ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 284-2 ถูกจับเข้าคุก
ตำหนักติ้งอ๋อง
ม่อซิวเหยาเพิ่งได้ข่าวที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามารายงาน คิ้วเข้มของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย อมยิ้มเอ่ยถามว่า “ดังนั้น เฟิ่งจือเหยาจึงถูกหลิ่วกุ้ยเฟยจับตัวไป?”
องครักษ์ลับที่ยืนอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวถึงกับตัวสั่น คิดอยากถอยให้ห่างไปสักหน่อยเพื่อหลบรังสีไอเย็นของท่านอ๋องที่ดูมีสีหน้าเรียบเฉย แต่เขากลับถูกรอยอมยิ้มในแววตาของม่อซิวเหยาทำให้หยุดชะงักไว้ ฝืนใจเอ่ยตอบว่า “เรียนท่านอ๋อง หลิ่วกุ้ยเฟยมิได้เพียงจับคุณชายเฟิ่งซานออกมาจากต้าหลี่ซื่อเท่านั้น แต่ยังได้พาตัวประมุขตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งหวายถิงไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเพียงส่งเสียงหึเบาๆ แต่มิได้พูดอันใดอีก
เยี่ยหลียกมือขึ้นจับมือม่อซิวเหยาไว้ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรเฟิ่งหวายถิงก็เป็นบิดาแท้ๆ ของเฟิ่งซาน หากเฟิ่งซานไม่สนใจจะถามจะไถ่ เช่นนั้นก็คงไม่ใช่เฟิ่งซานแล้ว”
ในโลกนี้คนที่ใจคอโหดเหี้ยมเด็ดขาดจริงๆ จะมีสักกี่คนกัน ต่อให้ตระกูลเฟิ่งเมินเฉยต่อเฟิ่งจือเหยาเพียงใด เฟิ่งหวายถิงก็ยังเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเฟิ่งจือเหยาอยู่ดี เฟิ่งจือเหยาไม่มีทางไม่สนใจเขา ก็เช่นเดียวกับเหลิ่งเฮ่าอวี่ ชีวิตในตระกูลเหลางของเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ไม่แน่ว่าจะดีไปกว่าเฟิ่งจือเหยา แต่แค่เพียงได้ยินว่าเหลิ่งจุ่นถูกล้อมไว้ เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ร้อนใจราวกับอะไรดีเลยมิใช่หรือ
ม่อซิวเหยากรอกตาด้วยความไม่พอใจ มองไปทางเยี่ยหลีอย่างน่าสงสาร “ข้ามิได้บอกว่าจะไม่ช่วยเฟิ่งหวายถิงสักหน่อย แต่ยามนี้เฟิ่งซานส่งตัวเองเข้าไปด้วยแล้ว นี่มันเรื่องอันใดกัน”
เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ครานี้เกรงว่าคงด้วยเพราะอุบัติเหตุกระมัง เฟิ่งจือเหยาก็คงไม่รู้ว่าหลิ่วกุ้ยเฟยกับหลีอ๋องจะเลือกเข้าไปที่ต้าหลี่ซื่อในเวลานี้พอดี ดูท่าเรื่องตระกูลเฟิ่งในครานี้ คงมิได้มีเพียงตระกูลหลิ่วแล้ว แม้แต่หลีอ๋องก็คงม่ส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
ม่อซิวเหยาหาได้สนใจไม่ “ยามนี้อิทธิพลในเมืองหลวงกว่าครึ่งล้วนอยู่ในมือของม่อจิ่งหลี หากเขาไม่เห็นด้วย ตระกูลหลิ่วคิดอยากเล่นงานตระกูลเฟิ่ง คงยังต้องช่างน้ำหนักอยู่เล็กน้อย เกรงว่าคงมิใช่ตระกูลหลิ่วอยากเล่นงานตระกูลเฟิ่ง แต่เป็นม่อจิ่งหลีที่อยากเล่นงานตระกูลเฟิ่งเสียมากกว่า”
เยี่ยหลีถึงกับใจกระตุก เอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่ง ม่อจิ่งหลีมีพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของต้าฉู่อยู่ในมือ หลายปีที่ทำการค้ามา ไม่ควรที่เงินจะขาดมือถึงจะถูก”
ม่อซิวเหยาหัวเราะเอ่ยว่า “เรื่องนั้นก็คงไม่แน่ ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะควบคุมพื้นที่ทางตอนใต้ของต้าฉู่อยู่กว่าครึ่ง แต่รากฐานของเขาก็ตื้นเขินนัก ในพื้นที่ทางเจียงหนาน มีตระกูลใหญ่อยู่นับไม่ถ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนยิ่งกว่าอะไร ม่อจิ่งหลีคิดอยากจะทำเงินจากคนเหล่านี้ก็คงไม่ง่ายนัก อีกอย่าง…เลี้ยงกองทัพ ก็เป็นเรื่องที่เผาเงินมากอีกด้วย”
“ท่านจะบอกว่า…ม่อจิ่งหลีลอบขยายกำลังทหารอยู่หรือ” เพียงเอ่ยขึ้นมาเล็กน้อย เยี่ยหลีก็เข้าใจทันที เมื่อคิดถึงการคาดเดาของตนเอง ก็อดขมวดคิ้วเรียวขึ้นไม่ได้
ม่อซิวเหยาอมยิ้มพลางพยักหน้า “ม่อจิ่งหลีคิดอยากได้บัลลังก์มังกร มิใช่เป็นเรื่องเพียงวันสองวันนี้ ไว้รอให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ พวกเราก็กลับซีเป่ยกันเถิด ข้าไม่มีอารมณ์มาเล่นเป็นเพื่อนพวกเขา”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น เหตุใดพวกเราถึงต้องรอให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ด้วยเล่า”
“เพราะข้าสนุกที่ทำให้พวกเขาทำอะไรกันได้ไม่สะดวกน่ะสิ”
“….” ขอเพียงม่อซิวเหยายังอยู่ในเมืองหลวง ต่อให้ม่อจิ่งหลีมีใจคิดอยากชิงบัลลังก์ แต่ก็คงไม่มีความกล้าอยู่ดี
“ท่าน…ท่านอ๋อง…” ลูกน้องที่ยังไม่มีรับคำตอบ ยังคงยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในห้องโถงใหญ่ มองม่อซิวเหยาที่เห็นได้ชัดว่าลืมไปเสียแล้วว่าเขามีตัวตนอยู่อย่างน่าสงสาร
“ยังมีเรื่องอันใดอีก” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม
ถือว่าเขาหาโอกาสพูดจนได้แล้ว คนที่น่าสงสารรีบพูดสิ่งที่ตนจะรายงานออกไปอย่างรวดเร็ว “เมื่อครู่เพิ่งได้รับข่าวจากคนที่หลิ่วกุ้ยเฟยส่งมา บอกว่า พรุ่งนี้เช้าหลิ่วกุ้ยเฟยจะมาเยี่ยมเยียนที่ตำหนักติ้งอ่อง และมีเรื่องที่อยากหารือกับท่านอ๋อง ขอท่านอ๋องอย่าได้ปฏิเสธ” เขาพูดออกมายาวเหยียดโดยไม่หยุดพัก จบแล้วถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“หลิ่วกุ้ยเฟย? เยี่ยมเยียน? อย่าปฏิเสธ?” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ
ในใจคนที่มาถ่ายทอดเนื้อความถึงกับน้ำตานองหน้า ท่านอ๋อง ข้าน้อยแค่เพียงมาถ่ายทอดความเท่านั้น มิได้เกี่ยวอันใดกับข้า
เยี่ยหลีดึงม่อซิวเหยาไว้อย่างเห็นขัน หันไปเอ่ยยิ้มๆ ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “เอาล่ะ ท่านอ๋องรู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”
“ขอบพระคุณพระชายา ข้าน้อยขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนแทบจะปลิวหายออกไปจากห้องโถงใหญ่ทันที
ในคุกแห่งหนึ่งที่สถานที่ไม่ชัดเจน เฟิ่งจือเหยานั่งพิงกำแพงด้วยท่าทีสบายๆ อยู่บนตั่งเตียงที่ในห้องขัง เฟิ่งหวายถิงที่ถูกขังอยู่ในห้องขังข้างๆ ยังคงนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนตั่งเตียงในห้องขัง ดูไม่มีความตั้งใจที่จะพูดคุยกับเฟิ่งจือเหยาเลยแม้แต่น้อย
เฟิ่งจือเหยานั่งอยู่บนหัวเตียง มองบุรุษที่จอนทั้งสองข้างใกล้จะเป็นสีขาวหมดแล้ว เขาส่งเสียงหึเบาๆ เดินไปยังลูกกรงพลางออกแรงเคาะอยู่หลายที
ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามา เอ่ยถามเฟิ่งจือเหยาด้วยความระมัดระวังว่า “คุณชายเฟิ่งซานมีเรื่องอันใด”
เฟิ่งจือเหยารู้สึกสนุกขึ้นมาทันที “เอ๋? รู้จักข้าด้วย” เขามองสำรวจบุรุษวัยกลางคนที่ดูไม่สะดุดตาตรงหน้าช้าๆ เฟิ่งจือเหยาไม่เคยรู้จักเขามาก่อน เพียงแต่พอดูออกว่ามีวรยุทธที่ไม่เลว
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “ไปเอาเสื้อคลุมมา เจ้าคิดจะปล่อยให้ข้าหนาวตายหรือ”
บุรุษกลางคนปรายตามองเฟิ่งจือเหยาเรียบๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกไป ไม่นานก็ถือเสื้อคลุมผ้าไหมสีเข้มเข้ามาส่งให้เฟิ่งจือเหยา จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
เฟิ่งจือเหยามองเสื้อคลุมสีเข้มในมือแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างมีความคิดบางอย่าง แค่เพียงยกมือ เสื้อคลุมในมือก็ทะลุผ่านลูกกรงไปคลุมลงบนตัวของเฟิ่งหวายถิงอย่างไร้อุปสรรคโดยทันที
เฟิ่งหวายถิงลืมตาขึ้น มองเสื้อคลุมที่ห่มอยู่บนตัวตนแล้วก็อึ้งไป ผินหน้าไปมองเฟิ่งจือเหยาที่อยู่อีกด้าน
เฟิ่งจือเหยากลับค่อยๆ เดินกลับไปนั่งลงข้างเตียงของตน หันหน้าเข้าหาผนังอีกฝั่งโดยไม่สนใจตนอีก
ตอนนี้เป็นกลางเดือนสามพอดี ถึงแม้จะอยู่ด้านนอกก็ยังรับรู้ได้ถึงไอเย็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามที่อยู่ในคุกใต้ดินที่มืดสลัวเช่นนี้
เมื่อได้เสื้อคลุมมาห่ม ความหนาวเหน็บบนตัวก็หายไปมากทีเดียว เฟิ่งหวายถิงกระชับเสื้อคลุมบนตัวเงียบๆ มองบุรุษตรงข้ามที่อยู่ในชุดสีแดงบางๆ แววตาก็เผยให้เห็นความอ่อนโยนอย่างที่น้อยนักจะได้เห็น
เฟิ่งจือเหยาเป็นคนฝึกวรยุทธ ทั้งยังกรำศึกอยู่ในสนามรบมาหลายปี ย่อมสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมายังเขา เดิมทียังคิดดื้อรั้นไม่สนใจเขา แต่สายตานั้นกลับมองมาที่เขาตลอดไม่ขยับไปไหน เขาจึงค่อยๆ รู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา
เขาหันขวับไปมอง เอ่ยอย่างไม่เห็นขันว่า “ท่านมีอันใดก็พูดออกมาตรงๆ”
ไม่รอให้เฟิ่งหวายถิงเอ่ย เฟิ่งจือเหยาก็เอ่ยต่อเองทันทีว่า “ท่านก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว ครานี้พวกท่านถือว่าเดือดร้อนเพราะข้า วางใจเถิด ข้ารับประกันว่า ตระกูลเฟิ่งจะได้ออกจากคุกอย่างปลอดภัย”
“เจ้าไปทำเรื่องอันใดไว้” เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฟิ่งหวายถิงถึงได้เอ่ยถามเสียงขรึมขึ้น
เฟิ่งจือเหยาฝืนยิ้มประหลาดๆ ออกมา สายตาที่มองเฟิ่งหวายถิงตั้งใจให้ดูดุร้าย “ข้าลักพาตัวคนหนึ่งออกมาจากในวัง”
เฟิ่งหวายถิงเป็นประมุขตระกูลเฟิ่ง ย่อมมีช่องทางข่าวสารเป็นของตนเอง ถึงแม้ในวังจะไม่มีข่าวการหายตัวไปของผู้ใดออกมา แต่เขาก็ยังสามารถพอรู้ได้บ้าง เมื่อได้ยินเฟิ่งจือเหยาเอ่ยเช่นนั้นก็อดหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยไม่ได้ ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ผ่านมาก็หลายปีแล้ว เจ้ายังวางไม่ลงอีกหรือ”
ครานี้ถึงคราวเฟิ่งจือเหยาอึ้งไปบ้าง เขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า เฟิ่งหวายถิงจะรู้ถึงความในใจในยามนั้นของเขา สีหน้าที่มองบุรุษฝั่งตรงข้ามจึงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ครู่ใหญ่ถึงได้รีบเอ่ยในลำคอออกมาว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน!”
ภายในคุกที่ว่างเปล่า เงียบกริบลงทันที เงียบจึงถึงขั้นได้ยินเสียงลมหายใจของทั้งสอง
ครู่ใหญ่ถึงได้ยินเฟิ่งหวายถิงเอ่ยว่า “เจ้าใจกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ ด้วยเพราะคิดว่ามีติ้งอ๋องคอยให้ท้ายอยู่หรือ หากติ้งอ๋องไม่ยินดีหรือเขาช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าจะทำเช่นไร”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “มาสั่งสอนข้าเอายามนี้ ไม่ช้าไม่หน่อยหรือ!”
ที่เฟิ่งจือเหยาบุ่มบ่ามทำเรื่องในครานี้ เขารู้สึกผิดอยู่ในใจมากจริงๆ แต่เมื่อได้เห็นท่าทางเย็นชาเช่นนี้ของเฟิ่งหวายถิง ก็ทำให้เขายากที่ทำใจให้สงบและพูดคุยกันดีๆ ได้
เฟิ่งหวายถิงมองเขานิ่งอยู่เป็นนาน แล้วในที่สุดก็ระบายลมหายใจออกมายาวเหยียดและไม่ได้พูดอันใดอีก เฟิ่งจือเหยา มองเฟิ่งหวายถิงที่ปิดตาลงเงียบๆ อีกครั้งด้วยสีหน้าอึ้งๆ เกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นในใจ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่