ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 275-1 แสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดง
ภายในห้องหนังสือตำหนักหลีอ๋อง สีหน้าบิดเบี้ยวที่เต็มไปด้วยความโกรธขึ้งของม่อจิ่งหลี ทำให้แม้แต่องค์หญิงซีสยาที่โปรดปรานที่สุดยังไม่กล้าเข้าใกล้แม้เพียงครึ่งส่วน
จนเมื่อม่อจิ่งหลีระบายความโกรธในใจออกมาจนหมดสิ้นแล้ว ห้องหนังสือทั้งห้องก็เละเทะจนแทบไม่เหลือสภาพ
ลูกน้องของตำหนักหลีอ๋องที่มาเพื่อวางแผน ยืนกันอยู่ที่มุมหนึ่งย่อมไม่กล้าเอ่ยปาก องค์หญิงซีสยาจึงจำต้องทำเป็นใจกล้า เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ที่นี่คงไม่เหมาะจะใช้หารือแล้ว ย้ายไปยังโถงข้างกันดีหรือไม่”
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเย็นๆ ทีหนึ่ง ก่อนสะบัดมือเดินออกจากห้องหนังสือ คนอื่นๆ ก็ต่างพากันรีบเดินตามออกไป
“ท่านอ๋อง เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ” เมื่อนั่งลงในโถงข้างนอกห้องหนังสือแล้ว ในที่สุดก็มีคนฝืนทำใจกล้าเอ่ยถามขึ้น
ม่อจิ่งหลีถึงได้เอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า “องค์หญิงซีฝูกับองค์หญิงเจาหยางพอออกจากวัง ก็ไปพบม่อซิวเหยา”
ทุกคนต่างอึ้งไป “ฝ่าบาท…นี่มีพระประสงค์เช่นไร”
ม่อจิ่งหลีหัวเราะเสียงเย็น “ยังจะประสงค์เช่นไรได้อีก ก็คงขอให้องค์หญิงซีฝูไปช่วยขอร้องม่อซิวเหยาน่ะสิ เขาลงทุนลงแรงไปกับม่อซิวเหยามาตลอดชีวิต ใกล้จะตายคงเกิดคิดได้ขึ้นมา”
ทุกคนพากันขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าทันที “ท่านอ๋อง หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จะไม่เป็นผลดีกับเราอย่างมากนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทถึงขั้นยอมละทิ้งบุญคุณความแค้นเมื่อในอดีตและความเกรงกลัวที่มีต่อตำหนักติ้งอ๋อง ไปขอให้ติ้งอ๋องช่วย เห็นได้ชัดว่าต้องการเล่นงานตำหนักหลีอ๋องถึงตาย
ม่อจิ่งหลีส่งเสียหึเย็นๆ ทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยความดูแคลนว่า “ม่อซิวเหยาไม่มีทางรับปาก อีกอย่าง…ต่อให้ม่อซิวเหยารับปากว่าจะลงมือ ข้าในยามนี้ใช่คนที่จะให้เขาเล่นงานง่ายๆ ได้หรือ”
ทุกคนเมื่อได้เห็นสีหน้าดุดันเย็นเยียบของบุรุษตรงหน้า ก็พากันอึ้งไป ครู่ใหญ่ถึงได้ตั้งสติกลับมาได้ ก็จริงมิใช่หรือ หลีอ๋องในยามนี้มิใช่หลีอ๋องเช่นเมื่อในอดีตมาเสียนานแล้ว เขาเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการของต้าฉู่ ทั้งยังมีอำนาจในพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของต้าฉู่ ไม่ต้องพูดถึงอิทธิพลของติ้งอ๋องที่ยามนี้อยู่ไกลถึงซีเป่ยเลย ต่อให้เป็นติ้งอ๋องในยามที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง คิดอยากจะเล่นงานหลีอ๋องก็มิใช่ว่าจะทำสำเร็จได้โดยง่าย
“ไม่รู้ว่าท่านอ๋องมีแผนการเช่นไร เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่…” นักวางแผนคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
เดิมทีพวกเขาฝากความหวังไว้กับไทเฮาว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ฮ่องเต้ยกบัลลังก์ให้หลีอ๋องอย่างเป็นทางการได้ อันที่จริงความคิดเช่นนี้ก็ดูจะคิดการใหญ่เกินไปสักหน่อย ด้วยนิสัยของฮ่องเต้ เกรงว่าต่อให้ต้องแหขาดและปลาตาย ก็ไม่มีทางเห็นด้วยที่จะให้ราชบัลลังก์ตกอยู่ในมือคนที่ทำร้ายเขาถึงชีวิตอย่างแน่นอน
ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้ว นิ่งใคร่ครวญไปครู่หนึ่ง “ปล่อยข่าวออกไป จะต้องปล่อยไปถึงหูคนของตระกูลหลิ่วให้ได้ ความว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะมอบบัลลังก์ให้กับองค์ชายหก…ส่วนเรื่องอื่น คนตระกูลหลิ่วคงรู้ว่าควรทำเช่นไร”
“ท่านอ๋องทรงพระปรีชา”
ข่าวที่ตำหนักหลีอ๋องได้รับ ตระกูลหลิ่วย่อมไม่มีทางช้ากว่าพวกเขาสักเท่าไร ยังไม่ทันต้องให้ตำหนักหลีอ๋องตั้งใจปล่อยข่าวให้ได้ยิน ตระกูลหลิ่วหรือแม้กระทั่งหลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ในวัง ก็ได้รับข่าวนี้แล้ว
ภายในวัง หลิ่วกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินสิ่งที่นางกำนัลนำมารายงาน ก็เพียงโบกมือให้นางถอยไปเงียบๆ ก่อนจะปัดถ้วยชาเครื่องเคลือบสีขาวชั้นดีในมือจนแตกละเอียด “องค์ชายหก…ม่อตวนอวิ๋น!”
ถานจี้จือนั่งยิ้มแย้มอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ห่างไปไม่ไกล เอ่ยว่า “ดูท่าฝ่าบาทคงจะล่วงรู้ถึงแผนการของท่านเสียแล้ว ข้าน้อยเคยบอกแล้วว่า พระสนมกระทำอันใดใจร้อนเกินไป จะต้องรู้ว่า…บางเรื่องต่อให้มั่นใจถึงเก้าถึงสิบส่วนแล้ว อย่างไรก็ยังมีส่วนเล็กน้อยที่เหลืออยู่มิใช่หรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟัน นึกไปถึงเมื่อหลายวันก่อน ที่ตนกลับมาจากนอกวังแล้วบังเอิญพบกับม่อจิ่งหลีที่เพิ่งออกมาจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ดูเหมือนตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หลายๆ เรื่องก็ไม่อยู่ในความควบคุมของนางอีกแล้ว
“ม่อจิ่งหลี! จะต้องเป็นเขาที่เล่นสกปรก!”
ถานจี้จือขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พระสนม ยามนี้เป็นผู้ใดที่เล่นสกปรกล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ…พวกเราจะทำเช่นไร”
หลิ่วกุ้ยเฟยจิตใจว้าวุ่นไปหมด ตัวนางเองเอาเข้าใจก็มิได้เชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้นัก ตั้งแต่เล็กจนโตทุกเรื่องมีคนคอยปกป้องดูแลนางมาตลอด นอกจากเรื่องที่นางมีใจให้ม่อซิวเหยาแล้ว เรื่องอื่นๆ เรียกได้ว่าเป็นไปตามใจนางมาเสมอ ถึงแม้จะฉลาดหลักแหลม มีความรู้มากมายเป็นห้าเล่มเกวียน แต่หลิ่วกุ้ยเฟยก็ยังคิดไม่ตกว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าเช่นไร
นางหันกลับไปเอ่ยถามถานจี้จือ “เจ้ามีวิธีการเช่นไร”
ถานจี้จือยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “หนึ่งไม่ทำ สองไม่พัก ฆ่า!”
หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไป ก่อนจะก้มหน้าลงใคร่ครวญถึงคำแนะนำของถานจี้จืออย่างจริงจัง
นางอยู่ในวังหลังมาหลายสิบปี ถึงแม้จะเป็นที่โปรดปรานของม่อจิ่งฉีจนมีอำนาจกดฮองเฮาไว้ได้ ในมือใช่ว่าจะไม่มีชีวิตคนอยู่เลย สตรีเช่นพวกนางที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างเต็มที่เพื่อส่งเข้าวังนั้น โดยมากก็ไม่เคยเห็นชีวิตคนอยู่ในสายตามาก่อนอยู่แล้ว
นางนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหลิ่วกุ้ยเฟยจะเงยหน้าขึ้น สายตาที่เย็นเยียบมีประกายสังหารวาบผ่าน เอ่ยเรียบๆ ว่า “ได้ เจ้าไปจัดการ”
เมื่อมีอำนาจในวังของตระกูลหลิ่วกับหลิ่วกุ้ยเฟยค่อยช่วยเหลือ ถานจี้จือย่อมจัดการทุกอย่างได้สะอาดเรียบร้อย
ฟ้ายังไม่ทันมืดก็มีข่าวส่งมาบอกว่า องค์ชายหกเข้าไปวิ่งเล่นที่ภูเขาจำลองแล้วพลัดตกลงมา สลบไสลไม่ได้สติ
เมื่อได้ยินข่าว รัชทายาทที่อายุสิบสองปี กำลังนั่งคุยเป็นเพื่อนอยู่กับหลิ่วกุ้ยเฟยพอดี หลิ่วกุ้ยเฟยเพียงโบกมือเรียบๆ ให้ขันทีที่มารายงานข่าวถอยออกไป
รัชทายาทลงเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยว่า “เสด็จแม่ ลูก…ต้องไปดูน้องหกสักหน่อยหรือไม่”
ใบหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยมีประกายดูแคลน ยื่นมือไปชันคางรัชทายาท สำรวจใบหน้าที่ยังคงมีความอ่อนเยาว์โดยละเอียด นางกลบแววรังเกียจในดวงตาไว้ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “จะไปดูเขาทำไม กับแค่เด็กชั้นต่ำที่เกิดจากลูกขุนนางเล็กๆ เจ้านับมันเป็นน้องเจ้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ เจ้าต้องจำไว้ ว่าเจ้าเป็นรัชทายาท ต่อไปจะได้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ นอกจากแม่แล้ว…คนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า”
รัชทายาทขยับปาก คิดอยากบอกว่ายังมีน้องชายกับพี่สาวอีก แต่เมื่อมองใบหน้าที่งดงามประณีตประหนึ่งหิมะสลักของเสด็จแม่แล้ว ไม่รู้เหตุใดรัชทายาทถึงรู้สึกตัวสั่นน้อยๆ และในที่สุดก็มิได้เอ่ยออกไป
หลิ่วกุ้ยเฟยพยักหน้าด้วยความพอใจ ยิ้มเอ่ยว่า “นี่สิถึงจะเป็นบุตรชายที่ว่าง่ายของข้า เจ้าวางใจเถิด แม่จะต้องให้เจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
การที่องค์ชายหกมาล้มป่วยลงกะทันหัน ทำให้ม่อจิ่งฉีที่เดิมสุขภาพก็ย่ำแย่เต็มทน ยิ่งทรุดหนักลงไปอีก ยามที่ข่าวไปถึงหูของม่อจิ่งฉี ม่อจิ่งฉีก็ถึงขั้นกระอักเลือดออกมาอย่างอดไม่อยู่
หมอหลวงที่มาคอยรักษาดูแลใกล้ชิดลอบรู้สึกใจหาย สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ที่เดิมเคยซีดคล้ำกลับดูมีสีเลือดมีประกายขึ้นมากะทันหัน ดูเผินๆ เหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แต่หมอหลวงที่มีประสบการณ์มาอย่างโชคโชนล้วนรู้ดีว่า นี่คือแสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดงแล้ว จึงรีบหันไปเอ่ยกับนางกำนัลที่ด้านนอกด้วยสีหน้าจริงจัง ให้ไปตามบรรดานายหญิงทั้งหลายในวังให้มาทันที
ครานี้คนที่มาถึงคนแรกคือหลิ่วกุ้ยเฟย เหตุผลหาใช่ใดอื่น ย่อมด้วยเพราะหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานที่สุด เดิมทีก็อยู่ตำหนักที่ใกล้ฮ่องเต้มากที่สุดอยู่แล้ว
องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูมิได้ขวางนางไว้อีก แค่เพียงหลิ่วกุ้ยเฟยก้าวเข้าไปในตำหนักก็ได้กลิ่นคาวเลือดลอยเข้ามาเตะจมูก แล้วยังมีกลิ่นจากอาการป่วยที่สะสมมาเป็นเวลานาน จนทำให้นางต้องขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความรังเกียจ
ตั้งแต่ม่อจิ่งฉีล้มป่วยเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งที่สองที่หลิ่วกุ้ยเฟยได้เข้ามาในตำหนักบรรทมแห่งนี้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขามิได้พบหน้ากันมาหลายเดือนแล้ว
“ฝ่าบาท” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียกเรียบๆ
สายตาม่อจิ่งฉีจ้องเขม็งไปที่สตรีสีหน้าเรียบเฉยในชุดขาวตรงหน้า ครู่ใหญ่ถึงได้โบกมือเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับหลิ่วกุ้ยเฟย พวกเจ้าออกไปก่อน”
ทุกคนต่างรับคำและพากันออกไป
ภายในตำหนักบรรทมที่ว่างเปล่า เหลือเพียงหลิ่วกุ้ยเฟยกับม่อจิ่งฉีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งนอน คนหนึ่งยืน เว้นระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล ต่างคนต่างมองกันประหนึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักอีกฝ่ายกระนั้น
ม่อจิ่งฉีทอดสายตามองสตรีตรงหน้านิ่ง คิดอยากมองหาความรู้สึกและความวูบไหวในแววตาที่เฉยชาคู่นั้น แต่น่าเสียดายที่ผลสุดท้ายทำให้เขาต้องผิดหวังอย่างหนัก
สายตาของหลิ่วกุ้ยเฟยเย็นเรียบประหนึ่งคนที่นอนอยู่ตรงหน้ามิใช่ประมุขที่โปรดปรานนางเป็นที่สุด แต่เป็นเพียงชาวบ้านที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันเลยแม้แต่น้อยเท่านั้น ในสายตานางมีความรู้สึกหนึ่งส่งออกมา นั่นคือความรังเกียจ
ม่อจิ่งฉีที่อยู่ตรงหน้าผ่ายผอมเสียคนแทบไม่เป็นคน แล้วยังมีรอยเลือดที่เพิ่งกระอักออกมาสดๆ และนางกำนัลยังไม่ทันได้เช็ดทำความสะอาดอยู่อีก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยรู้สึกรังเกียจ รังเกียจจนแม้แต่ความพยายามที่จะปกปิดเมื่อในอดีตก็ล้วนหายไปจนสิ้น