ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 269-1 เปิดฉากด่าทอ คนแพศยาไร้ยางอาย
สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด เดิมทีนางมาที่นี่พร้อมความมั่นใจเต็มสิบส่วน แต่ยามนี้กลับไม่เหลือแม้เพียงครึ่งส่วนด้วยซ้ำ แต่นางจะไม่ยอมแพ้ นางมิอาจเข้าใจเหตุผลที่ม่อซิวเหยาปฏิเสธนางได้ หากเปลี่ยนเป็นใครคนใดคนหนึ่งในโลกนี้ ย่อมต้องตอบรับข้อเสนอของนางโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน เหตุใดม่อซิวเหยาถึงยังปฏิเสธนาง
แต่นางกลับลืมไปว่า ใครคนใดคนหนึ่งที่ว่านั่น มิใช่ม่อซิวเหยา ส่วนนางก็มิได้หลงรักใครคนใดคนนั้นในโลกใบนี้
“ที่เจ้าปฏิเสธข้าก็เพราะนางอย่างนั้นหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยลุกยืนขึ้น ชี้หน้าเยี่ยหลีพลางเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยท่าทีที่ไม่เปลี่ยนไปว่า “มีหรือไม่มีอาหลี ข้าก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ไร้หัวคิดเช่นนี้”
“ข้าไม่เชื่อ!” หลิ่วกุ้ยเฟยกรีดร้องเสียงดังขึ้น
ม่อซิวเหยาก้มลงมองม่อตัวน้อยที่ผล็อยหลับไปแล้ว พลางกอดเขาแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย หากเสียงของหลิ่วกุ้ยเฟยทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา คงจะยิ่งปวดหัวกว่านี้
เขาผินหน้าไปเอ่ยยิ้มๆ กับเยี่ยหลีว่า “อาหลี เจ้าช่วยบอกนางว่าเหตุใดข้อเสนอที่นางเสนอมาถึงได้ไร้หัวคิดทีได้หรือไม่”
เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ ก่อนหันไปเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยเรียบๆ ว่า “หลิ่วกุ้ยเฟย ท่านรู้หรือไม่ว่าม่อจิ่งฉีถือเป็นผู้ใดกับตำหนักติ้งอ๋องของพวกเรา หรือจะถามอีกอย่างว่า…ราชวงศ์ต้าฉู่มีความสัมพันธ์เช่นไรกับตำหนักติ้งอ๋อง”
หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไป แต่ก็เข้าใจความหมายของเยี่ยหลีได้อย่างรวดเร็ว สีหน้าจึงซีดเผือดลงไปถนัดตา
เมื่อสองร้อยปีก่อน ปฐมฮ่องเต้แห่งต้าฉู่กับติ้งอ๋อง เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ตลอดสองร้อยปีที่ผ่านมานี้ ราชวงศ์ต้าฉู่กับตำหนักติ้งอ๋องที่ถือกำเนิดมาจากสายเลือดเดียวกัน ได้สมัครสมานสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน จนได้ชื่อว่าเป็นประมุขที่หลักแหลมกับขุนนางที่ทรงคุณธรรม แต่ทว่าในยามนี้ ม่อจิ่งฉีกับม่อซิวเหยามีความแค้นที่เข่นฆ่าบิดาและพี่ชาย ราชวงศ์ต้าฉู่ติดค้างชีวิตและวิญญาณของกองทัพตระกูลม่ออีกหลายหมื่นชีวิต ราชวงศ์กับตำหนักติ้งอ๋องยังมีความผูกพันธ์กันทางสายเลือดอีกมากน้อยเพียงใด ไม่มีผู้ใดรู้ แต่เรื่องที่ตำหนักติ้งอ๋องกับเชื้อพระวงศ์ต้าฉู่มีความแค้นฝังลึกกันประหนึ่งมหาสมุทรนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนเสียแล้ว
อันที่จริงด้วยนิสัยของม่อซิวเหยา เดิมทีเมื่อได้รู้ข่าวนี้เป็นคราแรก แล้วไม่ยกทัพบุกเข้ามาสังหารฮ่องเต้ถึงที่เมืองหลวง ก็ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกประหลาดใจมากแล้ว ส่วนบุตรชายของนาง…เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ต้าฉู่ และนาง…ก็เป็นพระสนมของม่อจิ่งฉี
เมื่อเห็นสีหน้าของนางซีดเผือดลง เยี่ยหลีก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ยามนี้หลิ่วกุ้ยเฟยเข้าใจแล้วหรือยัง ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางร่วมมือกับหลิ่วกุ้ยเฟยหรือว่าหลีอ๋องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน ด้วยเพราะนั่นไม่มีความหมายอันใดเลย”
ถึงแม้จะเคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีมิตรแท้ที่ถาวร แต่กับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นคนของศัตรู เหตุใดถึงต้องฝืนไปผูกมิตรกับคนผู้นั้นด้วยเล่า หากเทียบกับการเข้าไปช่วยเหลือศัตรูฝ่ายหนึ่งให้เอาชนะศัตรูอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว พวกเขายินดีที่จะนั่งอยู่บนภูเขา คอยมองเสือที่ตีกันอยู่ข้างล่างเสียมากกว่า ไว้ถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายเสียหายอย่างหนัก แล้วค่อยเข้าไปเก็บกวาดความวุ่นวายที่เหลืออยู่จะดีกว่า หรือว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเห็นว่า ที่หลายปีมานี้ ตำหนักติ้งอ๋องมิได้มีท่าทีอันใด จึงคิดว่าเขาได้ลืมเลือนความแค้นใจเมื่อใดอดีตไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ
“ความแค้นระหว่างม่อจิ่งฉีกับตำหนักติ้งอ๋อง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า” หลิ่วกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ เอ่ยตอกย้ำอย่างหนักแน่นขึ้น
เยี่ยหลีอมยิ้มมิได้เอ่ยอันใด ความผิดไม่เกี่ยวอันใดกับคนในครอบครัว ประโยคนี้ไม่สามารถใช้กับยุคสมัยนี้ได้ การติดร่างแหไปด้วยเมื่อมีคนในครอบครัวกระทำความผิดนั้น พบเห็นอยู่ได้ทุกที่ อีกอย่าง ต่อให้นางบริสุทธิ์จริง ตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่มีทางเข้าช่วยพยุงสายเลือดแท้ๆ ของม่อจิ่งฉีอย่างแน่นอนอยู่ดี
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบากับหลิ่วกุ้ยเฟยว่า “ในเมื่อพูดธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เชิญหลิ่วกุ้ยเฟยกลับไปเถิด ช่วงที่พวกเราอยู่ในเมืองหลวง จะไม่มีทางเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องในราชสำนักเป็นอันขาด และขอว่าหลิ่วกุ้ยเฟยก็อย่าได้มารบกวนพวกเราอีกเลย”
หลิ่วกุ้ยเฟยส่ายหน้า มองม่อซิวเหยาด้วยท่าทีเหม่อลอย “เพราะเหตุใด”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจว่าที่หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเช่นนี้ด้วยเพราะมีจุดประสงค์ใด
หลิ่วกุ้ยเฟยกัดมุมปาก “เพราะเหตุใดเจ้าถึงไม่เคยมองเห็นข้า ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออันใด ข้ายินดีนำใส่พานมาถวายให้ตรงหน้าท่าน หากเทียบกับเยี่ยหลีแล้ว ข้ามีอันใดไม่ดีกัน นางจะรักเจ้าได้มากกว่าที่ข้ารักหรือ นางจะยอมตายเพื่อเจ้าได้หรือ ข้าสามารถทำอันใดเพื่อเจ้าก็ได้นะ! หรือว่าเป็นเพราะข้าแซ่หลิ่ว เจ้าถึงเมินเฉยไม่สนใจข้า”
ดูเหมือนยิ่งพูดนางจะยิ่งมีอารมณ์ ประหนึ่งต้องการจะระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดหลายปีออกมากระนั้น น้ำเสียงในช่วงท้าย ประหนึ่งว่าหลิ่วกุ้ยเฟยอยากจะกรีดร้องออกมา
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นปิดหูม่อตัวน้อย แต่ม่อตัวน้อยสะดุ้งตื่นจากเสียงกรีดร้องที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นนั้นเสียแล้ว เขายกมือขึ้นขยี้ตาด้วยความงัวเงียอยู่ในอ้อมแขนของม่อซิวเหยา หันมองสตรีในชุดสีขาวที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความงุนงง
“เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้กับข้า ซิวเหยา ทั้งๆ ที่ข้าต่างหากที่รักท่านมากที่สุด ข้าต่างหากที่เป็นคนแรกที่รู้จักเจ้า?! ข้าพบเจ้าก่อนซูจุ้ยเตี๋ย ก่อนเยี่ยหลีอีก เพราะเหตุใดท่านถึงไม่ยอมหันมองข้าแม้สักครั้ง!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย
เยี่ยหลียกถ้วยชาขึ้นจรดตรงริมฝีปาก หยุดคิดเล็กน้อยก่อนวางกลับลงอีกครั้ง ความรักที่รุนแรงเช่นนี้ ต่อให้เป็นในชาติที่แล้วก็ถือเป็นความรักที่ร้อนแรงดั่งไฟ นางคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า หลิ่วกุ้ยเฟยที่ภายนอกเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง แต่ภายในใจกลับเร่าร้อนและรุนแรงเช่นนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก ที่ความเร่าร้อนรุนแรงเช่นนี้ นางมิอาจให้ความชื่นชมได้ ไม่เพียงมิอาจให้ความชื่นชมได้ แต่ยังรู้สึกโกรธเคืองมากเป็นพิเศษอีกด้วย โลกนี้นี่มันอันใดกัน ผู้ชายมักมีแต่ผู้ชายสารเลวก็เรื่องหนึ่งล่ะ แต่นี่นางกว่าจะได้ผู้ชายดีๆ ที่ไม่ใช่ผู้ชายสารเลวคนหนึ่งมาได้ สวรรค์จะทนเห็นนางมีชีวิตดีๆ เช่นนี้ไม่ได้เชียวหรือ
มีเสียงถ้วยชากระทบกับโต๊ะดังปัง เสียงใสๆ ที่กระทบหนักๆ ลงกับโต๊ะ ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างพากันอึ้งไป
เยี่ยหลีเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “พระสนมกุ้ยเฟย ต่อให้ท่านอยากแสดงความรักมากเพียงใด ก็ควรให้เกียรติคนที่มาก่อนอย่างข้าบ้างกระมัง ท่านเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้า ท่านเห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอหรือไร”
ในเมื่อพูดออกมาแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยย่อมต้องไปต่อให้สุด มีหรือจะมาสนใจว่าจะทำให้เยี่ยหลีโกรธหรือไม่ อีกอย่างนางไม่เคยกลัวว่าเยี่ยหลีจะโกรธอยู่แล้วด้วย
นางมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยกลั้วยิ้มเย็นว่า “ข้ากำลังพูดกับม่อซิวเหยา เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย หรือเจ้าคิดว่าเพราะเจ้าเป็นชายาติ้งอ๋อง ข้าจึงจะยอมลงให้เจ้าสามส่วนอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลีหรุบตาลง มองสำรวจนิ้วมือของตนด้วยท่าทีสงบ แต่นัยน์ตากลับเริ่มมีแววของลมพายุซ่อนอยู่ นางคิดมาตลอดว่า การที่สตรีทะเลาะกันด้วยเรื่องบุรุษ ถือเป็นเรื่องที่เสียเกียรติอย่างยิ่ง แต่ก็มีสตรีบางคน ที่สามารถใช้คำเพียงคำเดียวมาอธิบายได้ นั่นก็คือ…แพศยา!
“ข้าไม่จำเป็นต้องให้ท่านยอมลงให้ ข้าเพียงต้องการเตือนท่าน ท่านจะทำตัวแพศยาของท่านเองก็แล้วไปเถิด แต่อย่ามาทำแพศยากับบุรุษของข้า ชื่อเสียงของท่านอ๋องข้า ท่านชดใช้ไม่ไหวหรอก!” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเย็น
“บังอาจ! เจ้ากล้าด่าข้า?!” หลิ่วกุ้ยเฟยโกรธจนคอแข็ง ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีใครด่านางว่าแพศยามาก่อน
เยี่ยหลีเลิกคิ้วยิ้ม “หรือว่าท่านยังคิดว่าตนเองสูงส่งอยู่อย่างนั้นหรือ บุรุษชื่นชอบการมีอนุเล็กเมียน้อย หากท่านเสนอตัวเข้ามาแล้วเขาเล่นด้วย ข้ายังพอว่าพวกท่านเหมาะสมกันเหมือนผีเน่ากับโรงผุ แต่นี่บุรุษเขาไม่พึงใจท่าน ท่านก็ยังเสนอตัวเข้ามาไม่เลิก เช่นนี้เขาเรียกว่า ยอมลดตัวลงมาเป็นนังแพศยา! รู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านอ๋องของข้าถึงไม่พึงใจท่าน”
หลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่ทันเอ่ยอันใด ม่อซิเหยาที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยทักขึ้นว่า “อาหลี ข้าไม่เหม็นเน่า ข้าตัวหอมเหมือนอาหลี”
เมื่อได้ยินที่เยี่ยหลีเอ่ย สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยยิ่งดูย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก แต่สายตาที่มองส่งไปทางเยี่ยหลีกลับดูมีแววลังเลเพิ่มเข้ามา ถึงแม้จะรู้ว่าเยี่ยหลีไม่มีทางเอ่ยอันใดดีๆ แต่นางมิอาจเข้าใจได้เลยจริงๆ ว่า เหตุใดม่อซิวเหยาถึงไม่พึงใจนาง ต่อให้นางสู้เยี่ยหลีไม่ได้ แต่อย่างน้อย นางไม่ด้อยไปกว่าซูจุ้ยเตี๋ยอย่างแน่นอน คราแรกเหตุใดนางถึงได้แพ้ให้กับสตรีนางนั้น
เยี่ยหลียิ้มเย็น ค่อยๆ เอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “ก็เพราะเจ้า…แพศยา หากเจ้าเสแสร้งวางท่าว่าสูงส่งเย็นชาให้ได้ตลอด ไม่แน่ว่าท่านอ๋องของข้าอาจจะพอชายตามองเจ้าบ้าง อีกอย่าง ท่านไม่เพียงแพศยา แต่ท่านที่เป็นภรรยา เป็นมารดาคนแล้ว แต่ยังมาแสดงออกว่ารักใคร่บุรุษคนอื่นอย่างไร้ยางอาย อย่างท่านยังต้องเพิ่มเข้าไปอีกคำหนึ่ง…ร่าน”
เมื่อพูดจบ เยี่ยหลียังได้ระบายลมหายใจยาวเหยียดออกมาอีกด้วย ตลอดชีวิตของนาง นางยังไม่เคยใช้คำด่าทอที่รุนแรงเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อนเลย แม้แต่เยี่ยอิ๋งกับเยี่ยหลีก็ยังไม่เคยทำให้นางโกรธจัดเช่นนี้มาก่อน พอเอ่ยจบ เยี่ยหลีก็หรุบตาลงและไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
น้ำชาถ้วยหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้านาง แววตาม่อซิวเหยาที่มองนางเจือแววขบขันอยู่จางๆ “อาหลีพูดเหนื่อยแล้วกระมัง จิบชาเสียหน่อยสิ”
เยี่ยหลีอึ้งไป อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ อันที่จริงนางไม่ค่อยชอบเสียกิริยาต่อหน้าม่อซิวเหยาสักเท่าไร แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ให้แล้วไปก็แล้วกัน
นางรับถ้วยชามาจิบทีหนึ่ง เยี่ยหลีวางถ้วยชาลง ยื่นมือไปทางมือเล็กๆ ของม่อตัวน้อย
ม่อตัวน้อยรีบพุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของมารดาด้วยความยินดี ยิ้มจนตาหยีพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่เก่งกาจยิ่งนัก”
เยี่ยหลีตบศีรษะเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ห้ามเลียนแบบ”
เด็กเล็กๆ ชอบการเลียนแบบเป็นที่สุด หากวันใดเกิดม่อตัวน้อยคำก็แพศยา สองคำก็ร่านขึ้นมา นางคงได้รู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
“เจ้า…” หลิ่วกุ้ยเฟยโกรธจนตัวสั่นเทิ้มไปหมด ชี้หน้าม่อซิวเหยาพลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้า…เจ้าจะปล่อยให้นางดูหมิ่นข้าเช่นนี้หรือ”
ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้น เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ชายารักของข้าจะไปดูหมิ่นเจ้าได้อย่างไร เมื่อครู่นางกำลังชี้แนะเจ้า เจ้ามิได้บอกหรือว่ายอมทำเพื่อข้าทุกอย่าง ยามนี้ข้าต้องการให้เจ้าทำเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”
หลิ่วกุ้ยเฟยมองม่อซิวเหยาด้วยความกระวนกระวาย รู้สึกไม่สบายใจ จนอดส่ายหน้าออกมาไม่ได้
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่อไปอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก”
เยี่ยหลีมองท่าทางประหนึ่งไม่อยากจะเชื่อของหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนระบายยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟย ท่านว่าท่านยอมทำทุกอย่างเพื่อซิวเหยา เช่นนั้น…ท่านกล้าเดินออกไปกลางถนน แล้วตะโกนบอกทุกคนว่าคนที่ท่านรักคือติ้งอ๋องหรือไม่”
หลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่ทันตั้งสติกลับมาจากคำพูดอย่างไร้เยื่อใยของม่อซิวเหยาเมื่อครู่ ก็ถูกสิ่งที่เยี่ยหลีเอ่ยออกมาทำให้อึ้งไปอีกครา ปฏิกิริยาของนางก็คือการหันไปมองม่อซิวเหยา หากม่อซิวเหยายอมรับนาง นางย่อมกล้าที่จะพูด แต่หากม่อซิวเหยาไม่มีทางยอมรับนาง หากนางเอ่ยประโยคนั้นออกไปแล้ว ต่อให้นางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายรัชทายาท ก็คงไม่เหลืออันใดเช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เยี่ยหลีก็เข้าใจในทันที ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ดูท่าหลิ่วกุ้ยเฟยก็คงมิได้รักใคร่ลึกซึ้งอย่างที่ตนเองพูดกระมัง”
หลิ่วกุ้ยเฟยไม่รู้จะเอ่ยอันใดตอบ ครู่ใหญ่ถึงหันไปมองม่อซิวเหยาอย่างเหม่อลอย แววโกรธแค้นในดวงตาเพิ่มมากยิ่งขึ้น “แล้วท่านจะเสียใจ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว สีหน้าเรียบเฉย
หลิ่วกุ้ยเฟยมองภาพสามคนพ่อแม่ลูกตรงหน้า ก็ให้รู้สึกว่า ณ ที่นี้ไม่มีที่ให้นางยืนอีกแล้ว แล้วในที่สุดก็ฝืนรวบรวมความถือดีแล้วหมุนตัวเดินลงจากโรงน้ำชาไป