ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 257-1 ระหว่างการซ้อมรบเสมือนจริง
ปลายเดือนสิบ ต้าฉู่เปิดศึกกับเป่ยจิ้งอย่างเป็นทางการ และแทบจะเกือบในเวลาเดียวกันนั้น เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิง ได้มีคำสั่งให้ซื่อจื่อของตน เหลยเถิงเฟิงนำทัพใหญ่จำนวนสองแสนนาย มุ่งหน้าลงใต้ไปยังชายแดนที่ติดกับหนานจ้าว
เพียงชั่วพริบตา แต่ละแคว้นต่างพากันเคลื่อนกำลังพล แม้แต่เป่ยหรงที่อยู่ทางตอนเหนือ และกำลังอยู่ในช่วงหนาวจัดก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาเช่นกัน
และในยามนี้ การซ้อมใหญ่ทางการทหารที่เตรียมการกันมากว่าหลายเดือนก็ของตำหนักติ้งอ๋อง ก็เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้วเช่นกัน
เช้าตรู่วันหนึ่ง ค่ายทหารที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลีไปสามสิบลี้ของผู้บัญชาการจางฉี่หลัน ก็ได้รับจดหมายคำสั่งฉบับหนึ่ง ความว่า นำทหารหน่วยนี้ทั้งหมด มุ่งหน้าไปยังรุ่นเทียนหยาที่อยู่ห่างจากหงโจวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือห้าสิบลี้โดยด่วน รีบชิงพื้นที่ในเขตรุ่นเทียนหยามาให้ได้
คำสั่งฉบับนี้มาอย่างปัจจุบันทันด่วนจนเกินไป เรียกได้ว่าพวกเขามิได้เตรียมการอันใดไว้ก่อนเลย ยังโชคดีที่กองทัพตระกูลม่อฝึกฝนกันเป็นอย่างดีมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งช่วงนี้ในใจทุกคนล้วนมีเชือกธนูขึงขึ้นอยู่ในใจ ครานี้จึงมิได้ร้อนรนจนตั้งตัวไม่ถูก
ยามได้รับคำสั่ง จางฉี่หลันกำลังกินอาหารเย็นร่วมกับผู้บัญชาการทหารใต้การบังคับบัญชากลุ่มหนึ่ง และอาศัยช่วงกินอาหารปรึกษาหารึอเรื่องการทหารไปด้วยอยู่พอดี
เขาเหลือบมองตัวอักษรเพรียวบางบนกระดาษ ก่อนที่จางฉี่หลันจะถลึงตัวลุกขึ้น หันไปตะโกนสั่งบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป อีกครึ่งชั่วยามหลังจากนี้ ถอนค่ายออกเดินทาง!”
แต่ในใจเขากลับนึกแปลกใจว่า เหตุใดจดหมายคำสั่งนี้ถึงดูเหมือนลายมือของพระชายานักนะ?
ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างพากันอึ้งไป คนที่ใจกล้าหน่อยก็ถึงกับระล่ำระลักถามออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ นี่พวกเรา…”
จางฉี่หลันหัวเราะหึๆ เอ่ยว่า “เริ่มขึ้นแล้ว พวกเด็กๆ ออกแรงกันมากหน่อย พวกเราจะต้องจัดการตาแก่พวกนั้นจนต้องให้ร้องไห้กระจองงองแงหาพ่อหาแม่กันให้จงได้”
ทุกคนอดกันยิ้มขึ้นมาไม่ได้ บรรยากาศภายในกระโจมดูผ่อนคลายลงมากทีเดียว
จางฉี่หลันถลึงตาเอ่ยตะโกนเสียงเข้มว่า “ยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีก!”
ทุกคนต่างพากันส่งเสียงฮือฮาและกระจายตัวออกจากกระโจมไปจัดสรรนายทหารใต้บังคับบัญชาของตนทันที
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาต่างพากันล่าถอยออกไปแล้ว จางฉี่หลันหยิบจดหมายในมือขึ้นมาดูอีกครั้ง ยกมือขึ้นลูบหน้าทีหนึ่ง ก่อนหมุนตัวไปจัดเตรียมสัมภาระของตน
“แม่ทัพจาง ข้ามารบกวนท่านยามวิกาลโดยพลกาลแล้ว” ด้านนอกกระโจม มีเสียงกังวานใสเอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้น
จางฉี่หลันอึ้งไปเล็กน้อย แล้วถึงได้ตั้งตัวได้ว่าเป็นเสียงของผู้ใด จึงรีบออกไปต้อนรับทันที
เมื่อม่านกระโจมถูกเลิกขึ้น คนที่ด้านนอกก็เดินเข้ามาทันที
จางฉี่หลันรีบประสานมือเอ่ยว่า “ข้าน้อยคารวะพระชายา”
เยี่ยหลีมีเสื้อคลุมสีเทาตัวหนึ่งคลุมอยู่ ไม่เหมือนกับยามปกติ ผมก็รวบขึ้นเป็นทรงผมอย่างบุรุษ เครื่องแต่งกายสีขาวด้านล่างที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อคลุม ก็มองออกว่าเป็นเครื่องแต่งกายของบุรุษ
จางฉี่หลันเกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อย จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “พระชายานี่คือ…”
เยี่ยหลียิ้ม “แม่ทัพจางใกล้ต้องไปออกศึกเต็มทีแล้ว ข้าน้อยถึงได้อาสาเข้ามาร่วมทัพด้วย หวังว่าท่านแม่ทัพคงไม่รังเกียจ”
“พระชายาหมายถึง…จะร่วมเคลื่อนพลไปพร้อมกับพวกเราหรือพ่ะย่ะค่ะ” จางฉี่หลันเอ่ยด้วยความตกใจ
เยี่ยหลีพยักหน้า
จางฉี่หลันเอ่ยด้วยความลำบากใจว่า “นี่…พระชายาช่างสูงส่งนัก หากเกิด…”
เยี่ยหลีพลิกพัดพับในมือเล่น พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในโลกนี้ผู้ใดเลยจะกล้ารับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อีกอย่างข้าน้อยก็ถือว่าตนได้เคยผ่านสนามรบมาแล้วหลายครา ต่อให้มิอาจช่วยอันใดแม่ทัพจางได้ แต่ก็จะไม่เป็นตัวถ่วงอย่างแน่นอน”
จางฉี่หลันรีบเอ่ยว่ามิกล้า ความสามารถของพระชายาผู้นี้ เขาย่อมรู้แจ่มแจ้งเป็นอย่างดี เมื่อมีนางคอยช่วยเหลือก็เท่ากับว่าได้กุนซือและแม่ทัพผู้บัญชาการทหารที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งมาเฉยๆ หนึ่งคน แต่ด้วยฐานะของเยี่ยหลี ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก อีกทั้งหากพระชายามาร่วมด้วยเช่นนี้แล้ว ต่อให้เขาชนะ หลี่ว์จิ้นเสียนก็คงจะบอกว่า พวกเขาเอาเปรียบตนอยู่เล็กน้อยอยู่ดีกระมัง
เยี่ยหลีย่อมมองออกว่าเหตุใดเขาถึงเกิดความลังเล ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “เรื่องนี้จะว่าไป…อันที่จริงแม่ทัพจางเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบอยู่เล็กน้อย แม่ทัพจางรู้หรือไม่ว่า ผู้ที่นำทัพตะวันตกคือผู้ใด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางฉี่หลันก็รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที ในใจกระตุกวาบ “หรือว่าจะเป็น…”
เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้ม “ถูกต้อง อีกฝ่ายคนที่นำทัพคือท่านอ๋อง หลี่ว์จิ้นเสียนเป็นรองแม่ทัพ”
จางฉี่หลันหน้าคล้ำลงทันที ถึงแม้อายุอานามของเขาจะมากกว่าติ้งอ๋องอยู่ไม่น้อย แต่หากว่ากันเรื่องการใช้กำลังทหารแล้ว ก็จำต้องยอมรับว่าตนยังสู้ไม่ได้ ในยามนั้นที่ม่อซิวเหยานำทัพลงใต้ไปหนานจ้าว จางฉี่หลันก็เคยร่วมทัพไปด้วย ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะต้องมาปะทะกับม่อซิวเหยาเสียเอง
เยี่ยหลียิ้มตาหยีเอ่ยกับจางฉี่หลันว่า “ท่านแม่ทัพนี่คือ…ยังไม่ทันออกรบก็จะยอมแพ้เสียแล้วหรือ”
จางฉี่หลันกัดฟัน พยักหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องลำบากพระชายาแล้ว”
จะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกรบนั้นเป็นไมได้อยู่แล้ว ดังนั้นยามนี้เขาจะมามัวสนใจฐานะของเยี่ยหลีก็คงจะไม่ได้ มียอดฝีมือเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน อย่างไรก็ต้องนับ ต่อให้เอาชนะไม่ได้จริงๆ แต่อย่างไรเขาก็จะต้องกัดเนื้อส่วนหนึ่งของอีกฝ่ายมาให้จงได้ อีกอย่าง…การได้วัดฝีมือกับท่านอ๋อง คิดไปคิดมาแล้ว ก็ให้เลือดในกายของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “มิกล้า ข้าน้อยฉู่จวินเหวย ท่านแม่ทัพเรียกชื่อข้าก็พอ”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ทัพใหญ่ก็เตรียมการกันจนพรักพร้อม ยามนี้ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ทัพใหญ่จึงจำต้องเคลื่อนพลข้ามคืนฝ่าความมืดกันไปให้เงียบเชียบที่สุด
เมืองหลีอยู่ห่างจากรุ่นเทียนหยาไปถึงสามร้อยลี้ หน่วยเฮยอวิ๋นฉียังพอว่า แต่การจะหวังให้พลทหารทั่วไปของกองทัพตระกูลม่อเร่งรุดเดินทางไปให้ทันภายในหนึ่งวัน คงเป็นไปไม่ได้
ยามที่ทัพใหญ่เริ่มเคลื่อนพลออกไปนั้น ผู้บัญชาการทหารทั้งหลายที่อยู่ข้างกายจางฉี่หลันถึงได้เพิ่งสังเกตเห็นว่า ข้างกายท่านแม่ทัพ มีเป็นบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ใต้เสื้อคลุมสีเทาเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ที่เมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ จึงทำให้เห็นรูปลักษณ์ไม่ชัดเจน “ท่านแม่ทัพ ท่านนี้….”
สีหน้าจางฉี่หลันบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านนี้เป็นกุนซือของข้า เฟิ่งจือเหยาอยู่ที่ใด”
เฟิ่งจือเหยาก็มีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้บัญชาการทหารในการซ้อมรบเสมือนจริงครานี้ เพียงแต่คุณชายเฟิ่งซานที่ติดตามอยู่ข้างกายม่อซิวเหยามาโดยตลอด ครานี้กลับโชคไม่ดีถูกจัดให้มาอยู่กับฝั่งตรงข้ามของติ้งอ๋อง แต่ตั้งแต่เริ่มมา จางฉี่หลันยังไม่เห็นเขาโผล่หน้ามาเลย
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “เฟิ่งซานล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”
จางฉี่หลันอึ้งไป แต่ก็ตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทัพใหญ่ของพวกเขามีทหารอยู่นับหมื่นนาย หากคิดอยากไปช่วงชิงพื้นที่บริเวณรุ่นเทียนหยาก่อน โดยไม่ให้ติ้งอ๋องรู้ตัวอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ ที่โชคร้ายไปกว่านั้นคือ ทัพตะวันตกมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ปักหลักอยู่บนทางที่พวกเขาจะต้องใช้ผ่านไปยังรุ่นเทียนหยาพอดี ท่านอ๋องไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาเร่งรุดเดินทางไปถึงรุ่นเทียนหยาได้อย่างราบรื่นแน่นอน การที่เฟิ่งจือเหยานำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมุ่งหน้าไปเปิดทางไว้ให้ก่อน อย่างไรก็ดีกว่าไปถึงแล้วถูกอีกฝ่ายขวางไว้มากนัก
กลางดึงสงัด คณะของพวกเขาขี่ม้ามุ่งตรงไปด้านหน้า ส่วนด้านหลังมีแถวพลทหารของกองทัพตระกูลม่อวิ่งตามเป็นแถวๆ มาเป็นขบวนยาว
ภายในค่ายทหารทัพตะวันตก
ม่อซิวเหยายังคงอยู่ในชุดสีขาวทั้งชุด ผมยังคงยาวขาวประหนึ่งหิมะเช่นเคย เขานั่งอยู่ในกระโจมใหญ่อย่างเกียจคร้าน มองแผนที่ที่กางอยู่ตรงหน้าอย่างใช้ความคิด
หลี่ว์จินเสียนนั่งอยู่ถัดลงมาจากเขา เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง จางฉี่หลันถือได้ว่าเกิดมาจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉี แต่ไหนแต่ไรมาเคลื่อนพลด้วยความรวดเร็ว ยามนี้เกรงว่าพวกเขาคงจะถอนค่ายออกเดินทางกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า เลิกคิ้วเอ่ยว่า “ต่อให้พวกเขารวดเร็วเพียงใด แต่ในมือก็มีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่เพียงหนึ่งหมื่นนาย การจะอาศัยหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเพียงหมึ่นคนมาแย่งชิงรุ่นเทียนหยากับพวกเรา ดูจะคิดการใหญ่เกินไปสักหน่อย”
หลี่ว์จิ้นเสียนพยักหน้า ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เพียงแต่ ถึงแม้ในมือพวกเราจะมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่ห้าหมื่นนาย แต่กำลังพลทหารทั่วไป กลับอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด หน่วยเฮยอวิ๋นฉีถึงแม้จะเก่งกาจด้านการลอบโจมตี แต่การป้องกันเกรงว่าคงจะอ่อนด้อยอยู่เล็กน้อย ต่อให้พวกเราช่วงชิงพื้นที่รุ่นเทียนหยามาได้ก่อน แต่หากจะอาศัยหน่วยเฮยอวิ๋นฉีห้าหมื่นนาย ต้านการโจมตีของทหารกองทัพตระกูลม่อหนึ่งแสนนาย เกรงว่าคงจะลำบากอยู่ไม่น้อย”
ม่อซิวเหยาอมยิ้มเอ่ยกับหลี่ว์จิ้นเสียนว่า “ทำไมหรือ แม่ทัพหลี่ว์เกรงกลัวจางฉี่หลันอย่างนั้นหรือ”
หลี่ว์จิ้นเสียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ยืดอกขึ้นเอ่ยว่า “ผู้ใดเกรงกลัวเขากัน ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าสาบานให้ตัวตายว่าจะต้องรักษารุ่นเทียนหยาไว้ให้ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ม่อซิวเหยาโบกมือ เอ่ยว่า “สาบานให้ตัวตายอันใดกัน อย่าลืมเสียว่า รุ่นเทียนหยามิใช่เป้าหมายสุดท้าย หากเสียกำลังพลทั้งหมดไปที่รุ่นเทียนหยา จะสู้ศึกที่ตามมาได้อย่างไร”
หลี่ว์จิ้นเสียนดูโกรธเกรี้ยว เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องมีความคิดเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยานิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “จางฉี่หลันจะต้องเร่งรุดเดินทางไปรุ่นเทียนหยาอย่างเต็มกำลังอย่างแน่นอน พวกเราก็อย่างเพิ่งรีบไปเลย ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เคลื่อนทัพได้รวดเร็วกว่าพวกเขาอยู่แล้ว ยามนี้คอยขัดขวางพวกเขาระหว่างทางไว้หน่อยก็แล้วกัน อีกอย่าง…ก่อนถึงรุ่นเทียนหยายี่สิบลี้ วางแนวต้านไว้เสียหน่อย ต่อให้สุดท้ายแล้วมิอาจรักษารุ่นเทียนหยาไว้ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้ลดทอนกำลังพลของพวกเขาลงครึ่งหนึ่ง