เป็นคนของม่อจิ่งหลี คนที่ตำหนักติ้งอ๋องนำมาทั้งหมดมีอยู่เพียงไม่กี่คน กำลังคนที่ต้องเสียไปจึงมีอยู่จำกัดนัก อีกทั้งต่อให้เรื่องอื่นไม่มี แต่อย่างน้อยกิจการของตระกูลมู่หรงทั้งหมดในซีเป่ย รวมถึงกิจการครึ่งหนึ่งในต้าฉู่ก็ล้วนถูกรวบมาอยู่ภายใต้ชื่อตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ต่อให้ไม่ได้หนึ่งส่วนที่เหลือ ตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่ถือว่าขาดทุน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเหรินฉีหนิงก็นิ่งขรึมไปเล็กน้อย ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ข้าน้อยจำได้ว่าไม่เคยล่วงเกินคุณชายชิงเฉินและตำหนักติ้งอ๋องมาก่อน? ทุกคนต่างพบและจากกันด้วยดีมิได้หรือ”
ยามนี้หมากที่ดีที่สุดก็ของเขาก็คือทรัพย์สินเงินทองของตระกูลมู่หรง แต่หากตำนักติ้งอ๋องไม่สนใจเรื่องนี้ เช่นนั้นโอกาสที่เขาจะหนีออกไป…
“อีกอย่าง…คุณชายชิงเฉินไม่นึกสนใจ แต่ไม่รู้ว่าเจิ้นหนานอ๋องกับเจ้าสำนักหลิง และฮ่องเต้แห่งต้าฉู่กับหลีอ๋อง จะสนใจหรือไม่”
สายตาเหรินฉีหนิงเปลี่ยนไปทันที ยิ้มกว้างพลางส่งสายตาไปยังคนอื่นๆ ที่เหลือ “จะว่าไปก็ช่างบังเอิญนัก ท่านทั้งหลายมากันช้าไปก้าวหนึ่ง ตระกูลมู่หรงไม่เสียชื่อที่เป็นตระกูลที่รุ่งเรืองมาเป็นร้อยปีและร่ำรวยเสียยิ่งกว่าแคว้น ทรัยพ์สินเงินทองที่สะสมไว้ทั้งหมด เกรงว่าท้องพระคลังของซีหลิงและต้าฉู่รวมกันก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำกระมัง”
สีหน้าคนอื่นๆ เริ่มมีความหวั่นไหว หลิงเถี่ยหานที่มีเหลิ่งหลิวเย่ว์กับบัณฑิตขี้โรคช่วยพยุงให้ลุกขึ้น เหลือบมองสวีชิงเฉินแล้วเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินคิดเห็นเช่นไร ข้าก็คิดเห็นเช่นนั้น”
“เจิ้นหนานอ๋อง ท่านว่าอย่างไร” สวีชิงเฉินเอ่ยถาม
เจิ้นหนานอ๋องลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “จะว่าไป คุณชายเหรินก็มิได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับซีหลิง”
ความหมายของเจิ้นหนานอ๋อง ถึงแม้จะมิได้พูดออกมา แต่ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
สายตาของม่อจิ่งฉีค่อยๆ กวาดผ่านม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีไป แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “เจิ้นหนานอ๋องกล่าวได้ถูกต้อง ถึงอย่างไรคุณชายเหรินก็มิได้ทำอันใด หากเกิดเป็นอันใดขึ้นมาในซีหลิง ผู้ใดจะกล้ามาซีหลิงอีกเล่า ข้าเห็นคุณชายเหรินแล้วรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน เช่นนี้ไปดื่มสุราด้วยกันสักหน่อยเป็นไร”
อันที่จริงผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นในยามนี้ คนที่มีแรงพูดอันใดได้มากที่สุดก็คือม่อจิ่งฉีนี่เอง ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ผ่านการเข่นฆ่าที่โหดร้ายกันมาไม่มากก็น้อย มีเพียงม่อจิ่งฉีกับยอดฝีมือนับร้อยข้างกายเขาที่ยังมิได้ออกแรงกันเลยแม้แต่น้อย
ม่อจิ่งฉีมองม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เกรงกลัวและไม่ยอมแพ้ เขาไม่อาจรู้ชัดได้ว่า ม่อซิวเหยาบาดเจ็บหนักเพียงใด และเขาก็มิกล้าเดิมพันว่าคนที่เขาพามานั้นจะสามารถสังหารม่อซิวเหยาได้หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าผลีผลาม
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ม่อจิ่งฉีอาจคิดอยากลองดู แต่ยามนี้คนที่บาดเจ็บอยู่คือม่อซิวเหยา ม่อจิ่งฉีจึงไม่นึกกล้า ในยามนั้น อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา ไม่ว่าหมอหลวงสักกี่คนไปตรวจดู ต่างก็บอกว่าเขามีชีวิตอยู่ต่อได้เพียงไม่เกินหนึ่งเดือน แต่เขากลับกัดฟันจนรอดมาได้ ไม่รู้มีคนจำนวนเท่าไรที่บอกว่าเขาคงมิอาจกลับมาเป็นปกติได้อีกตลอดชีวิต แต่ผ่านไปยังไม่ถึงสิบปีดี เขากลับยืนอยู่ต่อหน้าตนได้ด้วยร่างกายที่สมบูรณ์พร้อม หนำซ้ำยังมีวรยุทธที่สูงส่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อีกด้วย ลึกๆ แล้ว ในใจม่อจิ่งฉีมีความคิดประหลาดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา ม่อซิวเหยานั้นฆ่าไม่ตาย
สวีชิงเฉินระบายลมหายใจออกมาด้วยความจนใจ กวาดสายตาเรียบๆ มองม่อจิ่งฉีที่มองมายังตนด้วยสายตาท้าทาย ประมุขแห่งแคว้นท้าทายขุนนางคนหนึ่งของเมืองหลี แล้วยังดูจะสะใจถึงเพียงนี้ ช่างดูมีอนาคตที่สดใสยิ่งนัก
“ข้าน้อยเข้าใจเจิ้นหนานอ๋องกับฮ่องเต้แห่งต้าฉู่แล้ว ถ้าเช่นนั้น…คุณชายเหริน บอกที่อยู่ของทรัพย์สินเงินทองของตระกูลมู่หรงมา ก่อนที่ท่านจะไปจากซีหลิง ตำหนักติ้งอ๋องจะไม่สร้างความลำบากให้กับท่าน” ซึ่งก็หมายความว่า หากออกจากซีหลิงไปแล้ว ก็คงไม่รับประกัน
ในใจเหรินฉีหนิงลอบเบาใจลง พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ของคุณคุณชายชิงเฉินมากที่ปราณี”
ขอเพียงออกไปจากซีหลิงได้ ไม่สิ ขอเพียงออกไปจากเมืองอันได้ ก็จะมีคนมาช่วยเหลือเขา ถึงยามนั้นก็ไม่แน่ว่าเขายังจะต้องเกรงกลัวคนของตำหนักติ้งอ๋องอีก เพียงแต่ทรัพย์สินเงินทองที่ก็ไม่ง่ายกว่าจะได้มานั้น ดูท่าคงจะต้องหลุดมือไปเสียแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่เขายังพอเตรียมการไว้อยู่บ้าง
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนเป็นบุคคลที่มีความทระนงตนด้วยกันทั้งสิ้น ย่อมไม่เห็นเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องเล่นๆ
เหรินฉีหนิงมอบที่อยู่และบัญชีทรัพย์สินของตระกูลมู่หรงออกมาให้แต่โดยดี จำนวนเงินทองที่เก็บสะสมมาหลายสิบรุ่นของตระกูลมู่หรงนั้น มากพอจะทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจได้จริงๆ
เมื่อพวกเขามั่นใจว่าเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรงจริงๆ แล้ว เหรินฉีหนิงก็มิได้ใส่ใจว่าพวกเขาจะแบ่งสันปันส่วนกันอย่างไร เพียงเอ่ยขอตัวกลับไปทันที เพราะต่อให้แบ่งกันอย่างไรก็คงไม่มีส่วนของเขาอยู่แล้ว
ก่อนไป เหรินฉีหนิงยังได้พาตัวทายาทเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของตระกูลมู่หรง ซึ่งก็คือมู่หรงหมิงเหยียนติดไปด้วยอีกด้วย
ตามข้อตกลงเดิมที่เคยทำไว้กับเจิ้นหนานอ๋อง ทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรง ตำหนักติ้งอ๋องได้สามส่วน สำนักเยี่ยนอ๋องได้หนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือเป็นของเจิ้นหนานอ๋อง ส่วนม่อจิ่งฉีได้เพียงส่วนที่เหรินฉีหนิงให้เขาพิเศษเท่านั้น ถึงแม้จะนึกอิจฉาตาร้อนม่อซิวเหยากับเจิ้นหนานอ๋องเป็นที่สุด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังจำได้ว่า นี่เป็นสมบัติของตระกูลอื่นเขา จึงมิได้พูดอันใดมากนัก
ส่วนม่อจิ่งหลีได้ทำข้อตกลงกับตำหนักติ้งอ๋องไว้ต่างหาก ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินตระกูลมู่หรง
ยามที่คณะของเยี่ยหลีเดินทางกลับถึงโรงเตี๊ยมชิงหยวนนั้น คนในโรงเตี๊ยมชิงหยวนต่างพากันหายไปจนเหลือเพียงโรงเตี๊ยมเปล่าๆ แล้ว ตั้งแต่หลงจู๊ยาวไปจนถึงเสี่ยวเอ้อร์ทำความสะอาดต่างหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่า โรงเตี๊ยมชิงหยวนมีความเกี่ยวข้องกับเหรินฉีหนิง คณะของเยี่ยหลีจึงมิได้รู้สึกแปลกใจเท่าใดนัก แต่เพื่อความปลอดภัย พวกเขาจึงได้ย้ายไปอยู่โรงเตี๊ยมที่สวีชิงเฉินพักอยู่ชั่วคราว ส่วนเจิ้นหนานอ๋องทิ้งให้เหลยเถิงเฟิงคอยอยู่จัดการเรื่องที่ตามมา เสร็จแล้วก็รีบกลับเมืองหลวงแห่งซีหลิงไปในวันเดียวกันนั้นเลยทันที
ม่อซิวเหยาบาดเจ็บไม่เบานักจริงๆ จึงถูกเยี่ยหลีจับให้นอนอยู่บนเตียง พักผ่อนไม่ยอมให้ลงมาเคลื่อนตัว การนอนรักษาตัวอยู่บนเตียง สำหรับม่อซิวเหยาแล้วช่างทุกข์ทรมานกว่าการฆ่าเขาให้ตายเสียอีก แต่ก็จนใจ ด้วยเพราะเยี่ยหลีตกใจกับการบาดเจ็บของเขาครานี้ไม่น้อย จึงกำชับให้เขาต้องนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ดังนั้นม่อซิวเหยาจึงยิ่งอาการหนักขึ้นอีกขั้น คอยวอแวให้พระชายาอยู่รักษาอาการบาดเจ็บของตนตลอดเวลา จนทำให้สวีชิงเฉินต้องคอยเป็นธุระจัดการเรื่องที่ด้านนอกแต่เพียงผู้เดียว จนสีหน้าย่ำแย่ลงทุกวัน
“เรียนท่านอ๋อง พระชายา ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่กับหลีอ๋องมาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ที่ด้านนอกเอ่ยรายงานขึ้น
ม่อซิวเหยาที่กำลังนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง ปล่อยให้เยี่ยหลีป้อนผลไม้ตนอยู่นั้น ถึงกับขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างรำคาญใจว่า “พวกเขามาทำอันใด”
องครักษ์ที่ด้านนอกอึ้งไป เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองท่านนั้นมาทำอันใด แต่นั่นก็ไม่ส่งผลอันใดต่อการที่เขาจะรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของท่านอ๋องของตน จึงรีบเอ่ยถามว่า “ให้ข้าน้อยเชิญพวกเขากลับไปดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องหนังสือเงียบกริบลงครู่หนึ่ง ถึงได้ยินเสียงเยี่ยหลีเอ่ยว่า “เชิญฮ่องเต้แห่งต้าฉู่กับหลีอ๋องเข้ามาเถิด”
ประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก ม่อจิ่งฉีกับม่อจิ่งหลีเดินคู่กันเข้ามา
ภายในห้อง ฉากกั้นห้องที่กั้นระหว่างห้องด้านในกับด้านนอกถูกเคลื่อนย้ายออกไปก่อนแล้ว เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาจึงเห็นม่อซิวเหยากำลังนอนอยู่บนเตียง เส้นผมสีขาวทิ้งตัวแผ่กระจายอยู่บนเตียง ยิ่งเมื่ออยู่ในชุดสีขาวยิ่งทำให้เขาดูเฉยชาและห่างเหินเป็นพิเศษ
เยี่ยหลีนั่งอยู่บนเตียง วางแอปเปิ้ลในมือที่เพิ่งปอกเสร็จลง พลางหันไปพยักหน้าพร้อมยิ้มให้ทั้งสอง “ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ หลีอ๋อง เชิญนั่งเถิด”
ทั้งสองนั่งลงเงียบๆ องครักษ์ต่างรอกันอยู่ที่ด้านนอก เยี่ยหลีก็ถูกม่อซิวเหยาดึงตัวไว้ไม่ปล่อย จึงย่อมมิอาจหวังให้มีคนยกน้ำชาเข้ามาให้พวกเขาได้ โชคดีที่ทั้งสองก็มิได้มาเพื่อดื่มชา
ม่อซิวเหยาปรายตามองทั้งสอง เอ่ยถามว่า “ยามนี้มาหาข้าด้วยเพราะมีเรื่องอันใดหรือ”
น้ำเสียงสบายๆ เช่นนี้ ม่อจิ่งหลีได้ฟังก็ยังไม่รู้สึกอันใด แต่เมื่อผู้ฟังเป็นม่อจิ่งฉีแล้ว กลับฟังดูต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เดิมทียามที่ม่อซิวเหยายังอยู่ที่เมืองหลวงของต้าฉู่ ไม่ว่าอย่างไรยามเอ่ยกับเขาก็ไม่มีทางใช้น้ำเสียงสบายๆ เช่นนี้ ต่อให้มารยาทในน้ำเสียงและชุดขุนนางจะเป็นสิ่งลวง แต่อย่างน้อยเขาก็ยังรักษาท่าทีไว้ แต่น้ำเสียงของเขาในยามนี้ ประหนึ่งว่าตรงหน้าเขามิใช่ประมุขแห่งแคว้น แต่เป็นเจ้าหมาเจ้าแมวที่บังเอิญเจอระหว่างทางตัวหนึ่งเท่านั้น หากอารมณ์ดีก็พูดคุยด้วยสักสองประโยค หากอารมณ์ไม่ดีก็เมินเฉยไม่สนใจ