ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 277-1 แผนการของหลิ่วกุ้ยเฟย การกลับมาของเฟิ่งซาน
ภายในตำหนักของหลิ่วกุ้ยเฟย ถึงแม้จะมิได้ไปฟังราชโองการฉบับสุดท้าย แต่ข่าวก็ลอยมาถึงหูหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินขันทีเอ่ยรายงานข่าวนั้น หลิ่วกุ้ยเฟยกำลังนั่งอยู่ในสวนดอกไม้เล็กๆ ของตำหนัก มองดูดอกหลีที่กำลังบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น ลมหนาวอ่อนๆ พัดมา ทำให้ดอกไม้ร่วงหล่นลงมาประหนึ่งหิมะ ถึงแม้จะมีเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกห่มคลุมอยู่ แต่หลิ่วกุ้ยเฟยก็ยังอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
“ไสหัวไป!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็น
ขันทีย่อมมิกล้าเอ่ยอันใดมาก รีบวิ่งจนแทบเหมือนคลานออกไปทันที ด้วยเกรงว่าหลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้ไปร่วมฝังด้วย หัวของตนจะได้ร่วงลงพื้นเสียก่อน
เมื่อไล่ให้สาวใช้ข้างกายออกไปแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยก็เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้สีขาวราวหิมะที่อยู่ตรงหน้า ดอกหลีเป็นดอกไม้ที่นางชื่นชอบ สำหรับนางแล้ว สีขาวสะอาดราวหิมะของดอกหลี ดูสวยงามบริสุทธิ์สูงส่งกว่าดอกโบตั๋น ดอกหลันหรือดอกเหมยมากนัก
เดิมทีในวังไม่มีต้นหลีอยู่เลย หลีนั้น คือการลาจาก แต่ไหนแต่ไรมา ในวังล้วนเห็นว่าเป็นสิ่งไม่มงคล แต่หลังจากนางเข้าวังมาแล้ว ด้วยเพราะม่อจิ่งฉีต้องการเอาอกเอาใจนาง เขากลับสั่งและให้ปลูกต้นหลีหลายต้นในสวนดอกไม้ภายในวังที่นางพักอาศัยอยู่ เพื่อแลกกับรอยยิ้มของนาง แต่ยามนี้…ร่วมฝัง…
นางรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรมา ม่อจิ่งฉีเป็นคนโหดร้าย แต่กลับไม่คาดคิดมาก่อนว่า ความโหดร้ายของเขา วันหนึ่งจะนำมาใช้กับนาง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตายไปแล้วยังต้องการให้นางร่วมฝังไปด้วยอีกหรือ
“ทูลพระสนม…รัช ท่านฉินอ๋องกับเสนาบดีหลิ่วขอเข้าเฝ้าเพคะ” นางกำนัลที่ด้านนอก เอ่ยรายงานอย่างกล้าๆ กลัวๆ
หลิ่วกุ้ยเฟยลุกยืนขึ้น กระชับเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกพลางเอ่ยว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่นาน รัชทายาทที่ถูกลดขั้นลงมาเป็นฉินอ๋อง ม่อซู่อวิ๋นกับเสนาบดีหลิ่วก็เดินเข้าไปในตำหนักกลางด้วยกัน ข้างกายพวกเขายังมีองค์ชายห้าที่อายุอ่อนกว่าเขาสองปี กับองค์หญิงเจินหนิงที่อายุได้สิบสี่ปีแล้วเดินมาด้วย
องค์ชายห้ากับองค์หญิงเจินหนิง เมื่อพบหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยก็ร้องไห้ออกมาทันที “เสด็จแม่…ฮือๆ…เสด็จแม่…”
เดิมทีหลิ่วกุ้ยเฟยมิใช่คนที่มีความอดทนกับเด็กมากนัก ยามนี้ยิ่งมีความหงุดหงิดใจ แค่เพียงได้ยินเสียงร้องไห้ ความโกรธในใจก็ปะทุขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงเข้มว่า “ร้องอันใดกัน! ข้ายังไม่ตาย!”
องค์ชายห้ากับองค์หญิงเจินหนิงเดิมทียังนึกเป็นห่วงเสด็จแม่ เมื่อได้ยินว่าในราชโองการสุดท้ายของเสด็จพ่อ ต้องการให้เสด็จแม่ร่วมฝังไปด้วย ถึงได้รีบร้อนตามฉินอ๋องกับเสนาบดีหลิ่วมา ถึงแม้หลิ่วกุ้ยเฟยจะเย็นชากับพวกเขาพี่น้อง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเสด็จแม่ของพวกตน อีกทั้งพวกเขายังนึกชื่นชมเสด็จแม่ของตนที่มีความงดงามอย่างหาใดเปรียบอยู่หลายส่วน แต่กลับคาดไม่ถึงว่า แค่เพียงพบหน้าก็จะถูกเอ็ดเสียงดังเช่นนี้
องค์ชายห้ากลั้นเสียงร้องไห้ของตนไว้ ด้วยเพราะลมหายใจที่สะดุดลงทำให้ใบหน้านั้นแดงก่ำ
องค์หญิงเจินหนิงเองก็กัดมุมปาก กลั้นใจไม่ส่งเสียงอันใดอีก
ม่อซู่อวิ๋นเพิ่งอายุได้สิบสองปี แต่ด้วยเพราะเป็นบุตรชายคนโตของหลิ่วกุ้ยเฟย จึงได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากเสนาบดีหลิ่วมาเป็นอย่างดี ย่อมสุขุมกว่าพี่สาวและน้องชายมากนัก เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท เดิมทีเคยเป็นคนที่มาสืบทอดราชบัลลังก์อย่างถูกต้องเหมาะสม แต่ด้วยเพราะราชโองการฉบับสุดท้ายก่อนที่เสด็จพ่อจะเสด็จสวรรคต ทำให้เขาต้องลงมาอยู่ใต้ผู้อื่น ยามนี้ที่เขายังพูดคุยด้วยสีหน้าปกติได้ ก็เห็นได้ถึงความพยายามที่ตระกูลหลิ่วเพียรอมรมสั่งสอนเขามา
ม่อซู่อวิ๋นขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เสด็จแม่ พี่รองกับน้องห้าล้วนเป็นห่วงท่าน”
หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นห่วงแล้วจะมีประโยชน์อันใด ร้องไห้งอแงจะแก้ไขอันใดได้หรือ”
ม่อซู่อวิ๋นนิ่งไป อันที่จริงความผูกพันที่เขามีต่อเสด็จแม่ผู้นี้ก็มิได้ลึกซึ้งมากนัก เขามิใช่พี่รองกับน้องห้า ที่มีความชื่นชมและใฝ่หาเสด็จแม่ เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ในสายตาของเสด็จแม่แล้วพวกเขาพี่น้องไม่ควรมีตัวตนอยู่ ส่วนเขาก็เป็นเพียงเครื่องมีที่มีอยู่เพื่อใช้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น
“พระสนม!” เสนาบดีหลิ่วขมวดคิ้ว เอ่ยเรียกเสียงขรึม
เมื่อเอ่ยถึงบุตรสายผู้นี้ เสนาบดีหลิ่วก็ให้รู้สึกปวดหัวเป็นที่สุด ตั้งแต่ได้พบหน้าม่อซิวเหยาเป็นคราแรกเมื่อยามเป็นเด็ก หัวใจของนางก็ปานประหนึ่งผูกติดไว้กับม่อซิวเหยากระนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี อย่างไรก็ไม่ยอมตัดใจ ซึ่งไม่เพียงทำตัวเฉยชากับฮ่องเต้ แต่กับบุตรชายและบุตรสาวของตนก็ยังไม่สนใจ หากมิใช่เพราะม่อซิวเหยา เกรงว่านางคงไม่นึกสนใจที่จะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทเพื่อฉินอ๋องแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคิดถึงตระกูลของตนเองเลย ช่างเป็นเวรกรรมจากชาติที่แล้วของเขาจริงๆ
เสนาบดีหลิ่วคิดว่าตนเป็นคนที่โหดเหี้ยม ใจคอเลือดเย็นคนหนึ่งแล้ว เขาเป็นขุนนางมาตลอดชีวิต คนที่ถูกเล่นงานและตายคามือเขาแน่นอนว่ามีไม่น้อย แต่ในความเลือดเย็นของเขา ก็ยังคิดถึงตระกูลและบุตรของตน แต่บุตรสาวของตน นอกจากม่อซิวเหยาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูล บุตรชาย บุตรสาว สามี บิดา มารดา ล้วนไม่ต้องการได้ทั้งสิ้น
กับเสนาบดีหลิ่วผู้เป็นบิดา หลิ่วกุ้ยเฟยยังพอมีความเคารพอยู่หลายส่วน เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่เห็นด้วยของผู้เป็นพ่อ หลิ่วกุ้ยเฟยจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านพ่อมาได้อย่างไร”
เสนาบดีหลิ่วเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “ข้ามาได้อย่างไร ข้าไม่มาได้หรือ ราชโองการสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้เจ้าก็ได้ยินแล้ว ยังไม่คิดหาวิธีอีก หรือว่าเจ้าคิดจะให้นตนเองถูกฝังไปกับอดีตฮ่องเต้จริงๆ”
เมื่อเอ่ยถึงม่อจิ่งฉี หลิ่วกุ้ยเฟยก็เบ้ปากด้วยความรังเกียจ เดิมทีนางยังพอเชื่ออยู่บ้างว่า ม่อจิ่งฉีใส่ใจนางจริงๆ แต่ในยามนี้แม้แต่หนึ่งส่วนนางก็ไม่เชื่อ บุรุษผู้นั้น ตัวเขาตายไปแล้ว ยังคิดจะลากนางลงไปตายด้วยอีก! ต่อให้นางต้องตายจริงๆ ก็ไม่มีทางฝังอยู่ในสุสานเดียวกับเขาอย่างแน่นอน “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ลูกรู้ว่าต้องทำเช่นไร”
เสนาบดีหลิ่วอึ้งไป “เจ้ามีวิธี? ฝ่าบาทยังได้มีรับสั่งให้ไทเฮาไปร่วมฝังกับอดีตฮ่องเต้ด้วย หลีอ๋องก็มิได้เสนอความเห็นใดออกมา ถึงเวลาเกรงว่าทางด้านหลีอ๋องคงคอยจับตาดูเราแน่ ไม่แน่ว่าเจ้าจะหลุดรอดไปได้อย่างปลอดภัย”
เมื่อได้ยินชื่อม่อจิ่งหลี หลิ่วกุ้ยเฟยก็หน้าบึ้งลง กัดฟันเอ่ยว่า “ม่อจิ่งหลี! เป็นเขาอีกแล้วที่ทำข้าเสียเรื่อง!”
เสนาบดีหลิ่วได้แต่ระบายลมหายใจออกยาวด้วยความจนใจ เอ่ยว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงทำอันใดไม่ได้แล้ว อีกไม่กี่วัน องค์ชายสิบก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว”
“ไม่ได้!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็น
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเรายังจะทำอันใดได้อีก” เสนาบดีหลิ่วเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
หลิ่วกุ้ยเฟยเชิดคางขึ้น เอ่ยเสียงเย็นว่า “ในเมื่อสามารถจัดการองค์ชายหกได้ องค์ชายสิบอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนที่ขึ้นครองบัลลังก์จะต้องเป็นรัชทายาท ขอเพียงรัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์…ย่อมสามารถทำให้ราชโองการสุดท้ายเป็นโมฆะ ไม่ต้องให้ข้าร่วมฝังไปด้วยได้”
เสนาบดีหลิ่วทั้งตกใจทั้งโกรธจัด ถลึงตาจ้องหลิ่วกุ้ยเฟยพลางเอ่ยว่า “คิดฝันเกินไปแล้ว! ยามนี้มิได้มีเพียงหลีอ๋อง องค์หญิงซีฝู ฮองเฮา ฮว่ากั๋วกงเท่านั้น แม้แต่ติ้งอ๋องก็คอยจับตาดูองค์ชายสิบอยู่ หากคิดจะลงมานั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก เมื่อใดก็ตามหากถูกจับได้…เจ้าคิดว่าฉินอ๋องจะมีโอกาสได้ขึ้นครองบัลลังก์หรือ ถึงยามนั้นตระกูลหลิ่วคงต้องตายไปพร้อมกันด้วย มีแต่จะทำให้ผู้อื่นได้ประโยชน์!”
หลิ่วกุ้ยเฟยยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านคิดว่ามีแต่ข้าที่อยากให้องค์ชายสิบตายอย่างนั้นหรือ ความคิดของหลีอ๋องไม่มีทางน้อยไปกว่าข้า ข้าได้ยินข่าวที่น่าสนใจมาบ้าง ได้ยินว่าก่อนหน้าที่ฮ่องเต้จะตายเขาได้เอ่ยถามว่าบุตรชายเขาอยู่ที่ใด”
เสนาบดีหลิ่วอึ้งไป สิ่งที่หลีอ๋องเอ่ยในยามนั้นเขาย่อมได้ยินด้วยเช่นกัน แต่ยามนั้นเขามัวแต่นึกถึงราชโองการฉบับสุดท้ายในมือของฮองเฮา เมื่อมีการประกาศราชโองการออกมาแล้ว เนื้อความในราชโองการก็ทำให้พวกเขาหัวหมุนกันยกใหญ่ ย่อมไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องนี้
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้มเอ่ยว่า “ท่านพ่อยังจำได้หรือไม่ เมื่อสองเดือนก่อน ม่อจิ่งหลี…เตะบุตรชายตนเองจนตาย”
เสนาบดีหลิ่วย่อมจำได้ ถึงแม้เรื่องนี้ตำหนักติ้งอ๋องจะปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ตระกูลหลิ่วกับตำหนักหลีอ๋องเป็นศัตรูกันตรงๆ เรื่องใหญ่เช่นนี้พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
เขายกมือลูบหนวด เสนาบดีหลิ่วหรี่ตาลงเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าคือ…”
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้ม “ยามที่เยี่ยอิ๋งตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ฝ่าบาทสั่งกักบริเวณนางพอดี พวกเราต่างรู้กันเพียงว่า นางคลอดบุตรชายออกมาคนหนึ่ง แต่กลับไม่มีผู้ใดเคยเห็นเด็กผู้นั้น ย่อมเป็นฝ่าบาทที่บอกว่าใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เกรงว่า…เด็กในตำหนักหลีอ๋องผู้นั้นคงมิใช่บุตรของหลีอ๋องตั้งแต่แรก แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทเป็นคนขี้ระแวง อีกทั้งหลีอ๋องยังเป็นคนที่เคยนำทหารลุกฮือขึ้นก่อกบฏมาก่อน ฝ่าบาทจะไม่คิดขวางเขาได้อย่างไร”
“พระสนมรู้หรือว่าเด็กคนนั้นยามนี้อยู่ที่ใด” เสนาบดีหลิ่วรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้หลีอ๋องนอกจากบุตรชายที่เกิดจากเยี่ยอิ๋งแล้ว ก็มิได้มีทายาทคนอื่นอยู่อีก แม้แต่ข่าวว่าชายารองหรืออนุตั้งครรภ์ก็ยังไม่มี ในเมืองหลวงมีข่าวลือเรื่องนี้กันมานานแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง เด็กผู้นั้นคงมีคุณค่ามากกว่าที่พวกเขาคาดการณ์กันไว้มากนัก”
หลิ่วกุยเฟยส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ฝ่าบาทไม่เคยบอกกล่าวแก่ผู้ใดมาก่อนว่าเด็กคนนั้นอยู่ที่ใด”
เสนาบดีหลิ่วดูผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับได้ยินหลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “รู้หรือไม่รู้แล้วจะเป็นไรไป พวกเราไม่เคยพบเด็กผู้นั้น หลีอ๋องเองก็ไม่เคยพบเด็กผู้นั้นเช่นกัน ขอเพียงท่านพ่อจัดการให้เหมาะ…”
“พระสนมพูดถูก ข้าเข้าใจแล้ว” เสนาบดีหลิ่วเกิดความคิดแล่นเข้ามาในหัวทันที เข้าใจสิ่งที่หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ย จึงรับคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ไม่ว่าในวังนอกวัง ในราชสำนัก นอกราชสำนักจะมีลมพายุพัดกระหน่ำเพียงใด แต่ตำหนักติ้งอ๋องทุกอย่างยังคงสงบนิ่งและราบเรียบ จนกระทั่งกลางดึกคืนนี้ บุรุษหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีแดง เข้ามาเคาะประตูใหญ่ตำหนักติ้งอ๋องที่ปิดสนิทอยู่