ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 285-1 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม
จวนเสนาบดี
ในห้องหนังสือ เสนาบดีหลิ่วมองบุตรสาวที่นั่งอยูด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิ้วสีดอกเลาขมวดเข้าหากันมุ่น เขาเอามือไพล่หลังเดินหมุนไปหมุนมาอยู่ในห้องหนังสือไม่หยุด ครู่ใหญ่ถึงได้หันกลับมาจ้องหลิ่วกุ้ยเฟ่ยพลางเอ่ยว่า “ลูก นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ทำไมหรือ?”
เสนาบดีหลิ่วเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่สู้ดีว่า “ทำไมหรือ? เจ้ายังถามว่าทำไมหรืออีกหรือ ก่อนหน้านี้พวกเราก็หารือกันจนเรียบร้อยแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไปยั่วโมโหม่อซิวเหยาในยามนี้อีก”
คิ้วเรียวของหลิ่วกุ้ยเฟยเลิกขึ้นเล็กน้อย “ข้าไปยั่วโมโหม่อซิวเหยาอย่างไรกัน”
เสนาบดีหลิ่วถึงกับปวดหัว การมีบุตรสาวที่ฉลาด งดงาม ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานนั้นเป็นเรื่องดี แต่การมีบุตรสาวที่ไม่เชื่อฟัง กลับเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวยิ่งนัก
เขานวดหน้าผาก เสนาบดีหลิ่วถึงสูดหายใจเข้าลึกๆ จิตใจถึงได้สงบลง “ก่อนหน้านี้เราคุยกันไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องการร่วมฝังให้เรียบร้อยเสียก่อน แต่ยามนี้เรื่องนี้ยังไม่ทันแก้ไขให้เรียบร้อย แต่เจ้ากลับไปยั่วโมโหม่อซิวเหยา หากจู่ๆ เขาเกิดสอดมือเข้ามายุ่ง…เจ้าต้องรู้ว่า ยามนี้ข้ากับท่านอ๋องยังต้องคอยจับตามองเหล่าบัณฑิตกับพวกคนแก่ชอบอวดรู้เหล่านั้นอยู่ เพื่อกดเรื่องนี้เอาไว้เสียก่อน แต่หากติ้งอ๋องเอ่ยขึ้นมาเพียงประโยคเดียว คนเหล่านั้นจะต้องโวยวายขึ้นมาอีกแน่”
หลิ่วกุ้ยเฟยยกมือเท้าคาง มองเสนาบดีหลิ่วพลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นท่านคิดจะทำเช่นไร”
“ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าต้องปล่อยเฟิ่งจือเหยาออกมาก่อน เขาเป็นคนของม่อซิวเหยา ในเมื่อม่อซิวเหยาแสดงออกชัดเจนแล้วว่า ไม่ตั้งใจจะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในเมืองหลวง พวกเราก็อย่างเพิ่งไปยั่วโมโหเขาเลย”
หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ติ้งอ๋องจับถานจี้จือไป ท่านพ่อ…ท่านไม่รู้หรือว่าเฟิ่งจือเหยาทำเรื่องอันใดไป”
“ไม่ว่าเขาจะทำอันใด!” เสนาบดีหลิ่วเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “เขาลักพาตัวฮองเฮาไปแล้วอย่างไร เรื่องนี้มีผลเสียอันใดกับพวกเราบ้าง หากฮองเฮายังอยู่ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ นางก็คือฮองไทเฮา ถึงยามนั้นตระกูลฮว่าก็จะมีข้ออ้างในการเข้ามาแทรกแซงเรื่องในราชสำนักเพื่อช่วยเหลือดูแลฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พอดีเลยมิใช่หรือ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่อายุยังน้อย หากมารดาแท้ๆ ด่วนจากไปอีก ถึงยามนั้น เจ้าที่มีฐานะเป็นกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้ ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในวัง อีกอย่าง ตระกูลฮว่ามีจุดอ่อนเช่นนี้อยู่ในมือพวกเรา ถึงยามนั้น…” เพียงคิดถึงภาพที่ตระกูลฮว่าถูกตระกูลหลิ่วเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า หรือแม้กระทั่งถูกเขาควบคุมอยู่ในมือ ใบหน้าของเสนาบดีหลิ่วก็เต็มไปด้วยความสาแก่ใจ
หลิ่วกุ้ยเฟยหรุบตาลง นัยน์ตาเป็นประกายแห่งความดูแคลน คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวัง เช่นนั้นแล้วอย่างไร ถึงแม้มีตำแหน่งเป็นไทเฮา หากไม่มีคนผู้นั้น ฐานะอันสูงส่งเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด
เสนาบดีหลิ่วหันกลับมา ทันได้เห็นรอยยิ้มเยาะและดูแคลนตรงริมฝีปากของหลิ่วกุ้ยเฟยที่ยังไม่ทันหายไป ในใจก็นึกโกรธ ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “หรือว่าเจ้ายังไม่ตัดใจจากติ้งอ๋องอีก!”
เมื่อเห็นสายตาที่แน่วแน่ของหลิ่วกุ้ยเฟย เสนาบดีหลิ่วก็รู้สึกเพียงว่า มีเลือดแล่นขึ้นมาจุดที่หน้าอก อยากจะกระอักแต่ก็ไม่กระอักออกมา เป็นความรู้สึกที่ทรมานยิ่งนัก เขาทำเวรทำกรรมอันใดไว้กันแน่ ถึงได้มีบุตรสาวที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ ช่างเป็นเวรเป็นกรรมแท้ๆ!
“ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว หากติ้งอ๋องพอใจในตัวเจ้า คงไม่ต้องรอมาถึงป่านนี้ เหตุใดเจ้าถึงยัง…” เสนาบดีหลิ่วเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยความปวดใจ
“หุบปาก!” คำพูดประโยคนี้แทงเข้าที่ใจดำของหลิ่วกุ้ยเฟยตรงๆ บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องหน้าผู้เป็นบิดาด้วยความโกรธ กัดฟันเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อ เขาไม่มีทางไม่ชอบข้า เขาแค่มองไม่เห็นข้าเท่านั้น!”
เสนาบดีหลิ่วไม่รู้จะเอ่ยอันใดขึ้นมาทันที เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่า การอบรมสั่งสอนของตระกูลหลิ่ว มีตรงใดที่ผิดพลาดไป ถึงได้เลี้ยงดูสตรีที่คิดเป็นอยู่อย่างเดียวเช่นนี้ออกมาได้ บุตรสาวที่อายุกว่าสามสิบปี หากอยู่ในบ้านตระกูลคนธรรมดาทั่วไป ก็ควรจะเป็นย่าคนได้แล้ว ต่อให้เดิมทีนางไม่เข้าวัง นางก็ควรเป็นฮูหยินของตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง สตรีที่อายุอานามเท่านี้แล้วแต่ยังตั้งมั่นในรักเดียว ฝากหัวใจไว้กับบุรุษ หนำซ้ำยังเป็นบุรุษที่ไม่แม้แต่จะแยแสตนเองเลยอีกด้วย!
“เวรกรรม! เวรกรรมแท้ๆ…” เสนาบดีหลิ่วกระทืบเท้าพลางถอนใจออกมา
หลิ่วกุ้ยเฟยกลับไม่สนใจท่าทีร้อนรนของผู้เป็นบิดา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นจางๆ ที่แสนจะอ่อนหวาน “ใช่ ก็เป็นเช่นนี้ เขาแค่เพียงมองไม่เห็นข้าเท่านั้น พรุ่งนี้ข้าจะไปพบเขาที่ตำหนักติ้งอ๋อง เขาจะต้องเข้าใจถึงหัวใจข้าที่มีให้เขา”
“เจ้ามั่นใจว่าเขาจะไม่ไล่เจ้าออกมาหรือ” เสนาบดีหลิ่วสาดน้ำเย็นเข้าใส่อย่างไม่รักษาน้ำใจ
หลิ่วกุ้ยเฟยจับคนของตำหนักติ้งอ๋องไว้ ปฏิกิริยาของติ้งอ๋องที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือการจับตัวหลิ่วกุ้ยเฟยไว้ ถึงยามนั้นพวกเขายังต้องหาคนเพื่อไปแลกเปลี่ยนตัวกลับมาอีกด้วย และไม่แน่ว่าอาจต้องเสียสละสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าไป
ในใจเสนาบดีหลิ่วไม่ได้มองม่อซิวเหยาดีขนาดว่าจะยอมสละสิ่งใดเพื่อเฟิ่งจือเหยา เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงลูกน้องคนหนึ่งเท่านั้น หากติ้งอ๋องจะโกรธเพราะเรื่องนี้ เกรงว่าเหตุผลหลักคงมาจากการท้าทายด้วยการข่มขู่ เสนาบดีหลิ่วไม่อาจยอมรับจริงๆ ว่า นี่เป็นบุตรสาวที่ตนอบรมสั่งสอนมา
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้มด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ไม่มีทาง นอกเสียจาก…เขาไม่ต้องการชีวิตของเฟิ่งจือเหยาแล้ว”
เสนาบดีหลิ่วยิ้มเยาะ “เจ้าไปพบเขาเพราะคิดอยากทำสิ่งใด หวังจะให้เขาขอเจ้าเป็นภรรยา? อย่าบอกข้าว่า เจ้าไม่รู้ว่าติ้งอ๋องรักใคร่ชายาติ้งอ๋องอย่างลึกซึ้ง ตลอดหลายปีมานี้ ข้างกายเขาก็มีชายาติ้งอ๋องเพียงคนเดียวมาตลอด เจ้าคิดว่าติ้งอ๋องจะทำเรื่องที่ผิดต่อภรรยาตนเองเพื่อเฟิ่งซานเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
มิใช่เพียงเช่นนี้ เสนาบดีหลิ่วเองก็เป็นบุรุษ หากเอ่ยจากมุมของบุรุษคนหนึ่งแล้ว ย่อมไม่มีทางทอดทิ้งชายาติ้งอ๋องที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถที่เป็นเลิศ ทั้งยังเป็นภรรยาที่ผูกเส้นผมร่วมลงเรือลำเดียวกันมาแล้ว ไปชอบพอสตรีที่เคยแต่งงานแล้วและเคยมีบุตรกับผู้อื่นมาแล้วอย่างแน่นอน ถึงแม้สตรีนางนั้นจะงดงามประหนึ่งเทพเซียนก็ตาม การทอดทิ้งภรรยาที่แบ่งเบาภาระได้ไปเพื่อสตรีที่มีเพียงความงามอย่างเดียวนั้น เป็นวิธีการของคนชั้นต่ำ
เสนาบดีหลิ่วมิใช่คนดี แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนชั้นต่ำ เรื่องที่แม้แต่เขาเองก็ยังดูหมิ่นที่จะทำ ติ้งอ๋องจะไปทำได้อย่างไร
หลิ่วกุ้ยเฟยมองเสนาบดีหลิ่วด้วยสายตาประหลาด พลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ท่านไม่มีทางมองไม่ออกว่า ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่หรือม่อจิ่งหลี ก็ล้วนห่างชั้นกับติ้งอ๋องทั้งสิ้น ขอเพียงม่อซิวเหยาคิดจะทำ สิ่งที่เขาจะได้ย่อมไม่มีทางเล็กไปกว่าต้าฉู่ หากลองเป็นข้าก็แล้วกัน ตระกูลหลิ่วย่อมได้ดีไปด้วย เหตุใดท่านถึงยังต้องต่อต้าน”
เสนาบดีหลิ่วได้แต่ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนในใจ และก็เป็นอีกครั้งที่นึกมั่นใจว่า การอบรมสั่งสอนบุตรสาวคนนี้ถือว่าล้มเหลวอย่างหนัก ดูท่า…คงถึงเวลาที่ต้องปล่อยไปเสียแล้ว ยังโชคดี ที่เขายังมีหลานสาวอยู่สองคน ที่ใกล้จะถึงวัยออกเรือน เรื่องความงามและความสามารถถึงแม้จะด้อยกว่าบุตรสาวผู้นี้อยู่บ้าง แต่ก็ยังถือได้ว่าดีงาม
ทางด้านหลีอ๋องกับฉินอ๋องนั่นล้วนต้องถ่วงดุลอย่างระมัดระวัง ส่วนติ้งอ๋อง…ขอโทษด้วย เสนาบดีหลิ่วไม่เคยไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ที่จะพึ่งพาอาศัยติ้งอ๋องมาก่อน มิใช่เพียงเพราะเรื่องขัดแย้งระหว่างตระกูลหลิ่วกับตำหนักติ้งอ๋องในช่วงปีนั้น แต่เป็นเพราะวิธีการของม่อซิวเหยาแตกต่างกับตระกูลหลิ่วโดยสิ้นเชิง ต่อให้ติ้งอ๋องรับตัวหลิ่วกุ้ยเฟยไปจริงๆ ตระกูลหลิ่วก็ไม่มีทางได้ประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เขาโบกมืออย่างหมดแรง เสนาบดีหลิ่วเอ่ยเรียบๆ ว่า “เอาเถิด ในเมื่อข้าพูดแล้วเจ้าฟังไม่เข้าหู ก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน เพียงแต่…ข้าหวังแค่ว่าเจ้าจะไม่ทำให้ตระกูลหลิ่วต้องเดือดร้อนไปด้วย ต่อไป…เจ้าไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสนมของอดีตฮ่องเต้ การออกมานอกวังบ่อยๆ มิใช่เรื่องที่เหมาะสม”
หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไป มองเสนาบดีหลิ่วด้วยความไม่เข้าใจ หลายปีที่ผ่านมา ท่านพ่อของนางไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้เอ่ยกับนางมาก่อน น้ำเสียงนั้นไม่ถึงกับโกรธหรือเย็นชา แต่ฟังดูสิ้นหวังและห่างเหิน สัญชาตญาณของหลิ่วกุ้ยเฟยไม่ชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย
“ท่านพ่อ…”
“พอแล้ว เจ้าไปเถิด ใช่สิ ข้าคิดจะยกเสียนเอ๋อร์ให้หลีอ๋องไปเป็นชายารอง” เสนาบดีหลิ่วเอ่ยความคิดของตนออกมา
หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ค่อยๆ เดินออกไป
นางไม่โง่ ย่อมรู้ว่าที่ท่านพ่อทำเช่นนี้หมายความเช่นไร นี่หมายความว่า ตระกูลหลิ่วเตรียมจะย้ายหมากไปไว้ฝั่งหลีอ๋อง ตระกูลหลิ่วคิดที่จะทอดทิ้งตนและฉินอ๋องแล้ว อย่างน้อยต่อไปนี้ ฉินอ๋องสำหรับตระกูลหลิ่วแล้ว ก็จะมิใช่คนที่สำคัญที่สุดอีก
ตลอดชีวิตนางนี้ นอกจากเรื่องม่อซิวเหยาที่ไม่ได้อย่างใจแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาหลิ่วกุ้ยเฟยก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการมาตลอด นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในวันหนึ่งนางจะกลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้ง
ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…เหตุใดท่านถึงไม่อาจเข้าใจข้า ข้าทำเพื่อความสุขของตัวข้านะ หรือนั่นมีอันใดไม่ถูกต้องหรือ ท่านพ่อ ในเมื่อท่านไร้ความเมตตา ก็อย่าหาว่าข้าไร้คุณธรรมก็แล้วกัน
หลิ่วกุ้ยเฟยหันกลับไปมองเสนาบดีหลิ่วที่นั่งก้มหน้าใช้ความคิดอยู่ในห้องหนังสือ บนใบหน้าฉายแววโกรธเกลียด ก่อนจะก้าวออกไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง