ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 288-1 กุ้ยเฟยตกที่นั่งลำบาก
พอหลิ่วกุ้ยเฟยกลับมาถึงตำหนักตนเอง ก็พบว่าในตำหนักของตนที่ควรจะว่างเปล่าไร้ผู้คน กลับมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่ไทเฮาไปจนถึงเหล่านางสนมในวัง ทุกคนล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายไทเฮาก็คือหลี่ซื่อ ที่ตอนนี้ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับองค์ชายสิบทำให้ทุกคนต่างพากันเรียกขานนางว่าหลี่เหนียงเหนี่ยงและได้รับการปฎิบัติราวกับเป็นฮองเฮา คนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของไทเฮาก็คือเจิ้นเสียนเฟย มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายหก
เพียงก้าวเข้าไปในตำหนัก เจิ้นเสียนเฟยก็ถลึงตาดุใส่นางทีหนึ่ง บนใบหน้าที่ไม่ถือว่าสาวแล้ว เต็มไปด้วยการรอชมความเดือดร้อนของผู้อื่น
หลิ่วกุ้ยเฟยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เกิดความรู้สึกไม่สู้ดีขึ้นในใจ
“ไทเฮา ท่านพาคนจำนวนมากเช่นนี้มาที่ตำหนักของข้า หมายความเช่นไร” หลิ่วกุ้ยเฟยเชิดคางขึ้นอย่างถือดี พลางจ้องหน้าไทเฮา
ไทเฮาหัวเราะเยาะทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้ายังต้องถามเจ้า พระศพของฮ่องเต้ยังไม่ทันเย็นเลย เจ้าที่มีฐานะเป็นสนมกลับไม่อยู่ในวังเพื่อแสดงความกตัญญู หายไปที่ใดมาเสีย”
เจิ้นเสียนเฟยที่นั่งอยู่ข้างไทเฮา จ้องหน้าหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนแววตาจะเปลี่ยนไป ร้องขึ้นว่าตายจริงด้วยความตกใจ “ไทเฮา พี่สาวกุ้ยเฟยดูเหมือนจะบาดเจ็บด้วยนะเพคะ ดูสิ…แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังขาดวิ่นไปหมด”
สายตาทุกคู่ต่างหันมองไปยังร่างของหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นตาเดียว หลิ่วกุ้ยเฟยกระชับเสื้อคลุมที่คลุมอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เดิมทีนางควรจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามา แต่นี่นางได้ตัดขาดกับจวนเสนาบดีหลิ่วแล้ว ด้วยความถือดีของหลิ่วกุ้ยเฟยย่อมไม่อาจกลับไปยังจวนเสนาบดีได้อีก ส่วนที่ตำหนักหลีอ๋องก็ไม่มีทางหยิบยื่นเสื้อผ้าในนาง และหลิ่วกุ้ยเฟยย่อมไม่ถูกใจเสื้อผ้าของชาวบ้านร้านตลาดหรือสาวใช้พวกนั้น ดังนั้นจึงแค่เพียงหาเสื้อคลุมมาห่มทับรอยเลือดแล้วตรงกลับมาเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมาถูกขวางไว้ตั้งแต่ที่ตำหนักกลางเช่นนี้
บนใบหน้าชราของไทเฮามีรอยยิ้มมาดร้ายอย่างยินดีวาบผ่าน ยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “เจ้าไปทำอันใดที่ใดมากันแน่ ยังไม่รีบพูดความจริงออกมาอีก!”
ทุกคน ณ ที่นั้นเห็นว่า บนใบหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยดูมีแววประหลาดขึ้นหลายส่วน สตรีเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในวังมากว่าครึ่งชีวิต การเหยีบหัวผู้อื่นกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียนานแล้ว กับหลิ่วกุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานมาตลอดหลายสิบปีประหนึ่งเพียงวันเดียวนั้น ย่อมนึกโกรธแค้นอยู่ในใจ หากม่อจิ่งฉียังมีชีวิตอยู่และหลิ่วกุ้ยเฟยยังเป็นที่โปรดปราน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าว่าอันใด แต่เมื่อใดก็ตามที่หลิ่วกุ้ยเฟยพลาดตกบ่อ คนที่จะโยนหินตามลงไปย่อมมีมากกว่าคนทั่วไปมากนัก สตรีที่สามียังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แต่กลับลอบหนีออกจากวังไป ทั้งยังกลับมาด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ย คราบเลือดเต็มตัว ในหัวทุกคนจึงเกิดเป็นภาพที่ต่างคนต่างจิตนาการกันไป
หลิ่วกุ้ยเฟยปรายตามองสตรีเหล่านั้นด้วยความดูแคลน นางย่อมรู้ดีว่า สตรีเหล่านั้นกำลังคิดถึงสิ่งใด นางหัวเหราะเสียงเย็นทีหนึ่ง เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับไทเฮาว่า “ข้าจะทำอันใดก็ไม่เกี่ยวกับไทเฮา”
“แพศยา!” ไทเฮาด่าทอขึ้นด้วยความโกรธ “ข้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดอดีตฮ่องเต้ เป็นย่าแท้ๆ ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เจ้าลองบอกสิว่าข้าจะยุ่งเรื่องของเจ้าได้หรือไม่ คนแพศยาอย่างเจ้ายุยงให้อดีตฮ่องเต้กับหลีอ๋องที่เป็นพี่น้องต้องแตกคอกัน บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างเราแม่ลูก เจ้าคิดว่ายามนี้ยังมีผู้ใดให้ท้ายเจ้าอีกหรือ พระศพอดีตฮ่องเต้ยังไม่ทันเย็น แต่นังแพศยาอย่างเจ้าทนความเงียบเหงาไม่ไหวจนต้องแจ้นไปถึงตำหนักติ้งอ๋อง ช่าง…ช่างไร้ยางอายสิ้นดี! ทำให้เกียรติของเชื้อพระวงศ์ต้องเสื่อมเสียจนหมดสิ้น!”
ไทเฮาด่าทอนางไป พลางจ้องหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยความเคียดแค้น หากมิใช่เพราะในคราแรก ม่อจิ่งฉีโปรดปรานแต่หลิ่วกุ้ยเฟย จนแม้แต่แม่แท้ๆ อย่างนางยังกล้าจาบจ้วง นางจะหันไปปลุกปั้นบุตรชายคนเล็กของนางได้อย่างไร มิใช่เพราะกลัวว่าบุตรชายคนโตจะหลงนักแพศยาคนนี้จนไม่เหลือที่ในวังให้นางยืนหรอกหรือ หากมิใช่เพราะนังแพศยาคนนี้ พวกเขาแม่ลูกพี่น้อง จะมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร
มุมปากหลิ่วกุ้ยเฟยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นอย่างส่อเสียด “ตนเองสั่งสอนบุตรไม่ได้ความ จะมาโทษข้าได้หรือ”
“นังแพศยา…หากวันนี้ข้าไม่สั่งสอนเจ้า เจ้าก็คงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นอันใด!” ไทเฮายิ้มเย็น
ดวงตาหงส์ของหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นประกาย “เจ้ากล้าทำอันใดข้าหรือ!”
ไทเฮาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าลองดูก็แล้วกันว่าข้ากล้าหรือไม่! ใครก็ได้ มาลากนังแพศยาไร้ยางอายผู้นี้ออกไปโบยสามสิบไม้! ให้ทุกคนได้เห็น คนที่ไร้ยางอายจะต้องมีจุดจบเช่นนี้ อีกอย่าง ลดขั้นหลิ่วกุ้ยเฟยลงเป็นกุ้ยเหริน!”
“ท่านกล้า! ใครก็ได้” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเข้มขึ้น
คนไว้ใจของตนที่เดิมควรอยู่ในตำหนักกลับไม่มีการส่งเสียงตอบรับออกมา
ไทเฮาส่งยิ้มให้นางอย่างได้ใจ ขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักเดินเข้ามาแล้ว เตรียมจะจับตัวนางออกไป
หลิ่วกุ้ยเฟยขัดขืนพลางเอ่ยว่า “ยัยแก่! เจ้ากล้าทำอันใดข้าหรือ ข้าไม่มีทางละเว้นเจ้า!”
ไทเฮาไม่แม้แต่จะเห็นคำขู่ของนางอยู่ในสายตา “ตระกูลหลิ่วละทิ้งเจ้าแล้ว เจ้าจะเอาอันใดมาไม่ละเว้นข้า อีกอย่าง…เจ้าคิดว่ายามนี้ข้ายังจะเกรงกลัวตระกูลหลิ่วอีกหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไป มองสีหน้าไทเฮาที่ถือไพ่เหนือกว่า ไม่เหลือเค้าความร้อนรนอย่างเช่นหลายวันก่อนอีก ในใจนึกรู้ว่าไทเฮาคงได้หมากอันใดมาไว้ในมือแล้ว หากมิใช่เช่นนั้น ไทเฮาคงไม่กล้าทำเรื่องที่ไม่เกรงใจนางเช่นนี้ “เจ้ากล้าทำอันใดข้า…”
“ลากออกไป! โบย!” ไทเฮาเอ่ย
ไม่นาน ด้านนอกตำหนักก็มีเสียงดังปักๆ จากการโบยลอยเข้ามาให้ได้ยิน เมื่ออยู่ในตำหนักที่เงียบสงัดจึงได้ยินอย่างชัดเจนเป็นพิเศษ
นางสนมที่ขวัญอ่อนในตำหนัก พากันหน้าขาวซีดไปหมดแล้ว ไทเฮายังคงจิบชาเรื่อยๆ ฟังเสียงไม้กระทบเนื้อต่อไปอย่างสงบ นัยน์ตาฉายแววสะใจ
“ไทเฮา…ควร…” หลี่ซื่อหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นเทามองไทเฮาด้วยความลังเล
ไทเฮาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่อไปเจ้าก็เป็นคนของข้า เรียนรู้และดูเอาไว้ให้มาก คนบางคนหากไม่จัดการ ก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่รู้ว่าตนเองแซ่อะไร”
หลี่ซื่อขยับปาก แต่ในที่สุดก็ได้แต่พยักหน้าพลางเอ่ยรับเสียงเบา “เพคะ ไทเฮา”
ไทเฮาถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ
เดิมทีทั่วกายหลิ่วกุ้ยเฟยก็มีแต่บาดแผลอยู่แล้ว ครานี้เมื่อโดนโบยอีก ยังไม่ทันถึงสามสิบไม้ดี ก็หมดสติไปก่อน แต่ความแค้นที่ไทเฮามีต่อหลิ่วกุ้ยเฟยเรียกได้ว่าสั่งสมมานาน มีหรือจะปล่อยนางไปง่ายๆ จึงสั่งให้เอาน้ำราดให้นางได้สติและสั่งให้โบยต่อไปโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา เมื่อโบยจนใกล้ครบสามสิบที หลิ่วกุ้ยเฟยที่เจ็บปวดจนหมดสติไปหลายรอบ ก็แทบอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ จนเมื่อไม้สุดท้ายโบยลงถูกตัว ในที่สุดหลิ่วกุ้ยเฟยก็เข้าสู่ห้วงแห่งความมืดมิดทันที
ในตำหนักจางเต๋อ ไทเฮาสั่งให้คนที่คอยรับใช้ข้างกายถอยออกไป ส่วนตนก้าวเข้าไปในตำหนักบรรทมแต่เพียงผู้เดียว ยามนี้ ภายในตำหนักบรรทมที่หรูหราเหลืองอร่ามตัดกับสีของอัญมณี มีนางกำนัลหน้าตาธรรมดาๆ ที่หากจับโยนเข้าไปในฝูงชนแล้วก็จะไม่เป็นที่สังเกตนางหนึ่งนั่งอยู่ สตรีนางนั้นเมื่อเห็นไทเฮาเดินเข้ามา กลับไม่แม้แต่จะตกใจหรือคิดที่จะลุกยืนขึ้น นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ข้ารู้หมดแล้ว เชื่อว่าท่านอ๋องคงจะพอใจเป็นอย่างมาก”
ไทเฮาหรุบตาลง ดูระวังตัวไม่เหมือนกับเป็นมารดาแห่งชนทั้งแคว้น เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เช่นนั้น…ติ้งอ๋องรับปาก?”
นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไทเฮาโปรดวางใจ ท่านอ๋องของพวกเราถึงแม้จะมีความแค้นกับม่อจิ่งฉี แต่ผู้ใดทำก็เป็นเรื่องของผู้นั้น ท่านตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำให้ไทเฮาต้องลำบาก ขอเพียงไทเฮาทำเรื่องที่ท่านอ๋องสั่งให้เรียบร้อย มิใช่เพียงเรื่องร่วมฝังเท่านั้น ที่สามารถแก้ไขได้ แม้แต่อิทธิพลที่เคยเป็นของฮองเฮา ก็สามารถยกให้ท่านด้วยได้เช่นกัน ถึงยามนั้น…ท่านก็จะสามารถควบคุมเรื่องในวังทั้งหมดไว้ได้ ถึงยามนั้นแล้วไทเฮายังจะต้องกลัวอันใดอีก”
ถึงแม้รูปลักษณ์นางจะดูธรรมดาๆ แต่สีหน้าและน้ำเสียงของนางกำนัลผู้นั้นกลับมีพลังแรงแห่งการโน้มน้าวใจ โดยเฉพาะอิทธิพลในมือของฮองเฮา ที่ไทเฮาเฝ้าหวังอยากจะได้มาโดยตลอด ยามนี้หากสามารถได้มาโดยง่าย ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเสียยิ่งกว่าอันใด
“เจ้าบอกให้ติ้งอ๋องวางใจเถิด เรื่องหลิ่วกุ้ยเฟย ข้าย่อมจัดการให้เขาอย่างดี ต่อให้หลีเอ๋อร์…คิดอยากรักษานางไว้ ข้าก็สามารถทำให้นางตายไปอย่างไร้ซุ่มเสียงได้!” เมื่อพูดถึงจุดนี้ นัยน์ตาไทเฮายังมีประกายสังหารแผ่ออกมาอีกด้วย
นางไม่เข้าใจ บุตรชายที่นางให้กำเนิดมา กลับไม่ยอมช่วยมารดาแท้ๆ ของตน แต่กลับช่วงนังแพศยาที่ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย หรือว่านังหลิ่วกุ้ยเฟยนั่นจะเป็นนังจิ้งจอกจริงๆ ทำให้บุตรชายคนโตของนางหลงใหลยังไม่พอ ยามนี้ยังคิดจะยั่วยวนให้บุตรชายคนเล็กของนางหลงใหลไปด้วยอีก
นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยพลางยิ้มว่า “หวังว่าไทเฮาจะทำสำเร็จ อีกอย่าง เรื่องของฮองเฮา…”
“ไว้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว ข้าจะให้คนประกาศออกไปว่า ฮองเฮาด้วยเพราะอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนย์จึงตรอมใจจนเสียชีวิต” ไทเฮาเอ่ยยืนยัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางกำลังผู้นั้นยิ่งดูพอใจขึ้นไปอีก ลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนี้ บ่าวก็ไม่ขอรบกวนไทเฮาแล้ว อีกอย่าง ท่านอ๋องของพวกเราให้บ่าวมาเอ่ยเตือนไทเฮาว่า หากไทเฮาต้องการให้ตนเองมีชีวิตที่สงบสุข ก็ต้องรักษาชีวิตของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ไว้ให้จงได้ เพราะถึงอย่างไร…หลีอ๋องก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว คงจะไม่ชอบให้คนมาชี้นิ้วสั่งการเช่นเดียวกับอดีตฮ่องเต้”
หากเป็นก่อนหน้านี้ ไทเฮาอาจไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่เมื่อได้ประสบพบเจอกับความเย็นชาไร้เยื่อใยของบุตรายแล้ว ไทเฮาก็รับรู้ได้อย่างลึกซึ้งว่า ที่ม่อซิวเหยาพูดนั้นไม่ผิด นางจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”
“เช่นนั้น บ่าวทูลลาก่อน” นางกำนัลผู้นั้นหันไปโค้งคารวะตามธรรมเนียมให้กับไทเฮา ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
ภายในตำหนักบรรทม ไทเฮานั่งมองเตากำยานที่ฉลุเป็นลวดลายดอกไม้อย่างประณีตงดงามตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ครู่ใหญ่ถึงได้หัวเราะเสียงเย็นออกมา ต่อให้นางร่วมมือกับม่อซิวเหยาแล้วอย่างไร นางเพียงต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตที่สูงส่งและสะดวกสบายต่อไป! เพื่อสิ่งนี้ จะให้นางทำอันใดนางก็ยินดี!
ภายในตำหนักที่เย็นเยียบ หลิ่วกุ้ยเฟยรู้สึกตัวขึ้นจากการสลบไสล ความเจ็บปวดทั่วร่างกายทำให้นางอดร้องโอดโอยขึ้นมาไม่ได้ นางยังควอยู่ในชุดขาดๆ เต็มไปด้วยรอยเลือดตัวเดียวกับยามที่กลับมา ข้างกายมิได้มีนางกำนัลและขันทีกลุ่มใหญ่คอยอยู่รับใช้อีก
นางฝืนกายที่มีแต่ความเจ็บปวดลุกขึ้นนั่ง ถึงได้รู้สึกตัวว่า ตนมิได้อยู่ในตำหนักที่โอ่อ่าหรูหราสอาดสะอ้านเช่นแต่ก่อน แต่กลับมานอนอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มีฝุ่นเกาะหนากับเครื่องเรือนเก่าๆ ผุๆ ห้องที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งช่วยทำให้ความโชคร้ายที่มีอยู่เดิมหายไป แต่ลมเย็นอ่อนๆ ที่พัดพาเข้ามา ก็ทำให้นางหนาวสั่นเช่นกัน นางถูกความหนาวเหน็บปลุกให้ตื่น
ยามนี้เข้าสู่ยามสามแล้ว ลมเย็นพัดเข้ามาจนทำให้นางตัวสั่นเทิ้ม นางขยับร่างกายคิดอยากลงจากเตียง แต่ความเจ็บจากทางด้านหลังก็ทำให้นางต้องทิ้งตัวกลับลงบนเตียงอีกครั้ง เสื้อผ้าที่อยู่ติดกายมิอาจใช้คำว่ารอยเลือดมาอธิบายได้อีกแล้ว แต่บนเสื้อผ้ากว่าครึ่งตัวเต็มไปด้วยหยาดเลือดที่ย้อมชุดสีขาวราวหิมะให้กลายเป็นสีแดงเข้ม มองดูแล้ว ทำให้รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว
เมื่อคิดถึงการดูหมิ่นที่ตนได้รับต่อหน้าทุกคนเมื่อยามกลางวัน ก็ทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยกำฟูกที่อยู่ด้านล่างแน่นจนได้ยินเสียงเล็บหัก แม้แต่ผ่ามือก็มีรอยเลือดไหลออกมา แต่นางกลับดูไม่รู้สึกอันใดเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าที่งดงามดูดุร้ายและบิดเบี้ยว นางกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร! ยัยแก่นั่นกล้าทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร!
แล้วนังแพศยาพวกนั้นอีก! นังแพศยาที่พอเห็นคนตกบ่อก็รีบโยนหินตามลงมาพวกนั้น! นางต้องการให้พวกมันทุกคนไม่ได้ตายดี!