ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 263-1 ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ป่วยหนัก
ต้นฤดูหนาว แห่งปีที่สิบแปด ในรัชสมัยจิ่งตี้แห่งต้าฉู่ ทางชายแดนเหนือของต้าฉู่ถูกชนต่างเผ่าทางตอนเหนือรุกราน ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ ม่อจิ่งฉีสั่งเคลื่อนทัพสามแสนนายเข้าขับไล่ศัตรู แต่พ่ายแพ้ ทหารชั้นดีสามแสนนายเหลือทหารที่บาดเจ็บหนักอยู่เพียงเจ็ดแปดหมื่นนาย และต่างพากันหนีตายไปอย่างอลหม่าน
ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน แม่ทัพของต้าฉู่ที่ประจำการรักษาเมืองอยู่พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องจนเสียเมืองไปหลายเมือง ทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งรุกไล่กองทัพของต้าฉู่ไปจนถึงด่านจื่อจิงทางตอนเหนือ ยามนี้อยู่ห่างจากเมืองหลวงแห่งต้าฉู่เพียงไม่ถึงสี่ร้อยลี้เท่านั้น
เดือนสิบสอง ม่อจิ่งฉีได้แต่งตั้งให้แม่ทัพเจิ้นเป่ย เหลิ่งจุ่น ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่เถ่าโค่ว และแต่งตั้งให้บุตรชายคนโตของเหลิ่งจุ่น เหลิ่งฉิงอวี่เป็นรองแม่ทัพ นำทัพใหญ่สี่แสนนายมุ่งหน้าไปตั้งรับศัตรู
เพียงแต่ชนต่างเผ่าทางเป่ยจิ้งเดิมทีก็มีความห้าวหาญและเชี่ยวชาญด้านการรบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งยังกรำศึกกันมาตลอดหลายปี มีความห้าวหาญเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นแม่ทัพเก่าแก่อย่างเหลิ่งจุ่นที่คร่ำหวอดอยู่ในสนามรบมายาวนาน ก็ทำได้เพียงรักษาที่มั่นของตนไว้อย่างเต็มที่เท่านั้น การคิดที่จะตีอาณาเขตที่เสียไปแล้วก่อนหน้านี้กลับมา กลับยากเสียยิ่งกว่ายาก
กองทัพของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันที่หน้าด่านจื่อจิงกันอยู่ยาวนาน อย่างไม่มีใครยอมใคร ผู้คนภายในต้าฉู่ต่างรู้สึกหวาดหวั่นใจ และพากันอยู่อย่างไม่เป็นสุข ถึงขั้นมีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่เอ่ยเตือนว่าลี้ภัยลงใต้ไปอยู่กว่างหลิงได้แล้ว
ม่อจิ่งฉีย่อมไม่เห็นด้วยที่จะย้ายลงใต้ ยามนี้ว่ากันตามจริงทางตอนใต้หลายเป็นพื้นที่ของม่อจิ่งหลีไปแล้ว ยามอยู่เมืองหลวง เจ้าน้องชายคนนี้ก็ดูมีแววจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว หากยังเดินทางลงใต้ไปอีก เกรงว่าครานี้ม่อจิ่งหลีคงถึงขั้นกล้าแย่งชิงบัลลังก์กับเขาไปเลยทีเดียว
เพียงแต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่คืนวันของม่อจิ่งฉีก็มิได้ผ่านพ้นไปด้วยดีไปสักเท่าไรนัก แค่เพียงรายงานการรบที่ส่งมาถึงหน้าพระพักตร์ ก็ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว แล้วยังมีเหล่าชาวบ้านที่ลี้ภัยการศึกมาอยู่ในเมืองหลวงอีก ชาวบ้านจำนวนมากแห่กันเข้ามาในเมืองหลวง แต่พื้นที่ภายในเมืองหลวงที่มีจำกัด อยู่เท่าเดิม ย่อมมิอาจรองรับชาวบ้านที่ลี้ภัยมาจำนวนมากเช่นนั้นได้ แต่หากปล่อยให้ชาวบ้านที่ลี้ภัยเหล่านี้ต้องหิวตาย ป่วยตาย หนาวตายแล้ว เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้ทหารกล้าของเป่ยจิ้งบุกมาถึง ก็คงเกิดเหตุจลาจลขึ้นภายในเมืองเสียก่อน
เมื่อเห็นฎีกาที่กองสุมอยู่ตรงหน้า ม่อจิ่งฉีก็ปวดหัวเสียจนหัวแทบแตก มีเพียงในยามนี้เท่านั้นที่เขามิอาจไม่ยอมรับอยู่ลึกๆ ว่า เมื่อเทียบกับม่อซิวเหยาแล้ว เขามีความสามารถไม่เพียงพอจริงๆ ยามอยู่ในสถานการณ์อันวุ่นวายเช่นนั้น ม่อซิวเหยาสามารถสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อจะกอบกู้สถานการณ์กลับมาให้จงได้ แต่เขายามนี้ กลับทำได้เพียงหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ต่อหน้ากองฎีกาที่วางสุมอยู่เท่านั้น
ลึกเข้าไปภายในวังหลวง หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองสีขาวสะอาดตาของหิมะที่ด้านนอกหน้าต่าง จิ้งจอกหิมะที่ขาวราวหิมะ ถูกลมเย็นพัดผ่านใบหน้าอันนิ่งเย็นของนางจนดูประหนึ่งภาพแกะสลักน้ำแข็งที่หนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก
ด้านหลังนาง มีถานจี้จือนั่งอยู่บนฟูก สองมือถือเตาให้ความอบอุ่น สีหน้าดูอุ่นสบายเป็นอย่างยิ่ง เขาเอ่ยพร้อมถอนใจว่า “พระสนมกุ้ยเฟยไม่กลัวความหนาวเลยหรือ ด้านนอกมีแต่สีขาวโพลนไปหมด มีอันใดน่าดูกัน”
หลิ่วกุ้ยเฟยเหลือบตากลับมามอง ใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองเขา “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ถานจี้จือยิ้มเอ่ยว่า “ย่อมมาคอยช่วยเหลือพระสนมกุ้ยเฟยน่ะสิ”
หลิ่วกุ้ยเฟยหัวเราะเยาะเสียงเย็น เอ่ยด้วยความดูแคลนว่า “ช่วยข้า? ก็เป็นเพียงหมาตกน้ำที่ถูกคนหนานจ้าวหมายหัวไว้เท่านั้น เจ้ากับซูม่านหลินวางแผนกันไว้อย่างละเอียดรอบคอบแล้วมีประโยชน์อันใด แค่เพียงติ้งอ๋องกับสวีชิงเฉินขยับปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย เจ้าก็ทำได้เพียงเก็บหางวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาแล้ว ยามนี้เมื่อไม่มีซูม่านหลินแล้ว เจ้ายังมีไพ่อันใดซ่อนไว้อีกหรือ”
สีหน้าถานจี้จือเปลี่ยนไปเล็กน้อย นัยน์ตาเป็นประกายโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้น ก่อนจะเปลี่ยนมาเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างรวดเร็วว่า “พระสนมกุ้ยเฟยคิดว่าไพ่ที่ข้าซ่อนไว้มีเพียงซูม่านหลินคนเดียวหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เจ้ายังมีอันใดอีกหรือ เจ้ากำลังจะพูดถึงเรื่องสายเลือดเชื่อพระวงศ์ราชวงศ์ก่อนอีกหรือ สิ่งที่ทายาทเชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ก่อนอย่างคุณชายหลินย่วนท่านนั้นทำ ดูได้เรื่องได้ราวกว่าเจ้ามากนัก ผ่านมาก็หลายปีเช่นนี้แล้วที่เจ้าคิดจะรวบอำนาจเป็นหนึ่ง แต่กลับยังทำอันใดเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วยังกล้าเอ่ยว่าจะช่วยข้าโดยไม่อายปากได้อีกหรือ”
“หุบปาก!” ถานจี้จือโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและดุดัน “เหรินฉีหนิงนั่นจะถือว่าเป็นอันใดได้ ก็เป็นแค่ของเลียนแบบเท่านั้น!”
เขาต่างหากที่เป็นบุตรกำพร้าของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ก่อน เขาต่างหากคือหลินย่วน! เหรินฉีหนิงก็เป็นเพียงของปลอมที่โผล่อมาจากไหนไม่รู้เท่านั้น!
หลิ่วกุ้ยเฟยเพียงส่งเสียงหึเบาๆ แล้วมิได้เอ่ยอันใดอีก แต่ยังคงมองเห็นแววดูแคลนในดวงตาได้อย่างชัดเจน เขาคิดว่าการได้ชื่อว่าเป็นบุตรกำพร้าจากราชวงศ์ก่อนที่ว่านั่นเป็นสิ่งมีค่ามากนักหรือ กับแค่ราชวงศ์ที่ล่มสลายมาแล้วเกือบสองร้อยปี ทั้งยังเป็นบุตรกำพร้าของราชวงศ์ที่ล่มสลายด้วยเพราะประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ดีด้วยแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะชนะใจจนได้การสนับสนุนจากประชาชนแน่นอน
เหรินฉีหนิงผู้นั้นที่เรียกตนเองว่าหลินย่วน เกรงว่าคงเข้าใจถึงจุดนี้ ถึงเลือกที่จะเริ่มจากเป่ยจิ้งก่อน ขอเพียงแย่งชิงใต้หล้ามาไว้ในครอบครองได้ แล้วค่อยประกาศตนว่าตนเองมีฐานะเป็นบุตรกำพร้าจากอดีตราชวงศ์ แรงต้านในการขึ้นครองราชย์ก็คงลดน้อยลงไปมาก เมื่อเทียบกับการมีคนต่างชนเผ่ามาขึ้นเป็นฮ่องเต้ของจงหยวนแล้ว ชาวบ้านและชนชั้นสูงที่มีอิทธิพลทั้งหลายย่อมยอมรับบุตรกำพร้าจากราชวงศ์ก่อนที่มีสายเลือดของชนชั้นสูงอย่างแน่นอน
ถานจี้จือทำเป็นไม่เห็นสายตาดูแคลนในแววตาของหลิ่วกุ้ยเฟย แสร้งทำท่าทางแข็งกระด้างเพื่อปกปิดแววเคียดแค้นในดวงตา แต่ในที่สุดก็หัวเราะออกมาก่อนเอ่ยว่า “ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าจริงๆ หรือ บางทีข้าน้อยอาจบอกข่าวที่สำคัญมากๆ ข่าวหนึ่งในกับหลิ่วกุ้ยเฟยก็ได้ แน่นอนว่า หากหลิ่วกุ้ยเฟยไม่นึกสนใจ ก็แล้วไปเถิด”
หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องถานจี้จือด้วยความไม่พอใจ ประหนึ่งกำลังพิจารณาว่าข่าวที่เขาว่าคุ้มค่ากับที่ตนจะต้องได้ยินหรือไม่
ถานจี้จือนั่งเอนหลังอยู่บนฟูก พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระสนมกุ้ยเฟยไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้…สำหรับท่านก็อาจจะไม่ถือว่าเป็นข่าวร้าย”
หลิ่วกุ้ยเฟยหรี่ตาลง อาจไม่ถือว่าเป็นข่าวร้าย ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นข่าวร้าย “เจ้าพูดมาเถิด”
ถานจี้จือเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยว่า “หลีอ๋องซื้อยาประหลาดตัวหนึ่งมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียง”
หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องตาเขาด้วยสายตาเรียบเย็น แม้แต่แวววูบไหวในดวงตาก็ไม่มีให้เห็น สีหน้าเฉยชาประหนึ่งกำลังพูดว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับนาง
ถานจี้จือหัวเราะเสียงก้อง เอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยว่า “ข้าน้อยล่ะชอบท่าทางเช่นนี้ของพระสนมกุ้ยเฟยจริงๆ ช่างเฉยชาไร้อารมณ์จนน่าชื่นชมยิ่งนัก”
ถึงว่าติ้งอ๋องถึงได้ไม่สนใจสตรีเช่นท่านกระมัง ต่อให้งดงามปานประหนึ่งรูปสลักน้ำแข็งเพียงไร แต่จิตใจของนางกับความเฉยชาไร้อารมณ์ แม้แต่บุรุษยังต้องเลื่อมใส แล้วดูว่าติ้งอ๋องได้แต่งงานกับชายาติ้งอ๋องที่มีนิสัยเช่นไร ยามสงบนิ่งก็อ่อนหวานสง่างาม ยามออกท่าทางก็มีรัศมีเปล่งประกายไปทั่วทิศ มีทั้งยามมีเมตตา และมียามที่โหดเหี้ยม ได้ทั้งอ่อนได้ทั้งแข็ง ทั้งยังมีความสามารถเหนือผู้คน สามีก็รักใคร่นางแต่เพียงผู้เดียว นางมีฐานะไม่ธรรมดาแต่กลับไม่เคยเห็นว่าจะโอหังจองหองแต่อย่างไร สตรีเช่นนี้สิถึงจะเป็นสตรีที่บุรุษทุกคนต่างหมายปองแม้ในยามฝัน หลิ่วกุ้ยเฟยที่มั่นใจในเรื่องรูปร่างหน้าตาและความสามารถของตนเองมากนั้น ในสายตาของยอดบุรุษที่แท้จริงแล้ว จะเป็นอันใดไปได้
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาคิดเหล่านี้ ไม่มีทางบอกให้สตรีที่หยิ่งผยองตรงหน้าได้ฟัง
หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วมองถานจี้จือ ไม่รู้เพราะเหตุใด นางมักรู้สึกว่าในคำพูดของถานจี้จือมิได้มีเพียงคำเอ่ยชื่นชมเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะนางไม่เคยเห็นถานจี้จืออยู่ในสายตาอยู่แล้ว ย่อมไม่สนใจว่าเขาจะมองตนเช่นไร
พระสนมกุ้ยเฟยไม่สนใจจริงๆ หรือว่าหลีอ๋องซื้อยาอันใดมา หรือว่า…พระสนมกุ้ยเฟยไม่อยากรู้ว่าของที่หลีอ๋องซื้อหามานั้น จะนำไปใช้กับผู้ใด” ถานจี้จือเอ่ยกลั้วหัวเราะ
จิตใจหลิ่วกุ้ยเฟยสั่นไหวเล็กน้อย แต่ยังคงมองถานจี้จือด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ถานจี้จือรู้จักนางดีมากจริงๆ ย่อมเข้าใจว่าจะทำให้ตนนึกสนใจขึ้นมาได้อย่างไร
เขาก็ไม่ปิดบัง ถานจี้จือยิ้ม เอ่ยว่า “ถูกต้อง เป็นอย่างที่ท่านคิดนั่นล่ะ เขาจะเอามาใช้กับท่านนั้นที่ในห้องทรงพระอักษร อีกอย่าง จากการคาดเดาของข้า เกรงว่ายานั้น น่าจะใช้มาได้นานหนึ่งเดือนแล้วอีกด้วย”
หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สุขภาพของฝ่าบาทก็มิได้มีอันใดผิดปกติ”
ถานจี้จือยิ้มเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่มีทางมีอันใดผิดปกติ ไม่เพียงจะไม่ผิดปกติ แต่สุขภาพของเขากลับยังดีมากอีกด้วย เพียงแต่เมื่อใดก็ตามที่ขาดยานั้นไปหรือหากใช้นานเกินไป ฮ่องเต้ก็คงได้ทุกข์ทรมานอย่างมากทีเดียว ของสิ่งนั้นเดิมทีมีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่หลังจากองค์หญิงอันซีขึ้นครองราชย์ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงวางแผนจะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์จนเหลือเพียงตอตะโก ยา แน่นอนว่าก็ย่อมไม่เหลือแล้ว…ในมือม่อจิ่งหลี อย่างมากก็มีจำนวนยาพอใช้อยู่อีกเพียงไม่ถึงครึ่งปีเท่านั้น”
หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “เจ้าอยากได้สิ่งใด”
ถานจี้จือยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าต้องการ…เกรงว่ายามนี้พระสนมกุ้ยเฟยคงจะยังให้ไม่ได้ ไว้รอให้พระสนมกุ้ยเฟยให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน”
หลิ่วกุ้ยเฟยหลุบตาลง ปกปิดแววดุดันและแววสังหารในดวงตา พร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “ดี ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้ ก็จะรับปากเจ้าทั้งสิ้น เพียงแต่ ยามนี้เจ้ายังสามารถทำอันใดให้ข้าได้อีก?”
ถานจี้จือเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถึงอย่างไรข้าน้อยก็เป็นคนที่อยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีมาเป็นสิบปี ในเวลาไหนเขาจะคิดทำเช่นใดนั้น ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าข้าอีกแล้ว เท่านี้…ยังไม่เพียงพออีกหรือ คนที่ม่อจิ่งฉีเชื่อใจโดยแท้จริงนั้นมีผู้ใดบ้าง หลิ่วกุ้ยเฟยไม่คิดอยากรู้หรือ อีกอย่าง…ข้าสามารถช่วยท่านต่อกรกับหลีอ๋องได้”
แววตาหลิ่วกุ้ยเฟยมีแวววูบไหว ครู่ใหญ่ถึงได้พยักหน้าเอ่ยว่า “คำไหนคำนั้น หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ถานจี้จือยิ้ม “กุ้ยเฟยเพียงตั้งตารอก็พอแล้ว”
ปีที่สิบเก้า ในรัชสมัยฮ่องเต้จิ่งตี้ ถือได้ว่าเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ต้าฉู่สถาปนาแคว้นขึ้นมาเป็นร้อยปี ยังไม่ทันข้ามปี ด่านทางเหนือก็มีข่าวส่งมาว่า เหลิ่งจุ่นพ่ายแพ้อย่างหนักและร้องขอกำลังเสริม ต้องรู้ก่อนว่า ด่านจื่อจิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ถึงสี่ร้อยลี้ หากควบม้าเร็วกลับมา แค่เพียงวันเดียวก็เดินทางกลับมาถึง ด้วยระยะทางเท่านี้ หากยังคงพ่ายแพ้ไปอย่างต่อเนื่อง วันที่ข้าศึกจะยกทัพเข้าประชิดเมืองหลวงก็คงอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้ว นอกจากนี้ แค่เพียงได้รับข่าวว่าเหลิ่งจุ่นขอกำลังเสริม ม่อจิ่งฉีก็ล้มป่วยลงทันที
ถึงแม้จะยังฝืนออกว่าราชการ แต่คนที่มีดวงตาที่แจ่มชัด แค่เพียงเห็นสีหน้าซีดเหลืองและกับท่าทางซึมเซาของเขาก็จะรู้ว่า ฮ่องเต้กำลังป่วยอย่างหนัก เมื่อทั้งสองเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมๆ กัน จึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าคืนวันช่างมืดมิดประหนึ่งไร้ดวงตะวัน ประหนึ่งชะตาของต้าฉู่ใกล้จะจบสิ้นลงแล้วกระนั้น
เมื่อม่อจิ่งฉีฝืนเอ่ยอนุญาตให้ระดมกำลังพลและเสบียงอาหารไปช่วยเหลือเหลิ่งจุ่นแล้ว ก็ล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้นอีกเลย
ภายในตำหนักบรรทม ไทเฮาที่ถือศีลกินเจไม่สุงสิงเรื่องการเมืองมานานหลายปีกับฮองเฮาที่ปิดตำหนักรักษาอาการป่วยมาตลอดพากันมาปรากฏตัวที่นี่ พร้อมกันนั้นภายในห้องยังมีหลีอ๋อง หลิ่วกุ้ยเฟย เสนาบดีหลิ่วและท่านอ๋องเชื้อพระวงศ์อีกจำนวนหนึ่งคอยท่าอยู่ด้วย