ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 282-2 ตระกูลเฟิ่งถูกจับ
ในตำหนักติ้งอ๋อง เมื่อม่อซิวเหยาได้รับข่าวที่ฮว่ากั๋วกงให้คนส่งมา ก็ถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนโยนจดหมายไปที่โต๊ะด้านข้าง
เยี่ยหลีหยิบขึ้นอ่าน ก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
“เขาลักพาตัวฮองเฮาออกจากวังโดยไม่มีแผนแม้แต่น้อย เจ้ายังจะไปหวังให้เขามีสติคิดอันใดอีก ถูกคนพบเข้าก็ไม่แปลกหรอก อีกอย่าง…ข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟยน่าจะยังมีคนมีฝีมือดีอยู่” ม่อซิวเหยาเอ่ย
“คนฝีมือดี?” เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความสงสัย นางคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่า หลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่แต่ในวังลึก ข้างกายจะมีคนฝีมือดีไปได้อย่างไร หรือว่าในวังหลวงจะซ่อนเสือซ่อนมังกรเอาไว้จริงๆ หรือ
ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “แต่ไหนแต่ไรมา หลิ่วกุ้ยเฟยยกย่องตนเองว่ามีความสามารถมาตลอด หากว่าเรื่องความรู้ บางทีนางอาจมีอยู่หลายส่วนจริง แต่หากว่าเรื่องการวางแผนแล้ว ยังถือว่าห่างไกลนัก เรื่องหลายๆ คราที่ผ่านมานี้ ล้วนไม่เหมือนฝีมือของนางเอาเสียเลย”
นางไม่เหมือนกับคุณหนูตระกูลผู้ดีโดยมาก หลิ่วกุ้ยเฟยสามารถเรียกได้ว่าได้รับการพะเน้าพนอเอาใจมาตลอดชีวิต นางเกิดในช่วงที่ตระกูลหลิ่วมีอำนาจมากที่สุด ทั้งยังเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของรุ่น และยังมีใบหน้าที่งดงามอย่างยิ่งอีก ยามนั้นตระกูลหลิ่วทั้งยกยอนางและรักใคร่เอ็นดูนางเป็นที่สุด มิเช่นนั้นคงเลี้ยงออกมาไม่ได้นางที่มีนิสัยไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเช่นนี้ เมื่อเข้าวังก็เป็นที่โปรดปรานของม่อจิ่งฉีอย่างไร้กฎเกณฑ์ นางแทบไม่เคยต้องใช้สมองไปรบราฆ่าฟันกับผู้อื่น หลิ่วกุ้ยเฟยที่ได้ทุกอย่างดั่งใจมาโดยตลอด หากว่าเรื่องการวางแผนแล้ว ถือได้ว่ายังสู้ผู้อื่นไม่ได้จริงๆ มิเช่นนั้นนางคงไม่สร้างเรื่องให้ม่อจิ่งฉีนึกสงสัยในตัวนางในช่วงสุดท้ายของชีวิต จนทำให้ความงามของนางวกกลับมาทำให้เสียแผนเช่นนี้หรอก
เยี่ยหลีไม่ได้รู้จักหลิ่วกุ้ยเฟยดี แต่หลังจากหลายครั้งที่ได้ปะทะคารมกัน เยี่ยหลีก็ยังสัมผัสได้ว่า หลิ่วกุ้ยเฟยมิใช่คนที่เก่งกาจด้านการวางแผน แค่เพียงมองจากวิธีการที่นางใช้ตอแยม่อซิวเหยาก็พอรู้ได้แล้ว
เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านมีคนที่นึกสงสัยอยู่หรือไม่”
ม่อซิวเหยายกยิ้มมุมปาก ตอบออกมาทันทีว่า “ถานจี้จือ”
“ถานจี้จือ?” เยี่ยหลีอึ้งไป ชื่อนี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับการเอ่ยถึงมานานแล้ว ตั้งแต่ซูม่านหลินถูกองค์หญิงอันซีประหารชีวิตไป ถานจี้จือก็ไม่รู้ไปอยู่เสียที่ใด หลังจากนั้นก็มีเหรินฉีหนิงโผล่ขึ้นมาอีกคน ซึ่งทำให้ความสนใจที่มีต่อถานจี้จือเบี่ยงเบนออกไป คิดไม่ถึงว่า ถานจี้จือจะลอบกลับเข้ามาที่เมืองหลวงอีกครั้ง
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ถานจี้จืออยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีอย่างไร้ซุ่มเสียงไร้ตัวตนมาเป็นสิบปี ในเมื่อเขาไม่ได้จงรักภักดีต่อม่อจิ่งฉีด้วยใจจริง สิบปีที่ผ่านมาคงไม่มีทางที่เขาจะไม่ทำอันใดเลยกระมัง ดังนั้นข้าจึงเดาว่า…เขาไม่เพียงรู้จักซูม่านหลิน หลิ่วกุ้ยเฟย เขาอาจถึงขึ้นคุ้นเคยกับม่อจิ่งหลีเลยก็เป็นได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีก็ถึงกับตกใจ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นยาที่ม่อจิ่งหลีนำกลับมาจากหนานเจียง…”
“เป็นถานจี้จือที่ลอบส่งข่าวนี้ให้เขา” ม่อซิวเหยาเอ่ยต่อว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงอยู่ในความดูแลของซูม่านหลินมาโดยตลอด ต่อให้องค์หญิงซีสยามีควาสัมพันธ์เพียงตื้นเขินกับองค์หญิงอันซี แต่ก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ขององค์หญิงอันซี ซูม่านหลินไม่มีทางไม่ขวางนาง ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงมียาเช่นนี้อยู่ จึงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวว่า เป็นถานจี้อจือหรือซูม่านหลินที่บอกเขา”
เยี่ยหลีนิ่งไป หากเป็นเช่นนั้นจริง การตายของม่อจิ่งฉีเกรงว่าก็คงมีฝีมือของถานจี้จืออยู่ไม่น้อย
นางยกมือนวดขมับ เยี่ยหลีจำต้องยอมรับว่า ตนไม่เหมาะกับการแก่งแย่งชิงดีกันเหล่านี้เลย “หากเป็นเช่นนั้น…ครานี้ถานจี้จือกับหลิ่วกุ้ยเฟยคิดจะทำอันใด”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง หากพวกเขาต้องการปล่อยข่าวนี้ออกไป คงไม่ตามตัวกั๋วกงผู้เฒ่าไปพูดคุยหรอก ในเมื่อทำเช่นนี้ เชื่อว่าคงต้องมีเรื่องมาต่อรอง พวกเราไม่ต้องทำอันใด พวกเขาก็จะมาหาเราถึงที่เอง”
เขาก็นั่งอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องนี้ ต่อให้ม่อจิ่งหลีนึกสงสัยว่าฮองเฮาอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องจริง เขาจะกล้าเข้ามาตรวจค้นหรือ อีกอย่าง เกรงว่าม่อจิ่งหลีคงรอให้พวกเขาพาตัวฮองเฮาไปจะแย่แล้ว เขาจะได้มีไพ่เหนือกว่าตระกูลฮว่า ไว้ใช้เผื่อวันใดตระกูลฮว่าจะมาเป็นอุปสรรคขวางทางเขา
ม่อซิวเหยาไม่มีความคิดที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในเมืองหลวง ดังนั้นเรื่องโดยมากจึงปล่อยผ่านไม่เข้าไปวุ่นวาย แค่เพียงเฟิ่งจือเหยากับฮองเฮา มีความหมายกับเขาไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ในเมื่อเฟิ่งจือเหยาพาตัวนางออกมาแล้ว เขาย่อมไม่รังเกียจหากจะออกแรงสักหน่อยเพื่อพาตัวนางกลับไป
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร การมีคนลอบสังเกตการณ์อยู่ในที่ลับ อย่างไรก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ”
ม่อซิวเหยายิ้ม เอ่ยว่า “ในเมื่ออาหลีรู้สึกไม่สบายใจ เช่นนั้นก็จัดการเขาเสียก็สิ้นเรื่อง”
“ท่านอ๋อง พระชายา เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น จั๋วจิ้งก็กระหืดกระหอบเข้ามา ยังไม่ทันได้ทำความเคารพก็รีบเอ่ยรายงานขึ้นก่อนทันที
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เรื่องอันใด”
“ตระกูลเฟิ่งถูกจับแล้ว” จั๋วจิ้งเอ่ยรายงาน
ม่อซิวเหยาปรายตามองจั๋วจิ้งเรียบๆ ถามขึ้นว่า “นี่ถือเป็นเรื่องด้วยหรือ”
ตระกูลเฟิ่งถึงแม้จะเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของต้าฉู่ ทั้งยังเป็นตระกูลของเฟิ่งจือเหยา แต่ก็มิใช่คนของตำหนักติ้งอ๋อง ดังนั้นการที่ตระกูลเฟิ่งจะถูกจับหรือไม่ สำหรับม่อซิวเหยาแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลยจริงๆ
จั๋วจิ้งรู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย พอได้รับข่าวเขาก็รีบมารายงานทันที แต่กลับลืมไปว่า ตระกูลเฟิ่ง นอกจากมีความเกี่ยวพันธ์คุณชายเฟิ่งซานแล้ว ก็มิได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักติ้งอ๋องอีก
เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เอาเถิด ไปบอกเฟิ่งซานสักหน่อยก็แล้วกัน ถึงอย่างไรก็เป็นบิดาแท้ๆ ของเขา”
จั๋วจิ้งรับคำ ยังไม่ทันได้ออกไปพ้นประตู เฟิ่งจือเหยาก็มาปรากฏกายที่หน้าประตู เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้ารู้เรื่องแล้ว”
เฟิ่งจือเหยากับฮองเฮาเดินตามกันเข้ามา สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก เห็นได้ชัดว่า พอเฟิ่งจือเหยาได้ยินเรื่องนี้ก็รีบร้อนมาทันที ถึงแม้สีหน้าจะยังดูขาวซีดอยู่บ้าง แต่แววหมดหมองในดวงตากลับดูลดน้อยลงไปมาก
เฟิ่งจือเหยามองม่อซิวเหยาอย่างขอลุกแก่โทษ “ท่านอ๋อง…”
ม่อซิวเหยาโบกมือ ยิ้มอย่างดูไม่จริงใจเท่าไร “ไม่ต้องขอโทษข้า ยามนี้ในเมืองหลวงยังไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องข้า หากเจ้ามีเรื่องอันใดรู้สึกผิดต่อตระกูลเฟิ่ง พวกเราก็เตรียมตัวกลับเมืองหลีกัน?”
เฟิ่งจือเหยายิ้มขื่น เขาไม่มีความรู้สึกอันใดต่อตระกูลเฟิ่ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ตนทำให้ตระกูลเฟิ่งเดือดร้อนจนถูกจับแล้วจะไม่ถามไถ่อันใดเลย จะว่าไปแล้ว เขากับตระกูลเฟิ่งก็มิได้มีความแค้นฝังลึกอันใดต่อกัน แค่เพียงเลือกเส้นทางกันคนละสายเท่านั้น ครานี้ตระกูลเฟิ่ง ครานี้ตระกูลเฟิ่งเดือดร้อนเพราะตนเป็นต้นเหตุจริงๆ
“เรื่องนี้ข้าน้อยจะต้องแก้ไขให้ได้” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยเสียงเบา
ม่อซิวเหยามองค้อนเขา “เจ้าคิดจะแก้ไขอย่างไร ลักพาตัวฮองเฮามาแล้ว ยังจะลักพาตัวคนจากคุกหลวงอีกหรือ หรือว่าเจ้าจะเดินเข้าไปหากับดัก บอกว่าเป็นเจ้าที่เป็นคนลักพาตัวฮองเฮามาเสียเองเลย”
เฟิ่งจือเหยาได้แต่มองบุรุษผมขาวในชุดขาวที่ดูเกียจคร้าน พวกเขารู้จักกันมาหลายสิบปี เขาเข้าใจม่อซิวเหยาอย่างดี ที่เขาพูดเช่นนี้ก็ด้วยเพราะคิดที่จะช่วยเขาแก้ไขเรื่องวุ่นวายแล้ว
แต่ในใจเฟิ่งจือเหยาก็ยากที่จะสงบลงได้ เรื่องในครานี้ เป็นเพราะเขาผลีผลามจนเกินไป จึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากเขามีความอดทนสักหน่อย กลับมาหารือกับม่อซิวเหยาก่อน ก็ไม่แน่ว่าม่อซิวเหยาจะขวางเขา และอาจจะช่วยเขาด้วยก็เป็นได้ แต่ยามนี้ตัวเขาสร้างเรื่องขึ้นด้วยความประมาท แต่กลับต้องให้ติ้งอ๋องเข้ามาช่วยแก้ไข ซึ่งทำให้เฟิ่งจือเหยารู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ในความผลีผลามไม่คิดหน้าคิดหลังของตน
ไม่ต้องทำหน้าอย่างนี้ให้ข้าดูแล้ว ภายในสามชั่วยาม พาตัวถานจี้จือมาที่ตำหนักติ้งอ๋องให้ได้ มิเช่นนั้น…” ยังไม่ทันเอ่ยต่อให้จบ แต่น้ำเสียงข่มขู่ที่ส่งมานั้น ไม่ต้องพูดก็สามารถเดาได้
เฟิ่งจือเหยาตื่นตัวขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงดังว่า “ข้าน้อยรับบัญชา จะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาหันกลับมามองฮองเฮาที่นั่งอยู่
ฮองเฮายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เจ้าไปทำธุระก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับติ้งอ๋องและพระชายา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเฟิ่งจือเหยาก็เป็นประกายทันที แม้แต่น้ำเสียงก็ฟังดูผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย เอ่ยกับฮองเฮาว่า “เจ้ารอข้านะ ข้าจะรีบกลับมา” พูดจบก็ก้าวเท้าออกไปจากโถงดอกไม้อย่างรวดเร็ว ดูไม่ออกแม้สักนิดว่ายังบาดเจ็บอยู่
เมื่อเห็นร่างในชุดผ้าไหมสีแดงหายไปจากปากประตูแล้ว ฮองเฮาก็ถอนใจออกมาอย่างจนใจ มองเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาพลางเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษว่า “ทำพวกเจ้าลำบากแล้ว”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เฟิ่งซานช่วยข้าทำงานมากว่าสิบปี ช่วยเขาแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ บ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่เป็นอันใดหรอก เรื่องอื่นๆ ข้าไม่อยากฟัง ไว้รอให้เฟิ่งซานกลับมาก่อนก็แล้วกัน หากเขากลับมาแล้วเจ้าหายไปอีก ข้าคงมีแม่ทัพที่ใช้การได้น้อยไปอีกคนหนึ่ง”
ฮองเฮาอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับอาเหยาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย หลายปีนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่คอยดูแลเขาแล้ว”
ม่อซิวเหยาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เฟิ่งซานไม่ได้เป็นเพียงคนของตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้น แต่ยังเป็นพี่น้องที่โตมากับข้าตั้งแต่เล็กๆ ด้วย”
บางทีสวีชิงเฉินอาจเฉลียวฉลาดหลักแหลมเหนือผู้คนกว่าเฟิ่งซาน บางทีพวกจางฉี่หลันอาจจะเชี่ยวชาญด้านการศึกกว่าเฟิ่งซาน แต่มีเพียงเฟิ่งซานเท่านั้น ที่โตมาพร้อมกับเขา เป็นพี่น้องที่ร่วมเดินผ่านช่วงเวลาหลายปีที่เจ็บปวดที่สุดมาเป็นเพื่อนเขา มิตรภาพเช่นนี้ ในชีวิตหาได้ไม่มากนัก เมื่อก่อนอาจมีอยู่หลายคน แต่ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเปลี่ยนนั้นมีเฟิ่งจือเหยาเพียงคนเดียว