ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 261-1 การต่อสู้ระหว่างพ่อลูก
การรบนั้น มิใช่คิดจะสู้ก็สามารถต่อสู้กันได้ในทันที ถึงแม้พื้นที่นอกเขตซีเป่ยจะเริ่มมีวี่แววของเปลวไฟแห่งสงครามปะทุขึ้นให้เห็นบ้างแล้ว แต่ผู้คนในซีเป่ยยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของตนต่อไป ด้วยเพราะพวกเขาต่างเชื่อว่า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น หากมีกองทัพตระกูลม่ออยู่ ไฟแห่งสงครามไม่มีทางลามมาถึงบ้านเรือนพวกตนอย่างแน่นอน
ส่วนเจ้าหน้าที่และขุนพลของตำหนักติ้งอ๋องทั้งหลายต่างรู้กันดีแก่ใจว่า ความสงบเรียบร้อยตรงหน้า จะไม่ยืนยาวอีกต่อไป จึงต่างลอบถูมือเตรียมรับมือกันไว้รอท่าแล้ว
แต่กระนั้นม่อซิวเหยาแห่งตำหนักติ้งอ๋องกลับดูไม่อนาทรร้อนใจใดๆ หลังจากจบการซ้อมรบเสมือนจริงแล้ว ก็ตกรางวัลให้กับบรรดาทหารที่ควรจะได้รับ คนที่ควรปรับปรุงก็ถูกส่งไปปรับปรุงอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วก็กลับมาเป็นท่านอ๋องที่สงบเรียบร้อยอีกครั้ง ในแต่ละวันนอกจากจัดการกิจการงานที่ไม่ถือว่าเยอะมากมายอันใดแล้ว เวลาที่เหลือก็คอยเกาะติดอยู่กับเยี่ยหลี กลั่นแกล้งรังแกม่อตัวน้อยไปเรื่อยๆ แต่ละวันผ่านไปอย่างสงบและราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้ ม่อตัวน้อยที่นานๆ ท่านชิงอวิ๋นจะปล่อยตัวกลับมาสักครั้ง ถูกท่านพ่อที่ไร้ความปราณีกลั่นแกล้งจนน้ำตากลบตาอีกครั้ง มองท่านแม่ด้วยความน้อยอกน้อยใจ
เยี่ยหลีถอนใจออกมาอย่างอดไม่อยู่ พ่อลูกสองคนนี้ ประหนึ่งไม่มีวันอยู่กันอย่างสงบสันติได้ถึงหนึ่งชั่วยามกระนั้น ม่อตัวน้อยอายุยังน้อย กำลังที่จะต่อสู้ไม่เพียงพอ ทุกคราจึงถูกรังแกจนไม่อาจเอาคืนได้ หากเป็นคนอื่นเกรงว่าแค่ได้เห็นม่อซิวเหยาก็คงรีบหนีไปให้ไกลๆ เสียแล้ว แต่ม่อตัวน้อยกลับยิ่งเห็นความยากลำบาก ก็ยิ่งพุ่งชน ไม่มีอุปสรรคก็ต้องสร้างขึ้นมาให้พุ่งชนเสียอย่างนั้น ยิ่งสู้ยิ่งแพ้ ยิ่งแพ้ก็ยิ่งสู้
เมื่อเห็นม่อตัวน้อยแกล้งทำเป็นน่าสงสาร บิดาใจร้ายที่เอนข้างอยู่บนเก้าอี้นวมก็พ่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความดูแคลน ทำเป็นน่าสงสาร? ลูกไม้พวกนี้ข้าใช้มาแล้วทั้งนั้น
แน่นอนว่า ท่านติ้งอ๋องไม่มีทางยอมรับหากเทียบกับดวงตากลมโต ใสแจ๋ว เป็นประกายใสที่ใสซื่อบริสุทธิ์และไร้พิษสงแล้ว การแสร้งทำเป็นน่าสงสารของตนจะต้องถูกหักคะแนนอย่างแน่นอน
อีกอย่าง ผู้เป็นบิดาจะมาแข่งการแสร้งทำตัวน่าสงสารกับบุตร มันใช่เรื่องหรือ ไม่เข้าท่าเอาเสียเลยจริงๆ ดังนั้นท่านติ้งอ๋องจึงตั้งใจที่จะล้มเลิกการแข่งขันนี้ไป จะว่าไปแล้วนะท่านอ๋อง ผู้เป็นบิดาจะแย่งความรักกันกับบุตร อาศัยที่ตนอายุมากกว่ารังแกเด็กที่เพิ่งอายุห้าขวบ ก็ดูจะไม่เข้าท่าเอาเสียเลยกระมัง
ส่วนเรื่องราวต่อมานั้น สหายม่อตัวน้อยพัฒนาฝีมือการแสร้งทำเป็นน่าสงสารได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีอาจารย์สอน จนในที่สุดก็พัฒนาจนสามารถแสร้งแกล้งเป็นหมูที่หลอกกินเสือได้อย่างแนบเนียน ภายนอกดูใสซื่อประหนึ่งลูกแมวสีขาวที่แสนจะน่าเอ็นดู แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยแผนการร้าย จนทำให้ม่อซิวเหยาปวดท้องอยู่พักหนึ่ง ซึ่งนี่มิใช่สิ่งที่เขาเคยคาดคิดไว้มาก่อนเลย
เยี่ยหลีก้มลงไปอุ้มบุตรชายที่มีน้ำตากลบตาขึ้นมา ลูบหัวน้อยๆ ของเขาพลางเอ่ยว่า “ตัวน้อยเด็กดี แม่พาเจ้าออกไปเล่นข้างนอกกันดีกว่า พวกเราไม่เล่นกับท่านพ่อแล้ว”
ม่อตัวน้อยยื่นมือไปโอบรอบคอเยี่ยหลีทันที ยิ้มกว้างอย่างสดใสร่าเริงยิ่งนัก “ท่านแม่ใจดีที่สุดเลย ลูกรักท่านแม่ที่สุด”
เยี่ยหลีถึงกับพูดไม่ออก นางก็รู้ว่าเจ้าเด็กแสบผู้นี้แกล้งทำ แต่เจ้าเด็กน้อยที่แสร้งทำเป็นน่าสงสารเสียเต็มประดาเช่นนั้น มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่รับไหว บางคราเยี่ยหลีก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า นิสัยของเด็กคนนี้เหมือนผู้ใดกันแน่ ตนกับม่อซิวเหยาต่างมิใช่คนที่จะแสดงอารมณ์ต่อหน้าผู้อื่น ถึงแม้บางคราม่อซิวเหยาจะชอบแสร้งเล่นละครอยู่บ้าง แต่เยี่ยหลีกล้าพนันว่า ตอนม่อซิวเหยาเด็กๆ ก็ไม่ถึงขั้นสั่งน้ำตาได้ตามใจเช่นนี้อย่างแน่นอน หากว่าเรื่องนิสัยชอบความท้าทายแล้ว ดูจะคล้ายสวีชิงเหยียน แต่ยามสวีชิงเหยียนอายุห้าขวบ เกรงว่าจิตใจก็คงมิได้ใหญ่กว่านิ้วชี้ของม่อตัวน้อยสักเท่าไร
“ตัวน้อยเอ๋ย ลงมา พ่อมีเรื่องจะพูดกับเจ้า” ม่อซิวเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเอ่ยทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ฟูก กวักมือพลางส่งยิ้มอย่างใจดีให้ม่อตัวน้อย
สัญชาตญาณม่อตัวน้อยบอกว่าเห็นท่าจะไม่ดี เกาะคอเยี่ยหลีแน่นพลางส่ายหน้าดิก ก่อนซุกหน้าลงกับคอของเยี่ยหลีทันที
ม่อซิวเหยาก็มิได้โกรธ หัวเราะหึหึพลางเอ่ยว่า “ไม่เชื่อฟังจริงๆ หรือ เจ้าจะไม่เสียใจทีหลัง? โถ่เอ้ย…ต่อไปหากนึกเสียใจทีหลังแล้ว อย่ามาโทษว่าพ่อคนนี้ไม่รักเจ้าก็แล้วกัน ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”
ม่อตัวน้อยหูตั้งขึ้นเล็กน้อย ลอบเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยาที่ยังคงหลับตาเอนกายพักผ่อนอยู่บนฟูกด้วยความลังเลเป็นที่สุด ได้ยินม่อซิวเหยาประหนึ่งพึมพำกับตนเองว่า “ได้ยินว่ายามนั้น ข้า พ่อของเจ้าผู้นี้เกือบหน้าตาออกมาเหมือนจางฉี่หลันเสียแล้ว หากมิใช่เพราะท่านปู่ของเจ้า พ่อของข้าเอ่ยเตือนข้าไว้ ความงดงามหล่อเหลาของตำหนักติ้งอ๋องเรา คงจะไร้ผู้สืบทอดเสียแล้ว”
ม่อตัวน้อยถึงกับหน้าถอดสี หน้าตาเหมือนจางฉี่หลัน?! ในหัวมีภาพของจางฉี่หลันลอยขึ้นมา ม่อตัวน้อยส่ายหน้าดิก สลัดภาพที่น่าสยดสยองนั้นออกไปจากหัว
มิใช่ว่าจางฉี่หลันมีหน้าตาอัปลักษณ์จนไปวัดไปวาไม่ได้ แม่ทัพจางยังดีที่มีเครื่องหน้าครบทั้งห้าอย่าง รูปร่างผึ่งผาย เป็นแม่ทัพที่มีความเย่อหยิ่ง ไม่ว่าจะไปที่ใดก็มักมีลักษณะท่าทางองอาจอยู่เป็นนิจ
แต่กระนั้นม่อตัวน้อย ที่เป็นซื่อจื่อน้อยก็มีมาตรฐานของตนเองที่สูงลิบลิ่วเสียนี่ ถึงแม้ไม่ถึงขั้นท่านลุงใหญ่ แต่อย่างน้อยก็ควรได้สักเฟิ่งซาน หานหมิงซีสิ หรือว่าท่านพ่อจะเลือกได้กันนะ รูปร่างหน้าตาของแม่ทัพจาง ไม่ได้มาตรฐานความหล่อเหลาของสหายม่อตัวน้อยเอาเสียเลยจริงๆ
ดังนั้น เพื่อแผนแห่งความหล่อเหลาของตน สหายม่อตัวน้อยจึงเตะเขาเบาๆ ให้เยี่ยหลีปล่อยเขาลง ก่อนนไปหยุดยืนตรงหน้าม่อซิวเหยาด้วยความระมัดระวัง
รออยู่พักใหญ่ ม่อซิวเหยาถึงได้ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ปรายตามองสำรวจม่อซิวเหยาอยู่พักใหญ่ ถึงได้ค่อยๆ ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้ากลมกิ๊กของม่อตัวน้อย…บีบ! นวด! หยิก!
สหายม่อตัวน้อยมองเสด็จพ่อของตนด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางร้องฮือๆ ไม่ได้หยุด ถึงแม้จะมิได้เจ็บมากเท่าไร แต่นั่นหมายความว่า เขาแพ้ให้กับบุรุษผู้นี้ต่อหน้าท่านแม้อีกครั้ง
ม่อซิวเหยากลับลุกขึ้นนั่ง กระเถิบตัวเข้าใจม่อตัวน้อย มองสำรวจใบหน้าเล็กที่ถูกตนหยิกเสียจนแดงโดยละเอียด ก่อนยิ้มอย่างชั่วร้าย “รู้หรือไม่ว่าเจ้าอ้วนมาก ยังกล้าเรียกให้แม่เจ้าอุ้มอีก คงมีสักวันที่แม่เจ้าถูกเจ้าทำให้เหนื่อย ดูความอ้วนกลมของเจ้านี่สิ เจ้ายังจะกล้ากินเนื้อทุกวันอีก เสด็จพ่อของเจ้าอย่างข้า ตอนห้าขวบยังอ้วนไม่ได้เท่าครึ่งหนึ่งของเจ้าเลย เจ้าลองดูสิ ไว้เจ้าโตขึ้นแล้ว จะอ้วนกว่าจางฉี่หลันอีกหรือไม่ ข้าว่าไม่ต้องเรียกเจ้าว่าม่อตัวน้อยแล้วล่ะ เปลี่ยนชื่อเป็นม่อตัวอ้วนดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สหายม่อตัวน้อยก็ก้มลงมองมือที่อวบอ้วนของตน จนในที่สุดจิตใจดวงน้อยๆ ก็ถูกจินตภาพในหัวทำลายจนแหลกละเอียด มองม่อซิวเหยาด้วยทั้งโกรธและเสียใจ ก่อนร้องไห้วิ่งออกไปทันที ฮือๆ…ท่านลุงใหญ่ เสด็จพ่อแกล้งข้า…
“ซิวเหยา!” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองบุรุษที่ทิ้งตัวหัวเราะงอหายอยู่บนฟูกด้วยความไม่พอใจ
เขาพูดเช่นนี้กับลูกได้อย่างไร จะทำลายความมั่นใจของเด็กเอาได้ง่ายๆ อีกอย่าง เจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้เป็นถึงกับที่เขาพูดเสียหน่อย แค่เพียงท่านปู่ทวดรักใคร่เอ็นดูเขามากจึงเลี้ยงดูเขาดีเกินไปเท่านั้น แค่มองดูแล้วกำยำแข็งแรงกว่าเด็กทั่วไปเล็กน้อย เด็กเล็กๆ อ้วนหน่อยสิถึงจะดี
ม่อซิวเหยาหัวเราะหึหึ “ข้าทำเพื่อตัวเขา อีกเดี๋ยวเขาก็ควรเริ่มฝึกวิชาจริงๆ จังๆ แล้ว หากอ้วนเกินไป คนที่จะลำบากก็คือเขาเอง ต่อไปยามเขากลับมา อาหลีทำกับข้าวที่เป็นผักมากหน่อยก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีเอามือก่ายหน้าผาก พูดไปพูดมากก็เป็นเพราะเมื่อเย็นนางลงมือทำกับข้าวเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นของที่บุตรชายชอบทั้งหมดด้วยตนเอง แค่เพียงละเลยใครบางคนไปเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ใดใช้ให้สหายม่อตัวน้อยจะไม่ชอบถ้าไม่มีเนื้อ ส่วนม่อซิวเหยากลับชอบกินผักมากกว่าไปเสียได้เล่า
“ข้ารู้แล้ว ไว้รอให้ตัวน้อยกลับสำนักศึกษาไปก่อน ข้าจะลงเครัวทำกับข้าวที่ท่านชอบให้เองกับมือเลย ดีหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ย หากเทียบกับภรรยาที่ลงมือทำน้ำแกงให้สามีกินแล้ว เอาเข้าจริงน้อยครั้งนักที่เยี่ยหลีจะลงครัวด้วยตนเอง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อซิวเหยาถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจว่า “ทำให้ข้ากินคนเดียว”
เยี่ยหลีพยักหน้า พร้อมเอ่ยเตือนว่า “ห้ามรังแกม่อตัวน้อยอีก!”
ม่อซิวเหยาโบกมือพลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด เจ้าเด็กนั้นเป็นเหมือนแมลงสาป อีกเดียวก็วิ่งโร่กลับมาเองนั่นแหละ”
เยี่ยหลีพูดไม่ออก นัยน์ตาเป็นประกายคมดุ ยื่นมือไปหยิกแรงๆ เข้ามาที่เอวของเขา
เมื่อเห็นสายตาที่มองมาด้วยความไม่เข้าใจของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีจึงยิ้มดุๆ พลางเอ่ยว่า “ตัวน้อยเป็นแมลงสาป แล้วท่านเล่าเป็นตัวอะไร”
“…”
แล้วก็จริงดั่งที่เขาว่า ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สหายม่อตัวน้อยก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเยี่ยหลีด้วยความสดใสร่าเริงอีกครั้ง อิดๆ ออดๆ มองหน้าเยี่ยหลี เหมือนจะพูดอันใดแต่ก็ไม่พูด
เยี่ยหลีกลั้นยิ้ม มองบุตรชายพลางเอ่ยถามว่า “ตัวน้อยอยากพูดอันใดหรือ”
ม่อตัวน้อยเอ่ยอย่างเขินอายว่า “ท่านลุงบอกว่า…ต่อให้ม่อตัวน้อยโตมาหน้าตาเหมือนแม่ทัพจาง ต่อให้คนทั้งโลกนี้รังเกียจตัวน้อย แต่ท่านแม่ก็ไม่มีทางรังเกียจตัวน้อย จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีลอบหันไปถลึงตาใส่ม่อซิวเหยาทีหนึ่ง ก่อนหันไปเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าตัวน้อยจะเปลี่ยนไปเช่นไร แต่ก็เป็นบุตรที่รักของแม่นี่ ในโลกหล้านี้ไม่มีแม่คนใดที่รังเกียจบุตรของตนได้หรอก”
ม่อตัวน้อยตาเป็นประกายทันที พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ลูกรู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูก…ต่อไปลูกจะไม่กินเนื้ออีกก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีลูบใบหน้าเล็กๆ ของบุตรชาย “เนื้ออย่างไรก็ยังต้องกินอยู่ เพียงแต่ผักก็ต้องกินด้วย จะเลือกกินอย่างเมื่อวานนี้ไม่ได้อีกนะ เข้าใจหรือไม่”
“ข้ารู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้น…” สหายตัวน้อยเอ่ยอย่างเขินอายว่า “ท่านแม่ยังอุ้มตัวน้อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาถึงกับปวดฟัน เจ้าเด็กบ้านี่ไปเรียนรู้มาจากผู้ใดกัน ตำหนักติ้งอ๋องของเขา แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีเด็กประหลาดเช่นนี้มาก่อน ท่าทางเอียงอายเช่นนั้น ดูได้ที่ไหน สวีชิงเฉิน! ต้องเป็นเขาแน่ๆ ที่สั่งสอนม่อตัวน้อยจนเสียเด็กเช่นนี้ เจ้ารอข้าก่อนเถิด!
เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยว่า “ต้องได้แน่นอน”
ม่อตัวน้อยพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ไว้ตัวน้อยโตขึ้น ก็ไม่ต้องให้ท่านแม่อุ้มแล้ว ตัวน้อยจะอุ้มท่านแม่เอง แต่ยามนี้ตัวน้อยยังเด็ก ท่านแม่อุ้มข้าที…”
ช่างเอาใจใส่และกตัญญูเสียจริง เยี่ยหลีใจอ่อนยวบประหนึ่งก้อนเมฆบนท้องฟ้า โน้มตัวลงไปอุ้มม่อตัวน้อยให้มานั่งลงบนตักตน ก้มหน้าลงไปหอมแก้มเขา “แม่จำที่ตัวน้อยพูดเอาไว้แล้วนะ”
เดิมทีบอกไว้แล้วว่าจะพาม่อตัวน้อยออกไปเที่ยวเล่น แต่ภายหลังกลับมีท่านอ๋องที่ไม่เอาการเอางาน ดึงดันที่จะตามมาด้วยเสียให้ได้ โดยใช้ข้ออ้างอย่างดีว่ามาคอยปกป้องภรรยาและบุตร