ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 279-2 ความเปลี่ยนแปลงของไทเฮา
“เด็กคนนี้ชื่อม่อซูอวิ๋น?” เยี่ยหลีก้มหน้าลงไปเอ่ยถามองค์ชายสิบที่หลบอยู่ข้างกายตน พลางเอ่ยถามขึ้น “เป็นชื่อที่ไม่เลวทีเดียว”
อันที่จริงบุตรชายของม่อจิ่งฉีรุ่นนี้ ล้วนตั้งชื่อขึ้นอย่างไม่เหมาะสมสักเท่าไรนัก ติ้งอ๋องรุ่นแรกในสมัยก่อตั้งแคว้น มีชื่อว่า ม่อหลั่นอวิ๋น ถึงแม้จะไม่มีผู้ใดตั้งกฎว่า ผู้ที่เป็นเชื้อพระวงศ์ต้องหลีกเลี่ยงการตั้งชื่อคล้ายกับท่านอ๋อง แต่การใช้ชื่อเช่นนี้ ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่หลายส่วน
ฮองเฮามององค์ชายสิบ แววตามีประกายแห่งความสงสารและเอ็นดู “เป็นชื่อที่โหรตั้งขึ้นน่ะ”
ม่อจิ่งหลีไม่เคยเห็นแม่ลูกสองคนนี้อยู่ในสายตา ย่อมไม่อาจคาดหวังให้เขาตั้งชื่อให้ด้วยตนเองได้
เยี่ยหลีมองเด็กน้อยผู้น่าสงสารตรงหน้าด้วยความขบขัน เด็กน้อยผู้นี้ดูจะขวัญอ่อนไปสักหน่อยจริงๆ แน่นอนว่าอาจด้วยเพราะหลายวันนี้ถูกทำให้ตกใจ อย่ามองแต่ว่าม่อตัวน้อยวันๆ เอาแต่รังแกเหลิ่งจวินหาน และเอาแต่เรียกเขาว่าเหลิ่งเอ๋อน้อย เหลิ่งเอ๋อน้อย เหลิ่งจวินหานเฉลียวฉลาดและใจกล้ากว่าเด็กน้อยตรงหน้าเป็นสิบเท่าเห็นจะได้ ก็ไม่แปลกที่ฮองเฮาจะรู้สึกเป็นกังวลเช่นนี้
ด้วยฐานะของฮ่องเต้ จะใจกล้าเอาแต่ใจอย่างม่อตวนอวิ๋นย่อมไม่ได้ แต่อย่างองค์ชายสิบที่แม้แต่ขึ้นนั่งบัลลังก์ก็อาจจะตกใจจนร้องไห้ออกมาก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ ม่อตวนอวิ๋นอาจจะยังพอฝืนใช้ออกหน้าได้ แต่กับม่อซู่อวิ๋นแม้แต่ฉากหน้าก็ยังใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ฮองเฮามององค์ชายสิบแล้วก็ได้แต่ถอนใจออกมา เอ่ยด้วยความอ่อนใจว่า “องค์หญิงซีฝูกับบรรดาขุนนางต่างมอบหมายเขาให้ข้า แต่ข้ามีความอดทนที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยเด็กคนหนึ่งที่ไหนกัน เด็กคนนี้ถูกสั่งสอนมาให้อ่อนแอและขวัญอ่อนจนเกินไปจริงๆ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “องค์หญิงฉางเล่อ ฮองเฮาอบรมสั่งสอนนางได้ฉลาดเฉลียวและมีจิตใจกว้างขวางนัก หากใช้เวลาสักหน่อย อย่างไรองค์ชายสิบก็คงดีขึ้นบ้าง”
ฮองเฮาฝืนยิ้ม “ยามนี้ยังจะมีเวลาที่ไหนกัน แม้แต่เรื่องตรงหน้าก็ยังจะจัดการไม่ไหวแล้ว หากถึงเวลาแม้แต่ในพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ องค์ชายสิบก็ยังไม่สามารถฝืนอยู่จนจบได้ ต่อให้หลีอ๋องกับตระกูลหลิ่วเสนอว่าให้แต่งตั้งคนอื่นขึ้นเป็นประมุขแทน ก็คงจะหาข้ออ้างไปไม่ได้ ถึงยามนั้น…”
สิ่งที่ฮองเฮาไม่ได้พูดออกมาก็คือ ถึงยามนั้นเกรงว่าเด็กคนนี้กับหลี่ซื่อก็คงไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าสุดท้ายแล้วฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า ก็คงไม่ยอมให้ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่ถูกต้องยังมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้
“เช่นนั้น ความตั้งใจของฮองเฮาเป็นเช่นไรหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามฮองเฮาขึ้นเบาๆ
นางไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะไม่รู้ นี่ถือเป็นโอกาสดีที่สุดที่นางจะถอนตัวออกไปได้ ความวุ่นวายภายในวังของต้าฉู่ตรงหน้าและในอนาคต ดูเหมือนจะสามารถคาดเดาความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นได้เลยทีเดียว การประคับประคองฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็มิใช่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้
ฮองเฮาถอนใจเอ่ยว่า “ค่อยๆ คิดไปทีละก้าวก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีถอนใจพลางส่ายหน้า “เหตุใดฮองเฮาถึงต้องลำบากเช่นนี้ หรือว่าพระองค์ไม่คิดว่า จะมีสักวันที่พระองค์ได้พบหน้าอู๋โยวเลยหรือ”
สีหน้าฮองเฮาครึ้มไป เมื่อได้ฟังที่เยี่ยหลีเอ่ย ก็ดูเหม่อลอยขึ้นเล็กน้อย
ฮองเฮาขมวดคิ้วนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยหลีก็ไม่ไปรบกวนนาง เพียงส่งยิ้มให้องค์ชายสิบพลางเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทตัวน้อย อายุเท่าไรแล้ว”
องค์ชายสิบกะพริบตาปริบๆ มองพี่สาวที่ดูอบอุ่นและใจดีตรงหน้าก่อนเอ่ยตอบเสียงใสว่า “เจ็ดขวบแล้ว”
เสียงอ่อนนุ่มของเด็กน้อย ทำให้เยี่ยหลีต้องระบายลมหายใจออกมา ตัวน้อยของตนเริ่มพูดคล่อง น้ำเสียงก็กังวานใสมากแล้ว การออกเสียงก็ชัดเจนแทบจะไม่เคยได้ยินเสียงเด็กที่เล็กเช่นนี้มาก่อน เด็กน้อยที่น่ารักเช่นนี้ ตัวอยู่ในวังแล้วยังถูกผลักออกไปอยู่ในตำแหน่งเช่นนั้นอีก ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
“หลายวันนี้ ฝ่าบาทน้อยกลัวหรือไม่”
ร่างเล็กขององค์ชายสิบถึงกับสั่นเทิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความตระหนก เห็นได้ชัดว่าคงคิดถึงเรื่องที่หลายวันนี้ได้ประสบพบเจอมา ในดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันที มองเยี่ยหลีพลางพยักหน้า
เยี่ยหลีถอนหายใจ พลางกอดเด็กน้อยไว้ เอ่ยปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว มีคนจำนวนมากที่คอยปกป้องฝ่าบาทน้อยอยู่ รู้หรือไม่ ต่อไปฝ่าบาทน้อยจะกลายเป็นฮ่องเต้ของต้าฉู่ รู้หรือไม่ว่าผู้ใดที่เรียกว่าฮ่องเต้”
องค์ชายสิบเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี “ข้ารู้ เช่นเสด็จพ่อไง”
“อื้อ…อย่างเสด็จพ่อเจ้าสมควรเอาอย่าง เพียงแต่…เจ้าเห็นอำนาจบารมีของเสด็จพ่อเจ้าใช่หรือไม่ ทุกคนต่างเกรงกลัวเขากันทั้งนั้น”
องค์ชายสิบพยักหน้า
เยี่ยหลียิ้มเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นนะ ฝ่าบาทน้อย ท่านจะกลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าฉู่ ต่อไปทุกคนก็จะเกรงกลัวท่าน ดังนั้นท่านไม่ต้องกลัวพวกเขา พวกเขาไม่กล้าทำร้ายท่านหรอก”
องค์ชายสิบพูดเจือเสียงสะอื้นว่า “แต่…แต่ฮือๆ… เมื่อวาน… ซู่อวิ๋นกลัว…”
เยี่ยหลีรีบตบหลังองค์ชายสิบพลางเอ่ยปลอบเสียงเบา อันที่จริงนางไม่เก่งเรื่องการปลอบเด็กสักเท่าไร ม่อตัวน้อยไม่จำเป็นต้องให้คนปลอบ เหลิ่งจวินหานที่มาพักอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องชั่วคราวก็เป็นเด็กน้อยที่น่ารัก “ไม่กลัวๆ…ฝ่าบาทน้อยต้องใจกล้านะ เด็กที่ใจกล้า ไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น คนอื่นถึงจะได้ไม่กล้ารังแกเจ้า รู้หรือไม่”
อาจด้วยเพราะการปลอบขวัญของเยี่ยหลีได้ประโยชน์ หรือแค่เพียงน้ำเสียงของเยี่ยหลี ก็ทำให้เด็กน้อยรู้สึกอุ่นใจขึ้น องค์ชายสิบค่อยๆ เก็บเสียงร้องไห้ของตนไว้ มองเยี่ยหลีตาแป๋ว “พี่สาว…พี่สาวอยู่เป็นเพื่อนซู่อวิ๋นไหม”
เยี่ยหลีได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ นางไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนเขาได้ ในทางกลับกัน หากต่อไปเด็กผู้นี้กลายเป็นประมุขที่เก่งกาจแต่เพียงผู้เดียวได้แล้ว ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจกลายเป็นศัตรูกันอีกด้วย แต่กระนั้นเมื่อได้เห็นเด็กน้อยอายุเจ็ดขวบผู้อ่อนแอและน่าสงสารตรงหน้า ผู้ใดเลยจะใจแข็งทำเป็นไม่สนใจไม่ถามไถ่ได้เล่า
“ไม่คิดว่าเจ้าจะโอ๋เด็กก็เป็นด้วย” ฮองเฮาเรียกสติกลับมาได้นานแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีกำลังพูดคุยกับองค์ชายสิบ ก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเพียงนิ่งมองอยู่อย่างนั้น
ฮองเฮามองเยี่ยหลีแล้วยิ้ม “จะว่าไปเด็กคนนี้เป็นเด็กขวัญอ่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ยอมเชื่อคนที่เพิ่งเคยพบหน้าเป็นครั้งแรก อย่างข้าที่ได้พบหน้าอยู่หลายครั้งแล้ว แต่ยามปกติก็จะเพียงทำความเคารพตามธรรมเนียมเท่านั้น”
เยี่ยหลียิ้ม “อาจด้วยเพราะข้าอยู่บ้านก็เลี้ยงเด็ก ดังนั้นจึงเข้ากับเด็กได้ง่ายกระมัง”
ฮองเฮาถือเอาเสียว่านางพูดถึงม่อตัวน้อย จึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หากเด็กคนนี้มีความกล้าและเฉลียวฉลาดเช่นเดียวกับซื่อจื่อน้อย ข้าคงไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงลูบศีรษะเด็กน้อยที่ดูเศร้าสร้อย เด็กที่อายุได้เจ็ดขวบแล้ว ใช่ว่าจะฟังอันใดไม่เข้าใจเลย เขาสามารถเข้าใจถึงความผิดหวังและเป็นห่วงในน้ำเสียงของผู้ใหญ่ได้ดี
เยี่ยหลีเอ่ยเบาๆ ว่า “เด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กโง่ หากใส่ใจและให้เวลาสักหน่อย ก็ใช่ว่าจะดีขึ้นไม่ได้ เพียงแต่…”
เยี่ยหลีมองหลี่ซื่อที่นั่งเหม่อลอยอยู่แล้วจึงขมวดคิ้วขึ้น มิใช่ว่านางใจร้ายไม่สนใจความสันพันธ์ระหว่างแม่ลูก แต่หลี่ซื่อไม่เหมาะที่จะอบรมสั่งสอนเด็กเลยจริงๆ ด้วยเพราะเป็นเรื่องที่ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจและไม่มีความสามารถในเรื่องนั้น จึงย่อมไม่อาจสั่งสอนอันใดบุตรได้ สิ่งที่นางสามารถให้แก่บุตรได้ มีเพียงความรักเท่านั้น หากเกิดอยู่ในบ้านชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เป็นเช่นนี้อาจมิใช่เรื่องไม่ดี อย่างมากก็สั่งสอนออกมาได้เป็นเด็กชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง หรืออาจจะให้ตระกูลอื่นรับเลี้ยงไปก็ยังได้ แต่องค์ชายสิบเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังอยู่ท่ามกลางคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ การมีมารดาเช่นหลี่ซื่อ จึงไม่อาจให้การอบรมสั่งสอนที่เหมาะสมกับบุตรได้เลยจริงๆ
ฮองเฮาเข้าใจความหมายของนาง จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปหารือกับองค์หญิงซีฝูเอง บางทีอาจจะขอให้องค์หญิงซีฝูเข้าวังมาช่วยอบรมองค์ชายสิบด้วย ก็ถือเป็นความคิดที่ไม่เลว เพราะถึงอย่างไรในสมัยนั้นองค์หญิงซีฝูก็เคยประคับประคองอดีตฮ่องเต้มาแล้วถึงสองรุ่น จนได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงเหล็กทีเดียว”
หากเป็นสตรีนางอื่น ย่อมรีบฉวยโอกาสนำตัวองค์ชายสิบมาเลี้ยงดูไว้กับตน เพราะถึงอย่างไร ถึงแม้จะเป็นฮองเฮา แต่ก็มิใช่มารดาผู้ให้กำเนิดฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ต่อไปหากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้ว่าราชการด้วยตนเองแล้ว ความผูกพันที่มีต่อมารดาเอกกับมารดาผู้ให้กำเนิดจะเป็นตัวตัดสินชีวิตและเกียรติยศของพวกนาง
แต่ฮองเฮาไม่คิดที่จะตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกของหลี่ซื่อกับองค์ชายสิบ นางไม่มีบุตรชายแล้วอย่างไร นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะต้องไปแย่งบุตรชายของคนอื่นมา เช่นเดียวกับบุตรสาวของนาง ที่องค์หญิงฉางเล่อจะเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของนางตลอดไปเช่นกัน
“ฮองเฮาตรัสถูกแล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ
การที่ฮองเฮาจะไม่เลี้ยงดูองค์ชายสิบ ทำให้เยี่ยหลีเบาใจลงไปมาก ถึงแม้ยามนี้ฮองเฮาจะยังไม่ยอมไปกับเฟิ่งจือเหยา แต่ผู้ใดเลยจะกล้ายืนยันว่า ต่อไปจะไม่มีวันที่นางคิดได้ หากถึงยามนั้นเกิดเลี้ยงดูองค์ชายสิบจนเกิดเป็นความผูกพันฉันแม่ลูกขึ้นมาแล้ว กลับจะยิ่งจัดการยากไปอีก ถึงเวลาเยี่ยหลีก็คงไม่รู้จะบอกกับเฟิ่งจือเหยาเช่นไร
“ฮองเฮา…” หลี่ซื่อเอ่ยขึ้นด้วยความไม่สบายใจ ถึงแม้นางจะโง่เขลา แต่ก็รับรู้ได้ว่า ฮองเฮามีเรื่องที่ไม่พอใจตน ในวังหลวงแห่งนี้ สิ่งเดียวที่เป็นที่พึ่งพิงของนางก็คือบุตรชาย ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากแยกจากบุตรชาย
ฮองเฮาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าแค่เพียงจะเชิญองค์หญิงซีฝูเข้ามาอมรบองค์ชายสิบเท่านั้น จะไม่แยกเจ้าสองคนแม่ลูกหรอก”
“ขอบพระทัย…ขอบพระทัยฮองเฮา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่ซื่อถึงได้เบาใจ เอ่ยขอบคุณด้วยความยินดี