ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 297-3 สงครามเริ่มต้น แม่ทัพชื่อดังแห่งซีหลิง
ม่อซิวเหยายิ้ม มองทุกคน “ทุกท่านยังอยากจะออกไปสู้อีกไหม”
เงียบไปครู่หนึ่ง “สู้อยู่แล้ว! แต่ว่า…พักก่อนแล้วค่อยออกไปสู้!” ในที่สุดก็มีคนพูด เมืองเปี้ยนไม่ได้มีเพียงแต่ทหารสามแสนนายที่เหลยเถิงเฟิงนำทัพมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทหารรักษาการณ์รอบๆ เมืองเปี้ยนและทหารที่กระจัดกระจายที่พ่ายแพ้จากก่อนหน้า มีอย่างน้อยสองแสนคน แม้ว่าหลงหยางและจูเยี่ยนจะไม่ถูกกับเหลยเถิงเฟิงอย่างไร คงไม่อยู่เฉย หากเมืองเปี้ยนถูกปิดล้อมหรอก เกรงว่าพวกเขาเตรียมพร้อมรอพวกเขาไว้แล้วต่างหาก การเดินไปข้างหน้าอย่างอาจหาญเป็นสิ่งที่ดีที่ แต่มันจะโง่และหุนหันพลันแล่นหากจะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงตรงหน้าและทุกสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างชัดเจน
ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีมาก ตอนนี้ก็ไปพักผ่อน พรุ่งนี้เอาแผนการโจมตีเมืองมาให้ข้าดู”
“ข้าน้อยขอลา!”
ทุกคนต่างออกไป เฟิ่งจือเหยาที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อยู่ต่อ ม่อซิวเหยาเหลือบมอง เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้ายังอยากพูดอะไรอีก” เฟิ่งจือเหยาคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง “ท่านอ๋อง หลงหยางกับจูเยี่ยนอยู่ที่เมืองเปี้ยนจริงหรือ”
ม่อซิวเหยายิ้ม “ข้าหลอกเจ้าจะไปมีประโยชน์อะไร”
เฟิ่งจือเหยาถอนหายใจ “โชคร้ายเกินไปแล้ว ตาแก่แปลกประหลาดเช่นนี้เจอคนเดียวก็แย่แล้ว นี่ยังจะพร้อมกันสองคนอีก ได้ยินมาว่าตอนที่อุปราชกับจูเยี่ยนสู้กันในตอนนั้นก็ยากเย็นเหลือเกิน” ม่อหลิวฟางอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของต้าฉู่ ถูกเรียกว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ไม่เป็นสองรองใคร ไม่เคยได้พบกับความพ่ายแพ้มาก่อนในชีวิต แต่เสมอกับจูเยี่ยน นี่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าแม่ทัพจิ้งเทียนนั้นไม่ธรรมดาเลย นอกจากนี้แม่ทัพเฟิ่งเทียนอีกคนแม้ไม่เคยประมือกับกองทัพตระกูลม่อ แต่แม่ทัพหลงหยางผู้ยิ่งใหญ่นี้มีชื่อเสียงในภูมิภาคตะวันตกมากกว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงเสียอีก การกวาดล้างแคว้นเล็กๆ ในภูมิภาคตะวันตก ชื่อเสียงการสังหารของเขามาถึงจุดที่เด็กๆ ได้ยินแล้วต้องร้องไห้ในตอนกลางคืน
ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ่ม “โชคร้ายจริงๆ อาจเป็นเรื่องยากสักหน่อย สำหรับโจมตีแม่ทัพเก่าแก่เหล่านี้ แค่รับมือจากการนำทัพของเหลยเถิงเฟิง ก็เพียงพอให้พวกเจ้าเหนื่อยแล้ว แต่โชคร้ายของเราก็ไม่ถือว่าแย่ เมืองเปี้ยนข้างหน้าเป็นที่ราบ ไม่อย่างนั้นยังไม่ถึงเมืองพวกเราก็คงซวยแล้วจริงๆ ”
เฟิ่งจือเหยาผงะ เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร จะไม่ลงมือเองหรือ”
ม่อซิวเหยายิ้ม เอ่ย “ข้าลงมือก็ไม่ได้ดีไปกว่าที่พวกเจ้าลงมือหรอก ข้าน่ะ…ไม่ชอบสงครามในเมือง”
เฟิ่งจือเหยาอดที่จะกรอกตาไม่ได้ ทำสงครามต้องเอาตามที่ท่านชอบหรือไม่ชอบด้วยหรือ ไม่ชอบเมืองเปี้ยนที่ตั้งอยู่ตรงหน้ามานาน ก็ไม่ทำให้มันหายไปในอากาศหรอก
ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างเสียใจเล็กน้อย “จะว่าไป ข้าก็อยากพบแม่ทัพเก่าสองสามคนนี้จริงๆ แต่น่าเสียดาย…พวกเขาอายุมากแล้ว…” บางทีม่อซิวเหยาก็มีความสามารถเหนือชั้นเกินไป หรือบางทีชื่อเสียงของจวนติ้งอ๋องก็ก้องไกลเกินไป ไม่มีใครในรุ่นของม่อซิวเหยาสามารถแข่งขันกับเขาได้ เมื่อเทียบกับพ่อของเขาหรือแม้แต่พี่ชาย ม่อซิวเหยาในเวลานั้นรู้สึกโดดเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้คนพูดถึงติ้งอ๋องด้วยความเคารพนับถืออย่างไม่มีที่เปรียบ เขาวางแผนกลยุทธ์อย่างไร เขาเก่งในการต่อสู้ได้อย่างไร แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ ว่าตัวเขาเองไม่ได้ต่อสู้อย่างสุขใจมาเป็นเวลานานมากแล้ว
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้บ่มเพาะคนรุ่นหลัง” เฟิ่งจือเหยาบ่นพึมพำ
ม่อซิวเหยายิ้ม “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ดีน่ะสิ อย่างนี้…ถึงจะน่าสนุกขึ้นหน่อย”
สุดท้าย เฟิ่งจือเหยาเดินออกไปอย่างฟึดฟัด เนื่องจากยังคงไม่สามารถสืบได้ว่าม่อซิวเหยาคิดอย่างไร
ภายในที่พัก เยี่ยหลีที่แอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของม่อซิวเหยา ถามขึ้น “แม่ทัพเก่าทั้งสองคนไม่ธรรมดาจริงๆ พวกเราต้องระวังให้มาก โจมตีเมืองในวันพรุ่งนี้จะไม่สนใจพวกเขาจริงหรือ” ม่อซิวเหยายิ้มเย็นก่อนจะเอ่ย “ทำลายความฮึกเหิมของพวกเขาสักหน่อยก็ดี ที่ผ่านมามันราบรื่นเกินไป ไม่ดี”
เยี่ยหลีพยักหน้า นางเข้าใจความกังวลของม่อซิวเหยา อันที่จริงนี่ก็เป็นความกังวลของนางเช่นกัน แม้แม่ทัพเก่าทั้งสองคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวในเมืองเปี้ยนในตอนนี้ อาจจะทำลายแผนการเดิมของพวกเขาได้ แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ทหารเหล่านี้เผชิญหน้ากับศัตรูในอนาคตด้วยความภาคภูมิใจที่มากเกินไปจนกระทั่งเดินเข้าสู่การล่มสลาย บนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงกองทัพตระกูลม่อเท่านั้นที่เป็นกองกำลังอันเกรียงไกร แล้วก็ไม่ได้มีเพียงม่อซิวเหยาที่รบเก่ง
“มีเวลาพอไหม หากปล่อยให้เหลยเจิ้นถิงกลับมา ถึงเวลานั้นพวกเรานี่แหละจะถูกล้อมหน้าล้อมหลัง”
ม่อซิวเหยากุมมือนาง เอ่ย “ไม่ต้องห่วง ต่อให้จะเป็นอย่างไร…กองกำลังทหารสี่แสนนายของจางฉีหลาน เวลาสองเดือนยังต้านทานไม่ได้ เช่นนั้นหลายปีที่พวกเขาฝึกมาก็เปล่าประโยชน์แล้ว อีกอย่าง…ข้ายังมีของขวัญอย่างอื่นที่จะให้เหลยเจิ้นถิงอีก” เยี่ยหลีคิด “มู่หรงเซิ่นหรือว่าหนานจ้าว” นอกจากกองทัพของม่อจิ่งหลีแล้ว ก็มีแต่มูหรงเซิ่นและหนานจ้าวที่คอยคุ้มกันด่านซุ่ยเสวี่ยก็สามารถเป็นภัยคุกคามต่อเหลยเจิ้นถิงทางตอนใต้ได้ ม่อจิ่งหลียึดติดกับดินแดนของตัวเอง เว้นแต่เหลยเจิ้นถิงจะเอาชนะแม่น้ำอวิ๋นหลันได้ มิฉะนั้นเขาจะไม่มีวันแตะต้องกองทัพของหลีอ๋องในตอนใต้อย่างแน่นอน จึงมีเพียงมู่หรงเซิ่นและหนานจ้าวแล้วละ
“เจ้าให้ผลประโยชน์อะไรกับองค์หญิงอานซีหรือ” สงครามระหว่างแคว้น ไม่ใช่แค่เรื่องมิตรภาพธรรมดา หากไม่มีผลประโยชน์เข้ามาข้องเกี่ยว ก็ไม่มีทางได้ผล
ม่อซิวเหยาไม่อาจปิดบังอะไรเยี่ยหลี เอ่ยพลางยิ้มตาหยี “ข้าไม่ได้คุยกับนาง เจ้าดูจดหมายเพิ่งได้รับวันนี้สิ”
เยี่ยหลีรับจดหมาย ก่อนจะเปิดดู อมยิ้มเอ่ย “เป็นพี่ใหญ่หรือ พี่ใหญ่…เจรจากับองค์หญิงอานซีหรือ” ถอนหายใจเบาๆ “พี่ใหญ่เขา…”
“เขาเป็นมันสมองของทั้งซีเป่ยและจวนติ้งอ๋อง” ม่อซิวเหยาจับมือนางแน่น สวีชิงเฉินกำลังทำในสิ่งที่ควรทำ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ ทำลายมิตรภาพระหว่างเขาและองค์หญิงอานซี ไม่ใช่ว่าองค์หญิงอานซีจะมีความคิดเห็นใดๆ ในใจ แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายยืนอยู่ในผลประโยชน์ของตัวเอง มิตรภาพที่มีแต่เดิมจะค่อยๆ จางหายไป และทำให้ความสัมพันธ์ในปัจจุบันและอนาคตของพวกเขาเป็นเช่นนี้ต่อไป แต่ม่อซิวเหยาไม่ได้ตั้งใจที่จะรู้สึกผิดต่อสวีชิงเฉินในเรื่องนี้
เยี่ยหลีส่ายหัว เอ่ย “ยกชายแดนสามเมืองที่ติดกับหนานจ้าวให้พวกเขา แล้วองค์หญิงอานซีก็เห็นด้วยแล้วหรือ” ข้อเสนอเช่นนี้ก็เล็กน้อยเกินไปแล้ว กองทัพตระกูลม่อจะเอาชนะซีหลิงได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ม่อซิวเหยายิ้มเอ่ย “จวนติ้งอ๋องและเหลยเจิ้นถิง หนานจ้าวต้องเลือกสักทาง เป็นมิตรกับคนไกลตัดความสัมพันธ์กับคนใกล้…ต่อให้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับจวนติ้งอ๋อง หนานจ้าวก็ไม่รับผลดีอะไรมากนัก แต่ถ้าร่วมมือกับจวนติ้งอ๋องก็อาจเป็นไปได้ที่จะกลืนกินหลายเมืองของซีหลิง”
“เจ้าตัดสินใจแล้วหรือว่าจะแบ่งซีหลิงให้หนานจ้าว” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว
“นี่เป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่มีความมั่นใจเลย”
ดังนั้น ยังคงเป็นการพูดปากเปล่าเท่านั้นเอง…