ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 278-2 องค์ชายสิบ ม่อซู่อวิ๋น
การขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่แห่งต้าฉู่ แต่ไหนแต่ไรมามักมีแขกเหรื่อจากทุกสารทิศมาร่วมงาน ถึงแม้ยามที่ม่อจิ่งฉีขึ้นครองราชย์ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการอย่างม่อหลิวฟางจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ต้าฉู่ก็ยังมีม่อซิวเหยาคอยคุ้มครองอยู่ ทั้งยังเป็นม่อซิวเหยาที่มีชื่อเสียงระบือไกลจากการเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ต้าฉู่จึงยังถือว่ามีความมั่นคงอยู่ แคว้นโดยรอบรวมถึงซีหลิงต่างส่งคณะทูตานุทูตมาร่วมแสดงความยินดี
แต่ครานี้ นอกจากหนานจ้าวกับแคว้นเล็กๆ โดยรอบไม่กี่แคว้นที่ส่งคณะทูตมาร่วมงานแล้ว แคว้นที่มีชายแดนติดต่อกันอย่างซีหลิงกับเป่ยหรงล้วนไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้น้อยที่อายุเพิ่งเจ็ดปี ในราชสำนักก็แบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่ายและต่างมีเป้าหมายในใจ ตำหนักติ้งอ๋องก็ตีตัวออกห่างต้าฉู่ไปนานแล้ว แคว้นใหญ่และแข็งแกร่งอย่างซีหลิงและเป่ยหรงย่อมสามารถไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาได้ อีกอย่างยามนี้พวกเขาไม่มีแก่ใจมาแสดงความยินดีที่ต้าฉู่มีประมุขคนใหม่ขึ้นสืบทอดบัลลังก์ ด้วยพวกเขายามนี้ ก็ยังหมายตาต้าฉู่ที่เป็นเนื้อติดมันก้อนนี้อยู่ตาเป็นมันเช่นกัน
วันพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ขององค์ชายสิบ กำหนดไว้เป็นวันที่สิบสองเดือนสาม ซึ่งถือว่าเป็นวันที่ไม่เลว ตำหนักติ้งอ๋องย่อมได้รับเทียบเชิญมาก่อนแล้ว แต่ก่อนวันพระราชพิธีเพียงไม่กี่วัน ฮองเฮาก็ส่งคนมาเชิญเยี่ยหลีให้เข้าไปพบในวัง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เยี่ยหลีได้พบองค์ชายสิบ เด็ชายที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างเงียบเชียบประหนึ่งเงา มาวันหนึ่งจู่ๆ ก็ถูกม่อจิ่งฉีผลักออกมาอยู่ในจุดที่เป็นที่สนใจที่สุด ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ได้รับความตกใจอย่างมาก ยามที่เยี่ยหลีพบเขา เขากำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนของมารดาผู้ให้กำเนิด แค่ได้เห็นใบหน้าผอมเหลืองนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่า ช่วงที่ผ่านมาเขาคงมีชีวิตที่ไม่ดีนัก
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเยี่ยหลี องค์ชายสิบก็ลืมตาขึ้นทันที ในดวงตาคู่ที่เหม่อลอย ดูเต็มไปด้วยความตกใจและตื่นกลัว ส่งเสียงฮือๆ สองทีพร้อมจะร้องไห้ออกมา
มารดาผู้ให้กำเนิดเขารีบเอามือปิดปากเขาไว้ มองเยี่ยหลีกับไทเฮาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี
ฮองเฮาขมวดคิ้ว ถอนใจออกมาด้วยความจนใจ “เจ้ารีบปล่อยเขาเถิด ชายาติ้งอ๋องไม่ถือสากับเด็กหรอก”
สตรีที่อยู่ในเครื่องแต่งกายหรูหรา หน้าตาธรรมดาๆ ถึงได้ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากปากบุตรชาย เหลือบมองเยี่ยหลีด้วยความไม่สบายใจ ก่อนก้มลงไปเอ่ยปลอบองค์ชายสิบในอ้อมแขนเบาๆ
องค์ชายสิบร้องไห้อยู่พักหนึ่งก็ดูจะเหนื่อย ถึงได้สลึมสลือหลับลงไปอีกครั้ง
ฮองเฮาอยากให้อุ้มเขาไปพัก แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เขาตื่นขึ้นมาอีก เยี่ยหลีเดินเข้าไปหาองค์ชายสิบก่อนกดเข้าที่ชีพจรสองสามครั้ง แล้วถึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “อุ้มเขาไปพักผ่อนเถิด ระวังอย่าทำให้ตกใจตื่น”
“ขอบคุณ…ขอบคุณชายาติ้งอ๋อง” นางขอบคุณเยี่ยหลีอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วถึงได้พาองค์ชายสิบเข้าไปพักผ่อนที่ตำหนักด้านหลัง
เมื่อเห็นพวกเขาออกไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้เลิกคิ้วถามฮองเฮาว่า “นั่นเขาเป็นอันใดหรือ”
ฮองเฮายิ้มขื่นเอ่ยว่า “ยังจะเป็นอันใดได้อีก เด็กคนนี้…เดิมทีข้ายังคิดว่าองค์ชายหกมีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง ถูกเลี้ยงจนเสียนิสัย เกรงว่าจะไม่เหมาะเป็นประมุข แต่องค์ชายสิบผู้นี้…เกรงว่าคงจะลำบากกว่าองค์ชายหกเสียอีก คงทำให้เด็กคนนี้ลำบากแล้ว โตมาถึงป่านนี้แล้ว เกรงว่าคงได้เคยพบหน้าเสด็จพ่อตนเองเพียงไม่กี่ครั้ง มารดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่ใช่คนที่จะสั่งสอนเขาได้ หลายวันนี้ได้รับความตกใจไปไม่น้อย แม้แต่จะนอนหลับก็ยังหลับไม่สนิท ยามนี้…เรื่องอื่นยังไม่พูดถึง เกรงว่าแม้แต่วันพระราชพิธีก็คงรับไม่ไหวแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนล้าของฮองเฮา เยี่ยหลีก็ได้แต่ถอนใจ มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายสิบเป็นเพียงนางกำนัลที่บังเอิญโชคดีได้รับใช้ม่อจิ่งฉีเท่านั้น เดิมทีก็มาจากครอบครัวชาวนาที่ยากจน ย่อมสั่งสอนอันใดองค์ชายสิบไม่ได้
ถึงแม้ทุกวันนี้ ด้วยความที่องค์ชายสิบใกล้จะขึ้นนั่งบัลลังก์ คนในวังจึงเรียกกันว่าไทเฮา เพื่อแสดงความเคารพ แต่ถึงแม้จะอยู่ในชุดที่หรูหรา อย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงรัศมีบารมีและความสามารถของนางไปได้ การสวมชุดลายหงส์อันหรูหราของตำแหน่งไทเฮา มีแต่จะทำให้สตรีที่ตัวเล็กและไม่เป็นที่สะดุดตายิ่งดูตัวเล็กและไม่สบายใจเข้าไปใหญ่
ยามนี้เรื่องภายนอกยังมีหลีอ๋อง ฮว่ากั๋วกง กับขุนนางสายบุ๋นและบู๊คอยจัดการอยู่ ส่วนเรื่องภายในวังก็เป็นฮองเฮาแต่ผู้เดียวที่ต้องรับผิดชอบ หากยามนี้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เกิดเป็นอันใดขึ้น ต่อให้ไม่โทษฮองเฮา แต่ความผิดเรื่องการดูแลประมุขที่ยังทรงพระเยาว์ได้ไม่ดี อย่างไรก็คงหนีไม่พ้น ก็ไม่แปลกหากฮองเฮาจะดูเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นลักษณะท่าทางของฮองเฮา เยี่ยหลีก็เกือบทำใจไม่ได้ที่จะเอ่ยเรื่องเฟิ่งจือเหยา
ฮองเฮาเห็นท่าทีเหม่อลอยของเยี่ยหลี ก็อดเอ่ยกลั้วหัวเราะออกมาไม่ได้ว่า “มีเรื่องอันใดอยากจะพูดหรือไม่ พวกเราก็ไม่ถือเป็นคนนอก พูดมาตรงๆ ก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น มองนางพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เฟิ่งซานกลับมาแล้ว”
ฮองเฮาอึ้งไป ก้มหน้าลงมองกำไลหยกขาวในมืออย่างเหม่อลอย
เยี่ยหลีก็ไม่เร่งนาง นั่งจิบชาเป็นเพื่อนนางเงียบๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮองเฮาถึงได้ตั้งสติกลับมาได้ ยิ้มอย่างขอลุแก่โทษให้เยี่ยหลีพลางเอ่ยว่า “ให้เจ้าเห็นเรื่องน่าขันแล้ว…เขามิได้อยู่ดีที่ซีเป่ยหรือ เหตุใดถึงกลับมาได้”
เยี่ยหลีมองฮองเฮาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้เอ่ยอันใด
รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของฮองเฮาก็ค่อยๆ หายไปตาม เอ่ยกับเยี่ยหลีด้วยความจนใจว่า “ที่พระชายามาบอกข้าเรื่องนี้ เชื่อว่า…เรื่องก่อนหน้านี้พระชายาคงรู้หมดแล้ว”
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ มิใช่ความผิดของฮองเฮา เฟิ่งซานไม่ยอมตัดใจ เป็นเขาที่คิดอยู่ฝ่ายเดียว ก็หาใช่ความผิดของฮองเฮาไม่ หากฮองเฮาไม่ได้มีใจให้เขา ข้าจะไปบอกเขาว่าต่อไปอย่าได้มารบกวนฮองเฮาอีก แต่หากฮองเฮาไม่ถึงขั้นไม่รู้สึกอันใดเลย เหตุใดถึงไม่ให้โอกาสกันและกันสักครั้ง”
“โอกาส” ฮองเฮายิ้มขื่น มองเยี่ยหลีพลางส่ายหน้า “ขอบคุณพระชายา ข้ารู้ว่าพระชายาไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ที่มาพูดกับข้าตั้งมากมายเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว พระชายาช่วยบอกเขาทีเถิดว่า…ข้าเห็นเขาเป็นเช่นเดียวกับซิวเหยา เป็นน้องชายที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไม่ได้คิดเป็นอื่น”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เขาอยากพบหน้าฮองเฮาสักครั้ง เดิมทีมาถึงเมืองหลวงเขาก็อยากเข้าวังมาทันที แต่ข้ากับท่านอ๋องห้ามเขาไว้ แต่หากข้านำคำตอบเช่นนี้กลับไป เกรงว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่ยินยอม ถึงยามนั้นอย่างไรก็คงต้องพบหน้าฮองเฮาให้ได้”
ฮองเฮาส่ายหน้า “เรื่องพบหน้าคงไม่ต้องแล้ว ยามนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างมีการอารักขาอย่างแน่นหนา วันพระราชพิธีของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ใกล้เข้ามาเต็มที ข้าไม่มีกระจิตกระใจจะมาคิดเรื่องนี้ พระชายาช่วยพูดกับเขาที อย่าให้เขาเข้ามาในวังเลย ข้าไม่มีเวลา”
เยี่ยหลีนิ่งไป ไม่มีเวลา ถือเป็นข้ออ้างที่ใช้ในการปฏิเสธที่ดี ยามที่ใครคนหนึ่งไม่มีเวลาแม้จะพบหน้า ย่อมเพียงพอที่จะบอกว่าเขาไม่สนใจอีกฝ่าย ไม่ว่าจะมองจากมุมใด ฮองเฮาก็ถือเป็นสตรีที่หลักแหลมยิ่งนัก
“ต่อไปฮองเฮาวางแผนไว้เช่นไร” เยี่ยหลีขมวดคิ้วถาม
ฮองเฮาไม่เข้าใจ เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี
เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ “พระชายาอยากให้ข้าช่วยเกลี้ยกล่อมเฟิ่งซาน อย่างไรก็ควรให้เหตุผลที่พอเพียงกับข้า อย่างน้อย…ก็ควรให้เขารู้ว่า ต่อให้ไม่มีเขา ฮองเฮาก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างดีเยี่ยม หรือแม้กระทั่งดีกว่ายามที่มีเขาอยู่ มิใช่หรือ”
ฮองเฮาเข้าใจในทันที เอ่ยเสียงขรึมว่า “ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ข้าก็จะได้ขึ้นเป็นฮองไทเฮาของต้าฉู่ ยังไม่เพียงพอหรือ”
“บางทีอาจจะพอ” เยี่ยหลีระบายลมหายใจพลางเอ่ยขึ้น
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก “บังอาจ! ให้ฮองเฮาออกมา! ข้าต้องการพบนาง!”
“ทูลไทเฮา ฮองเฮากำลังต้อนรับชายาติ้งอ๋องอยู่ ไทเฮาได้โปรดรอสักครู่” นางกำนัลที่ด้านนอกเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ
“บังอาจ! ข้าเป็นไทเฮา จะพบนางยังต้องรอด้วยหรือ เจ้าคนแซ่ฮว่า เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “มิใช่ว่าจะนำไปร่วมฝังหรือ เหตุใดถึงยังมาอาละวาดอยู่ได้ หลิ่วกุ้ยเฟยก็ยังอยู่หรือ”
ฮองเฮายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตระกูลหลิ่วกับฉินอ๋องต่างไม่เห็นด้วยที่จะให้หลิ่วกุ้ยเฟยไปร่วมฝังด้วย ที่สำคัญก็คือ ทางด้านท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ดูจะมีความตั้งใจที่เปลี่ยนไป ในเมื่อหลิ่วกุ้ยเฟยยังมีชีวิตอยู่ ไทเฮาย่อมยังไม่อาจทำอันใดได้ ตระกูลเหล่านั้นยามนี้กำลังถกเถียงอยู่กับขุนนางในราชสำนักร่วมกับบัณฑิตทั้งหลาย ได้ยินว่ามีคนบอกว่า ไว้รอให้ฮ่องเต้ลงฝังก่อนแล้วค่อยนำไปร่วมฝังด้วย ก็ไม่ถือว่าผิดต่อราชโองการ”
“เช่นนั้นกับไทเฮาก็คงไม่เกี่ยวข้องกันกระมัง อดีตฮ่องเต้ฝังมาได้เกือบยี่สิบปีแล้ว”
“ผู้ใดจะรู้ว่าเขาคิดอันใดอยู่ เรื่องเช่นนี้ ข้าพูดอันใดก็ถือว่าผิด ก็ปล่อยให้พวกเขาถกเถียงกันไปก็แล้วกัน”
เสียงอาละวาดที่ด้านนอกดูจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ องค์ชายสิบที่อยู่ด้านในก็ดูเหมือนจะถูกรบกวนเข้าจนตื่น ร้องไห้ฮือๆ ไม่ได้หยุด
ฮองเฮาขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “เชิญไทเฮาเข้ามาเถิด”
ด้านนอกสงบลงไปครู่หนึ่ง แล้วไทเฮาก็นำคนก้าวเข้ามาในตำหนักกลางอย่างถือดี
เมื่อได้เห็นไทเฮาตรงหน้า เยี่ยหลีก็อดอึ้งไปไม่ได้ จำได้ว่าคราแรกที่ได้พบไทเฮาเป็นยามที่ยังอยู่ในตำหนักจางเต๋อ ไทเฮาสูงส่งสง่างาม เป็นมารดาของชนใต้หล้าที่อยู่สูง แต่ไทเฮาในยามนี้ ประหนึ่งความสง่างามสูงส่งที่เคยมีในวันวาน จะมลายหายไปจนสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน เส้นผมกลายเป็นสีขาว ริ้วรอยก็ไม่อาจใช้เครื่องแป้งมาปิดบังได้มิด แล้วยังแววดุดันในดวงตา ช่างไม่เหมือนมารดาแห่งชนทั้งใต้หล้าที่เป็นไทเฮาแห่งแคว้นเอาเสียเลย ดูเสมือนสัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่ในกรงเสียมากกว่า