ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 288-2 กุ้ยเฟยตกที่นั่งลำบาก
แอ๊ด…เสียประตูที่ผุๆ เก่าๆ ดังขึ้น หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นมอง ก็เป็นว่าเป็นเด็กน้อยอายุประมาณสิบกว่าปีคนหนึ่งกำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าตื่นกลัว เมื่อเป็นสภาพที่นางนอนอยู่บนเตียงอย่างน่าเวทนา น้ำตาก็ไกลลงมาทันที “เสด็จแม่…เสด็จแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เด็กน้อยรีบพุ่งเข้ามาในห้อง เดินเข้าไปข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟย แต่เมื่อเห็นหยาดเลือดที่ไหลอยู่เต็มกาย ก็ไม่กล้าเอามือไปแตะนาง
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวมองตนด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี หลิ่วกุ้ยเฟยก็หรี่ตาลง เอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ที่นี่ที่ไหน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
องค์หญิงเจินหนิงร้องฮือๆ พลางเอ่ยว่า “ที่นี่คือตำหนักชิวเหลียง เสด็จย่าไม่อนุญาตให้เจินหนิงกับน้องชายมาเยี่ยมเสด็จแม่ ดังนั้นเจินหนิงถึงได้มาในยามนี้…เสด็จแม่ท่านคงหิวแล้วกระมัง…”
องค์หญิงเจินหนิงค่อยๆ หยิบของที่ห่อด้วยผ้าไหมจากในแขนเสื้อมาเปิดออก ข้างในมีขนมที่หน้าตาประณีตงดงามอยู่จำนวนหนึ่ง พร้อมส่งเข้าไปตรงหน้าหลิ่วกุ้ยเฟย
“เพียะ!” หลิ่วกุ้ยเฟยยกมือปัดขนมเหล่านั้นจนตกพื้น เอ่ยกับองค์หญิงเจินหนิงด้วยสายตาเย็นเยียบว่า “นังโง่!เจ้าเอาของเละๆ เทะๆ พวกนี้มาจะมีประโยชน์อันใด เจ้ารีบไปเรียกท่านตากับน้องชายของเจ้าเข้าวังมาช่วยข้าออกไปสิ! อีกอย่าง อย่าไปเรียกนังแม่มดเฒ่านั่นว่าเสด็จย่าอีก!”
องค์หญิงเจินหนิงอึ้งไป นัยน์ตาเป็นประกายแห่งความเจ็บปวด ค่อยๆ ก้มหน้าลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านตา…ท่านตากับน้องชายไม่ยอมเข้าวัง ท่านตาบอกว่า…เสด็จแม่ไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินเข้า ตระกูลหลิ่ว ตระกูลหลิ่วไม่อาจนำภัยเข้าตระกูลเพื่อเสด็จแม่ได้ น้องชาย…น้องชายก็ไม่ยอมมาพบท่านแม่ และไม่ยอมให้น้องรองมาพบเช่นกัน…” นางอยู่แต่ในวังมาตลอด จึงไม่รู้ว่าเสด็จแม่ไปทำเรื่องอันใดไว้บ้าง เหตุใดท่านตากับน้องชายถึงไม่ยอมมาสนใจเสด็จแม่ แต่นางก็เกลี้ยกล่อมอันใดท่านตากับน้องชายไม่ได้ ถึงได้ลอบเดินออกมาคนเดียวกว่าครึ่งค่อนวังกลางดึกเช่นนี้ แต่เสด็จแม่กลับ…
หลิ่วกุ้ยเฟยสีหน้าบึ้งตึงและบิดเบี้ยวอย่างประหลาด เมื่ออยู่ภายในแสงสลัวจากเปลวเทียนยิ่งทำให้ดูประหนึ่งภูตผี จนองค์หญิงเจินหนิงอดก้าวถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความตกใจกลัวไม่ได้
“เสด็จ…เสด็จแม่ ท่านไปล่วงเกินผู้ใดเข้ากันแน่ ท่านบอกลูก ลูกจะไปขอร้องท่านตากับเสด็จอาหลีอ๋อง ลูกจะไปขอร้องเสด็จย่า…”
หลิ่วกุ้ยเฟยนอนหลับตาอยู่บนเตียง นางไปล่วงเกินผู้ใดเข้า มีชื่อหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในหัว ทุกวันนี้ในเมืองหลวง นอกจากม่อจิ่งหลีก็มีเพียงคนเดียวที่กล้าทำกับนางเช่นนี้ แต่ยามนี้ม่อจิ่งหลียังไม่อาจแตะต้องนางได้ เช่นนั้นก็มีเพียง…เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในการคาดเดาของตน หลิ่วกุ้ยเฟยก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นที่หัวใจ แค่เพียงเพราะนางด่าว่าเยี่ยหลีเพียงประโยคเดียว เขาก็ทำกับนางถึงเพียงนี้ จนถึงขั้นยอมที่จะช่วยเหลือไทเฮา หากมิใช่เพราะมีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นังแก่ที่แทบจะหักหน้ากับหลีอ๋องไปจนสิ้นแล้ว จะกล้าทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร!
ม่อซิวเหยา! เจ้าช่างโหดเหี้ยม…
“เสด็จแม่…”
หลิ่วกุ้ยเฟยสูดหายใจเข้าทีหนึ่ง หรุบตาลงเอ่ยเรียบๆ ว่า “แม่อารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าเก็บขนมขึ้นมาให้แม่เถิด”
องค์หญิงเจินหนิงอึ้งไป รีบเก็บขนมเหล่านั้นที่ยังนับว่าสะอาดขึ้นมาส่งไปให้หลิ่วกุ้ยเฟย ทั้งยังหยิบผลไม้อีกลูกหนึ่งจากแขนเสื้อขึ้นมาส่งให้ด้วย “เสด็จแม่ ท่านค่อยๆ กิน พรุ่งนี้ข้าจะนำมาให้ท่านอีก เจินหนิงจะไปหาท่านตากับน้องชาย จะให้พวกเขารีบมาช่วยท่านออกไป”
“แม่รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ
เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเสด็จแม่เอ่ยชมนาง ใบหน้าเรียวเล็กขององค์หญิงเจินหนิงจึงเผยให้เห็นรอยยิ้มขัดเขิน “เช่นนั้น…ข้าไปก่อน เสด็จแม่พักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้เจินหนิงจะมาเยี่ยมท่านใหม่”
“ติดยาทาแผลมาด้วยล่ะ” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเตือน นางไม่พอใจบุตรสาวที่โง่เขลาของนางสักเท่าไร ทั้งๆ ที่รู้ว่านางได้รับบาดเจ็บ แต่กลับนำมาเพียงขนมที่ไร้ประโยชน์
“อื้อ! ลูกรู้แล้ว” องค์หญิงเจินหนิงเหลือบมองบาดแผลบนตัวหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยความหงุดหงิด นางตื่นเต้นจนเกินไป นางไม่เคยไปไหนมาไหนดึกๆ คนเดียวมาก่อน ถึงได้ลืมพกยาทาแผลติดมาให้เสด็จแม่ด้วย รีบกลับไปแล้วรีบกลับมาอีกครั้งก็แล้วกัน เสด็จแม่บาดแผลฉกรรจ์นัก
ในวังลึกที่เงียบสงบ เด็กสาวที่อายุสิบสามสิบสี่ปีเดินเล็ดลอดไปตามทางเดินเล็กๆ ศาลาที่โอ่อ่าหรูหราและภูเขาจำลองที่เป็นหินประหลาดสวยงามในยามกลางวัน เมื่อมาอยู่ในยามกลางคืนกลับเปลี่ยนไป ดูน่ากลัวประหนึ่งปีศาจร้าย
ในที่สุด เมื่อเด็กสาวกลับมาถึงวังที่ตนพักอาศัยอยู่แล้ว ถึงได้ระบายลมหายใจออกมา แต่จู่ๆ ก็มีมือยื่นมาสกิดไหล่นางจากทางด้านหลัง นางตกใจจนร้องตะโกนออกมา
“ข้าเอง!” เป็นน้ำเสียงต่ำๆ ของบุรุษที่ยังมีความใสของวัยหนุ่ม แต่กลับฟังดูนุ่มลึกประหนึ่งน้ำเสียงของผู้ใหญ่
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย องค์หญิงเจินหนิงก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตน และเอามือจับหน้าอกที่ใจเต้นตึกตัก พลางหมุนตัวหันไปมองน้องชาย “เสี้ยวเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” ผู้ที่มาก็คือบุตรชายคนโตของหลิ่วกุ้ยเฟย ม่อเสี้ยวอวิ๋น ที่ถูกลดขั้นจากรัชทายาทลงมาเป็นฉินอ๋องนั่นเอง
ฉินอ๋องขมวดคิ้วมองพี่สาว เอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้าไปเยี่ยมนางมาหรือ!”
องค์หญิงเจินหนิงมีความเกรงกลัวต่อน้องชายที่ตนเลี้ยงดูมาผู้นี้อยู่บ้าง มือกำชายแขนเสื้อแน่นพลางเอ่ยอย่างไม่สบายใจว่า “เสี้ยวเอ๋อร์ นั่นเป็นเสด็จแม่ มารดาผู้ให้กำเนิดพวกเรานะ”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นส่งเสียงหึเบาๆ “ผู้ให้กำเนิด? นางเห็นพวกเราเป็นบุตรแท้ๆ ที่ใดกัน ยามนี้เจ้าอยู่ในวัง สถานการณ์เป็นเช่นไรเจ้ารู้หรือไม่ หากนางทำให้เจ้ากับน้องเล็กเดือดร้อน…” กับพี่สาวที่คอยดูแลตนมาตั้งแต่เล็กๆ ผู้นี้ ฉินอ๋องรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก
หลิ่วกุ้ยเฟยมีท่าทีเย็นชากับบุตรชายและบุตรสาวที่ตนให้กำเนิดมาตั้งแต่เล็กๆ โดยมากมักเป็นองค์หญิงเจินหนิงที่โตกว่าเขาสองปีเป็นคนดูแลพวกเขาพี่น้องมาโดยตลอด ยามนี้ตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฉินอ๋องจึงจำต้องย้ายออกไปอยู่นอกวัง น้องชายอายุแปดขวบที่อยู่ในวัง จึงยังต้องให้เจินหนิงคอยดูแล
“หรือว่า…หรือว่าจะช่วยนางไม่ได้จริงๆ หรือ” องค์หญิงเจินหนิงเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
ม่อเสี้ยวอวิ๋นยิ้มเยาะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปทำอันใดมา”
“อันใดกัน” องค์หญิงเจินหนิงอึ้งไป สัญชาตญาณนางบอกว่า เสด็จแม่ไม่มีทางไปทำอันใดที่ไม่อาจให้อภัยได้แน่นอน
ม่อเสี้ยวอวิ๋นเอ่ยเรียบๆ ว่า “นางไปที่ตำหนักติ้งอ๋อง ข่มขู่ติ้งอ๋องให้แต่งนางเป็นสนม ทั้งยังพูดจาดูหมิ่นชายาติ้งอ๋อง หากนางแต่งงานไปกับติ้งอ๋องจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นชายาร่วมหรือชายารอง พวกเราพี่น้องจะทำอย่างไร พี่เคยคิดหรือไม่”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเสนาบดีหลิ่วมาตั้งแต่เล็กๆ มิใช่คนโง่ เมื่อคิดถึงว่าพอติ้งอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวงได้ไม่เท่าไร เสด็จแม่ก็รีบร้อนออกจากวัง หลังจากนั้นเสด็จพ่อก็เลื่อนตำแหน่งองค์ชายและนางสนมอีกหลายคน ก็รู้ว่าสิ่งที่หลิ่วกุ้ยเฟยคิดจะทำ เกรงว่าคงไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากเสด็จพ่อสวรรคตเป็นแน่
เดิมทีเขายังนึกไม่เชื่อ แต่เขาเห็นกับตาว่าเสด็จแม่ที่งดงามและเย่อหยิ่งของตน ถูกคนของตำหนักติ้งอ๋องจับโยนออกมาด้วยสภาพเช่นไร แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมตัดใจ ยามนั้นในใจของเขาก็เย็นวาบขึ้นทันที
ท่านตาพูดไว้ไม่ผิด เสด็จแม่ไม่เคยเห็นพวกเขาพี่น้องอยู่ในสายตามาก่อน เพื่อตนเองและเพื่อพี่สาวและน้องชาย เขาไม่อาจมีความสัมพันธ์ใดๆ กับนางได้อีก
“เป็นเช่นนั้น…เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” องค์หญิงเจินหนิงเบิกตาโพลงด้วยความนิ่งอึ้ง
นางใช้ชีวิตอยู่ในวังมาตั้งแต่เล็กๆ สิ่งที่เรียนรู้มีเพียงคุณสมบัติและกฎระเบียบของสตรีที่หมัวมัวในวังสอนให้เท่านั้น สิ่งที่จดจำอยู่ในใจมีเพียงธรรมเนียมในการปฏิบัติตัวของสตรี แต่ไม่ว่าจะเป็นข้อใด สิ่งที่เสด็จแม่กระทำล้วนเป็นสิ่งที่คนทั้งใต้หล้านึกรังเกียจทั้งสิ้น
ม่อเสี้ยวอวิ๋นมองนางพลางเอ่ยว่า “เข้าใจหรือยัง หากเข้าใจแล้วก็อย่าได้ไปหานางอีก”
“แต่ว่า…หากไม่ไปนางจะ…” นางจะตายนะ…ต่อให้องค์หญิงเจินหนิงไม่ประสาเรื่องทางโลกเพียงใด แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในวังแห่งนี้ที่อาบไปด้วยสีแดง ย่อมรู้ดีว่าสตรีที่ถูกขับไปอยู่วังเย็นจะมีจุดจบเช่นไร อีกอย่างเสด็จแม่ยังบาดเจ็บอยู่อีกด้วย
เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาที่แน่วแน่ของน้องชาย ในที่สุดองค์หญิงเจินหนิงก็จำต้องก้มหน้าพร้อมเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาประหนึ่งแมลงวันว่า “ข้ารู้แล้ว…”
เมื่อเห็นว่านางรับปากแล้ว ม่อเสี้ยวอวิ๋นถึงได้เบาใจ รู้ว่าพี่สาวกำลังรู้สึกเสียใจ จึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “พี่สาว ข้าทำเพื่อพวกเราทุกคน หากเทียบกับการปล่อยให้นางออกไปสร้างเรื่องสารพัดที่นอกวังแล้ว สู้ให้อยู่ในวังเย็นเสียจะดีกว่า หรือว่าเจ้าคิดอยากให้ผู้อื่นรู้ว่าพวกเรามีมารดาที่…เช่นนี้”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นไม่ต้องพูดทั้งหมด องค์หญิงเจินหนิงก็เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออันใด องค์หญิงเจินหนิงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี พี่รีบพักผ่อนเถิด ข้าต้องออกจากวังแล้ว” ม่อเสี้ยวอวิ๋นเอ่ยเบาๆ ว่า “ดูแลน้องชายให้ดี อย่าให้เขาออกไปสร้างเรื่องได้”
“ข้ารู้แล้ว” องค์หญิงเจินหนิงพยักหน้า ดึงม่อเสี้ยวอวิ๋นไว้พลางเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลว่า “ยามนี้ เจ้าจะออกจากวังเช่นไร” ยามนี้เป็นยามสี่แล้ว ในวังปิดประตูลงกลอนกันไปนานแล้ว
ม่อเสี้ยวอวิ๋นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อข้าเข้ามาได้ ย่อมสามารถออกไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วง พี่สาว รักษาตัวด้วย”
เมื่อมองส่งน้องชายออกไปแล้ว องค์หญิงเจินหนิงถึงได้หมุนตัวเดินเข้าตำหนัก ระหว่างทางไม่พบแม้เพียงนางกำนัลสักคน ด้วยเพราะไม่ได้รับความสนใจจากมารดาผู้ให้กำเนิด ยามปกตินางกำนัลและขันทีของพวกเขาจึงไม่ถือว่าเอาใจใส่เท่าไรนัก ยามนี้เมื่อหลิ่วกุ้ยเฟยตกที่นั่งลำบาก คนเหล่านี้จึงถือโอกาสอู้งานกันอย่างเปิดเผยเสียเลย และด้วยเพราะเหตุนี้ องค์หญิงเจินหนิงหายไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ตัว
เมื่อกลับมาถึงห้องตนเอง ก็ลงมือค้นหายาทาแผลที่ตนเก็บไว้ใช้ ก่อนองค์หญิงเจินหนิงจะกัดฟันหมุนตัวเดินออกไป
นางก็ไม่อยากให้ผู้ใดรู้ว่าตนมีเสด็จแม่ที่น่าอับอายขายหน้าเช่นกัน นางมิใช่เด็กสาวที่ไม่ประสาอันใดเลย ย่อมรู้ว่าหากหลิ่วกุ้ยเฟยได้เข้าตำหนักติ้งอ๋องไปตามที่ใจหมายแล้ว พวกตนสามพี่น้องจะมีจุดจบเช่นไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวนาง… องค์หญิงที่ใกล้จะเข้าสู่วัยแต่งงาน เสด็จแม่ไม่มีทางพาพวกเขาเข้าตำหนักติ้งอ๋องไปด้วยแน่ ซึ่งพวกเขาที่มีฐานะเป็นองค์หญิงองค์ชาย ก็ไม่อาจเข้าตำหนักติ้งอ๋องได้อยู่ดี แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้…ก็ไม่อาจปล่อยให้เสด็จแม่ตายไปเพราะบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาได้
ไปส่งยา…แล้วกลับก็แล้วกัน องค์หญิงเจินหนิงลอบคิดอยู่ในใจ
“…เกรงว่าคงไม่รอดแล้ว…” มีน้ำเสียงซุบซิบลอยมาเข้าหูขององค์หญิงเจินหนิง
องค์หญิงเจินหนิงตกใจ รีบถอยหลบไปอยู่หลังต้นไม้ นี่เป็นช่วงปลายเดิน แสงจากพระจันทร์เสี้ยวจึงสลัวจนแทบไม่มีแสง เมื่อนางมาหลบอยู่หลังต้นไม้จึงดูไม่มีร่องรอยเลยแม้สักนิด
ขันทีคู่หนึ่งเดินฝ่าความมืดเข้ามาจากไม่ไกล อาจด้วยเพราะยิ่งมืดค่ำทำให้ยิ่งง่วงงุนง่าย ขันทีทั้งสองจึงเดินไปพลาง พูดคุยกระซิบกระซาบกันไปพลาง
“แน่นอนอยู่แล้ว อย่าดูแต่ว่าท่านนั้นแต่ก่อนเคยมีอำนาจคุมวังทั้งหก ยามนี้เมื่ออดีตฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว ยังจะมาล่วงเกินไทเฮาอีก ได้ยินว่าวังจางเต๋อมีคำสั่งลงมาว่า จะต้องให้ท่านนั้นตายให้ได้…”
“อย่าอย่า…อย่าได้พูดซี้ซั้วไป หากแพร่ออกไป…”
“เฝินกงกงของวังจางเต๋อเป็นบิดาบุญธรรมของข้า สิ่งที่ออกจากปากเขาจะมีไม่จริงหรือ”
“เรื่องนั้นก็จริง…เฝินกงกงเป็นคนโปรดที่ใช้การได้ของไทเฮา ได้ยินว่าวังจางเต๋อจะฟื้นกลับมาอีกครั้งแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ…ได้ยินว่าท่านนั้นไปล่วงเกินติ้งอ๋องเข้า นี่…เรื่องนั้นได้ยินหรือยัง”
คนที่ร่วมเดินมาด้วยยิ้มออกมาอย่างรู้กันดีว่า “จะไม่ได้ยินได้อย่างไร เกรงว่าทั้งในวังและนอกวังคงจะสะพัดกันไปทั่วแล้วละมัง เพียงแต่ด้วยเพราะเห็นแก่เกียรติและชื่อเสียงของราชวงศ์จะปล่อยให้กระจายออกไปก็คงไม่ได้เท่านั้น ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าติ้งอ๋องมีใจรักพระชายาแต่เพียงผู้เดียว หลายปีมาก็แล้ว แม้แต่นางร่วมห้องก็ยังไม่มี เรื่องนี้เนี่ย…”
“ก่อนหน้านี้เห็นว่าท่านนั้นเยือกเย็นประหนึ่งน้ำค้างแข็ง ไม่คิดเลยว่า…” คำพูดหลังจากนั้นเห็นได้ชัดว่าคงเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร โชคดีที่ขุนนางทั้งสองก็เดินห่างออกไปแล้ว
ภายในความมืดมิดท่ามกลางแสงจันทร์ เด็กสาวที่เพรียวบาง ยืนตัวสั่นมองทางเดินที่ไร้ผู้คนด้วยใบหน้าขาวซีด