ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 293-2 ความกังวลของท่านอาจารย์ชิงอวิ๋น
ซูเจ๋อเงียบ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่อาจารย์ชิงอวิ๋นกล่าวอ้างถึง ย่อมเป็นม่อหลิวฟางพ่อของม่อซิวเหยาอยู่แล้ว แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี แต่ซูเจ๋อก็ยังคงจดจำชายเสื้อแพรรูปงามและมีความรู้ความสามารถมากที่สุด แม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการเขียนและการต่อสู้เช่นเดียวกับติ้งอ๋อง แต่ม่อหลิวฟางก็แสดงให้เห็นถึงคำสองคำคือลุ่มลึกและสง่างามอย่างสุดขั้ว ปัจจุบันมีเพียงคุณชายชิงเฉินเท่านั้นที่สามารถแข่งขันกับเขาได้ในโลกนี้ แต่รูปลักษณ์และบุคลิกของคุณชายชิงเฉินนั้นดูสง่างามเกินไป กลับเป็นเหมือนเทพเซียนนอกโลกมากกว่า ทว่าม่อหลิวฟางคือความนุ่มลึกและสง่างามที่แท้จริงแห่งโลกใบนี้ สืบทอดคุณชายตระกูลเศรษฐี ความสามารถและบุคลิกของเขาควรสืบทอดไปให้คนรุ่นหลังอีกนานเท่านาน
แต่เพราะเป็นคนเช่นนี้ จึงถูกฮ่องเต้ที่เขาช่วยงานราชการอย่างซื่อสัตย์คิดร้าย การโต้กลับก่อนตายก็เพียงพอที่จะชื่นชมได้แล้ว เพราะทำให้ฮ่องเต้องค์ก่อนที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ไม่ถึงสามปี สิ้นพระชนม์ไป ปณิธานอันยิ่งใหญ่มอบให้กับสุสานอันเยือกเย็นแห่งราชวงศ์ เหลือเพียงม่อจิ่งฉีฮ่องเต้องค์ใหม่ที่อายุสิบกว่าปี ในขณะเดียวกันก็ยื้อเวลาการปะทะที่จวนติ้งอ๋องพยายามช่วงชิงมา ได้หลายปี มิฉะนั้น ม่อซิวเหวินและม่อซิวเหยาที่ตอนนั้นอายุยังน้อย จะต้องตกอยู่ในมือของฮ่องเต้องค์ก่อนผู้เด็ดขาดและจิตใจโหดเหี้ยม หากเป็นเช่นนี้จวนติ้งอ๋องจะอยู่ได้จนถึงปัจจุบันหรือไม่ ก็ไม่อาจคาดเดาได้
“เมื่อเป็นเช่นนี้…” ซูเจ๋อพึมพำขึ้น
อาจารย์ชิงอวิ๋นเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ติ้งอ๋องถึงได้อดกลั้นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หรืออาจจะพูดได้ว่าเขากำลังเดินหมากอยู่ในใจ ดังนั้นเขาจึงสามารถอดทนต่อความเกลียดชังที่มีให้ม่อจิ่งฉีและราชวงศ์ต้าฉู่ได้ แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ในความเป็นจริงเขาก็ยังกำลังอดทนอยู่ เขาต้องการเวลาเตรียมการและตอนนี้…สถานการณ์พร้อมเต็มที่แล้ว และสนามรบ…มักจะเป็นสถานที่ซึ่งมีแนวโน้มนำด้านแท้จริงของจิตใจของผู้คนออกมามากที่สุด เมื่อความอดทนอดกลั้นในช่วงหลายปีนี้ระเบิดออกมา…ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้นอกจากหลีเอ๋อร์” ในตอนนั้นเรื่องของจวนติ้งอ๋องไม่ได้มีเพียงแค่ม่อจิ่งฉีเท่านั้น เป่ยหรงกับซีหลิงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย อีกทั้งกองทัพตระกูลม่อเสียชีวิตภายใต้ทหารม้าของเป่ยหรง หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่เขาคิดถึงความสงบในจิตใจของม่อซิวเหยาผู้รับหน้าที่เป็นทูตติดต่อกับเป่ยหรง อาจารย์ชิงอวิ๋นก็รู้สึกหวาดกลัว
“เช่นนี้นี่เอง” ซูเจ๋อเอ่ยพลางถอนหายใจ ความรู้สึกผิดเผยบนใบหน้ามากขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะแผนที่ป้องกันของกองทัพตระกูลม่อที่ซูจุ้ยเตี๋ยขโมยไปในตอนนั้น สิ่งต่างๆ อาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ แม้ว่าเขาจะเสียใจกับหลานสาวคนเดียว แต่เมื่อเทียบกับวิญญาณนับหมื่นของกองทัพตระกูลม่อที่เสียชีวิตอย่างไม่ยุติธรรม ซูเจ๋อก็รู้สึกเพียงว่าตนนั้นไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเสียใจ ใครเสียใจกับทหารนิรนามที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติกันเล่า ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเพราะเขาอบรมสั่งสอนได้ไม่ดี
เมื่อเห็นท่าทางของซูเจ๋อ อาจารย์ชิงอวิ๋นก็เข้าใจสิ่งที่เขาคิด ก่อนจะตบมือเขาเบาๆ และพูดว่า “เรื่องราวพวกนั้น…มันผ่านไปแล้ว คิดมากไปทำไมเล่า”
ซูเจ่อส่ายหัว ได้แต่เหม่อมองฟ้าพลางถอนหายใจยาว
เยี่ยหลีร่ำลาอาจารย์ชิงอวิ๋น และไปเยี่ยมม่อเสี่ยวเป่า ถึงได้กลับจวนติ้งอ๋อง ทันทีที่เข้าประตู ก็เห็นว่าขุนนางและนายพลน้อยใหญ่ที่แทบจะไม่ปรากฏตัวในจวนติ้งอ๋อง ต่างทยอยกันมารออยู่ในเรือนแล้ว เมื่อเห็นเยี่ยหลีเข้ามาก็รีบวิ่งไปข้างหน้า เพื่อแสดงความเคารพทันที เยี่ยหลีเลิกคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านมีเรื่องอะไรหรือ มาจวนอ๋องในเวลานี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
จางฉี่หลานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พระชายาไม่ต้องกังวล เราได้ทำทุกอย่างตามที่ท่านอ๋องและพระชายาสั่งทั้งหมดอย่างครบถ้วนแล้ว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้เล่า”
เยี่ยหลียิ้มและพูดว่า “หากไม่มีเรื่องอะไร หรือว่าทุกท่านมาที่นี่เพื่อทำความเคารพโดยเฉพาะเลยหรือ จวนอ๋องของเราไม่ได้มีพิธีรีตองทำเพื่อเอาหน้าอะไรมากมายเพียงนั้น ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไร ก็ขอเชิญทุกท่านกลับไปเถิด”
“พระชายา…” คนอื่นๆ ไม่กล้าพูดอะไร แต่ทหารผ่านศึกมาโชกโชนอย่างหลี่ว์จิ้นเสียนและจางฉี่หลานอีกทั้งหยวนเผย ไม่ได้กังวลเรื่องนี้ รีบหยุดพระชายา เยี่ยหลีเลิกคิ้วและมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม หลี่ว์จิ้นเสียนถูกผลักไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ย “คือ…รายงานพระชายา ทูตจากซีหลิงและต้าฉู่เพิ่งขอพบท่านอ๋องในเวลาเดียวกัน พวกเราก็อยากจะถามว่า…ท่านอ๋องจะพบไหม” ทุกวันนี้พวกเขาต้องลับดาบขัดปืนกันอย่างลับๆ ดูเหมือนว่าจะต้องได้ขยับร่างกายกันบ้างแล้วละ ทำให้ทหารผ่านศึกที่อยู่เฉยๆ จนกระดูกแข็งแอบรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ แต่วันนี้จู่ๆ ทั้งสองแคว้นก็มาขอพบพร้อมกัน การตัดสินใจของท่านอ๋องจะบ่งบอกทิศทางการปฏิบัติการในอนาคตของพวกเขาแล้ว
“ทูตของซีหลิงและต้าฉู่ ขอพบกันในเวลาเดียวกันหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว นางเพิ่งกลับมา ไม่ทราบข่าวนี้ หลินหันที่อยู่ข้างกายลูบจมูกและพูดว่า “มันเป็นเรื่องเดียวกับที่ข้าจะรายงานพระชายา ทูตซีหลิงมาก่อนและทูตต้าฉู่ก็มาถึงในภายหลัง แต่ว่าท่านอ๋องขอพบทูตจากต้าฉู่ก่อน นอกจากนี้ ท่านอ๋องบอกว่าหากพระชายากลับมาแล้วให้เชิญไปที่ห้องโถงใหญ่”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร ยิ้มให้กับฝูงชนที่อยู่รอบตัวตนเอง ทุกคนรีบถอย “เชิญพระชายา”
“เช่นนั้น…ข้าขอตัวก่อนนะ”
“ไม่บังอาจรบกวนเวลาของพระชายา เชิญพระชายาเถิด” ที่แท้พระชายาก็ไม่รู้นี่เอง ทุกคนถอนหายใจอย่างจนปัญญา ทำได้เพียงส่งเยี่ยหลีด้วยสายตา รอผลลัพธ์ตาละห้อย อีกมุมหนึ่ง เฟิ่งไหวถิงและหานหมิงเย่ว์กำลังเล่นหมากรุก หานหมิงซีเปรียบตัวเองเป็นดั่งต้นไม้บนหัวของพวกเขา ที่คอยดูการเดินหมากและหาวไปพลาง
“คุณชายหมิงเย่ว์คิดว่าจะรบไหม” เฟิ่งไหวถิงถามเบา ๆ แม้ว่าจะมาที่ซีเป่ยได้ไม่ถึงสามเดือน ทว่าซีเป่ยกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างต่อเฟิ่งไหวถิง ขุนนางและแม่ทัพในจวนติ้งอ๋องส่วนใหญ่จะอายุน้อย ในตอนนี้เฟิ่งไหวถิงถือว่าเป็นคนที่อายุมากที่สุดแล้ว และติ้งอ๋องมอบสิทธิอำนาจและความไว้วางใจให้กับเขาอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน เฟิ่งไหวถิงเคยถามม่อซิวเหยาว่าทำไมถึงเชื่อใจเขามากขนาดนี้ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า ไม่ได้ไว้ใจเขา เขาเชื่อใจเฟิงจือเหยาต่างหาก ถ้าเขาทรยศจวนติ้งอ๋อง หัวของเฟิ่งจือเหยาจะหลุดออกจากบ่าลงไปที่พื้นทันที ในตอนนั้นเฟิ่งจือเหยาก็อยู่ข้างๆ เช่นกัน หลังจากฟังคำพูดของม่อซิวเหยา กลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด ราวกับว่าก็ควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
เฟิ่งไหวถิงไม่เข้าใจมิตรภาพของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ แต่ในฐานะหัวหน้าตระกูลเฟิ่ง เขารู้ว่าควรเลือกอะไร แม้ว่าจวนติ้งอ๋องดูเหมือนจะไม่ได้เปรียบในสถานการณ์โดยรวมของใต้ฟ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงเชื่อว่าหากมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวในโลกก็ต้องเป็นติ้งอ๋อง และสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตระกูลเฟิ่งมากที่สุดย่อมเป็นการอยู่ข้างผู้ชนะคนสุดท้ายอยู่แล้ว
“ก็ต้องสู้อยู่แล้ว หลายปีมานี้…ต่อให้กองทัพตระกูลม่อไม่อยากเคลื่อนไหว คนอื่นก็ทนไม่ได้แล้วกระมัง” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเบาๆ หลายปีมานี้ได้แต่ลอยชายอยู่บ้าน เมืองหลีไม่มีใครพุ่งเป้ามายังเขา แล้วก็ไม่มีใครจะทำอะไรเขาด้วย แต่ในทำนองเดียวกันไม่มีใครต้องการให้เขาทำอะไรอีก เขารู้ว่าเพราะม่อซิวเหยาไม่ไว้ใจเขาอีกต่อไป
หลายปีผ่านไปค่อยๆ ตื่นขึ้นจากความฝันของซูจุ้ยเตี๋ย เขาเพิ่งตระหนักว่า เพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น เขาสูญเสียอะไรไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจหวนคืนได้อีก หานหมิงเย่ว์จะไม่ทำอะไรบางอย่างโดยใช้วิธีอัปยศอดสู เพื่อรักษามิตรภาพที่หวนคืนไม่ได้อีกแล้ว เขารู้จักม่อซิวเหยาเป็นอย่างดี เมื่อได้มิตรภาพของม่อซิวเหยาแล้ว ขอแค่ไม่ทรยศ เขาไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าแน่นอน แต่เมื่อใดที่ทรยศ จะกลายเป็นความแตกแยกชั่วนิรันดร์ ระหว่างพวกเขาไม่เหลือที่ให้ความสัมพันธ์ฟื้นตัวได้ตั้งแต่ที่เขาทำเพื่อซูจุ้ยเตี๋ยตั้งแต่ก้าวแรกแล้ว
ดังนั้นเขาเดินตามน้องชายดั่งคนว่าง แล้วก็พูดขึ้นเมื่อต้องการให้เขาพูด ตอนนี้…มีเพียงน้องชายคนนี้เท่านั้นที่เป็นญาติคนเดียวของเขาในโลกนี้