ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 298-3 ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด
หลงหยางกับจูเยี่ยน ถอนหายใจ ก่อนจะพูด “ให้คนไปสืบโดยเร็วที่สุดว่าม่อซิวเหยาและหลี่ว์จิ้นเสียนยังอยู่ในค่ายกองทัพตระกูลม่อหรือไม่!” ไม่ต้องพูดถึงเหลยเถิงเฟิง แม้แต่พวกเขายังไม่สามารถจินตนาการได้ว่า ม่อซิวเหยาต้องการทำอะไร ถ้าม่อซิวเหยามีเวลาเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างช้าๆ มันคงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่ากองทัพตระกูลม่อจะชนะการต่อสู้หลายครั้งในระหว่างทาง แต่ที่นี่เป็นดินแดนของซีหลิง พอสงครามล่าช้าไปนาน ไม่ต้องพูดถึงกกองกำลังเสริมจากเหลยเจิ้นถิง กองกำลังเสริมจากที่อื่นก็กำลังทยอยมา ในเวลานั้นกองทัพตระกูลม่อจะถูกล้อมรอบด้วยกองทัพซีหลิงนับล้าน
ดังนั้นกองทัพตระกูลม่อจึงไม่สามารถยืดเยื้อได้ หากจะบอกว่ามีทางลัดอื่นใดก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน จูเยี่ยนอาศัยอยู่ในเมืองเปี้ยนมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว และไม่มีใครรู้จักทิวทัศน์รอบเมืองเปี้ยนได้ดีไปกว่าเขา เมืองเปี้ยนล้อมรอบด้วยแม่น้ำและนอกเมืองยังมีคูน้ำคอยเป็นเกราะป้องกัน ไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากการโจมตีด้านหน้าและเป็นไปไม่ได้ที่จะอ้อมเข้าเมืองเปี้ยน เมืองเปี้ยนตั้งอยู่บนถนนสายหลักระหว่างตะวันออกและตะวันตก ถ้าเอาชนะเมืองเปี้ยนไม่ได้ ต่อให้กองทัพตระกูลม่อจะอ้อมผ่านไปได้ แต่เสบียงทางทหารก็จะถูกตัดขาดได้ทุกเมื่อ
เหลยเถิงเฟิงหวาดกลัว ก่อนจะรีบเอ่ย “ขอรับ ข้าจะให้คนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้”
จูเยี่ยนโบกมือเพื่อให้ผู้คนกลับลงไป เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “แก่แล้ว แก่แล้วนะ…” หลงหยางมองเขาพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วมันเป็นอย่างไร ม่อซิวเหยาจะเทียบกับม่อหลิวฟางได้อย่างไร” จูเยี่ยนส่ายหัวและพูดว่า “พูดยาก อย่างน้อยความสามารถในการซ่อนความตั้งใจของม่อซิวเหยา ก็แข็งแกร่งกว่าพ่อเขา ในสมัยนั้นอย่างน้อย ข้าก็เดาความคิดของม่อหลิวฟางได้ แต่ตอนนี้…ข้าไม่เข้าใจ สิ่งที่ม่อซิวเหยาต้องการทำจริงๆ ถ้าจะไม่โทษว่าแก่แล้ว ก็คงไม่ได้” เมื่อพูดแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ้างว้างขึ้นมานิดหน่อย การแก่ตัวลง ไม่ใช่เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดในโลกหรือ
เมื่อได้ยินดังนั้น หลงหยางก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้ ถ้าเป็นหลงหยางตอนที่ยังเด็ก ไม่มีทางที่จะไม่นั่งคุยกันที่นี่ในวันนี้แน่นอน ในสมัยนั้นเทพสังหารแห่งภูมิภาคตะวันตก มักเก่งในการโจมตีด้วยตัวเอง มากกว่าการตั้งรับและป้องกันเมือง แต่ตอนนี้ พวกเขา…ยังขึ้นม้าศึกได้อยู่ไหมนะ
“เหล่าหลง เจ้าว่าพวกเรา…จะปกป้องเมืองเปี้ยนไว้ได้หรือไม่” เงยหน้าขึ้นมองเมืองด้านล่าง มองไปไกลๆ ข้ามผ่านกำแพงเมือง ภาพดำที่อยู่ไกลๆ พร้อมกับธงชัยกำลังปลิวไสวช่างดุร้ายเกินทน ชายหนุ่มที่ตะโกนอยู่ที่ทางเข้าเมือง แม้จะยังเด็กแต่ก็เต็มไปด้วยพลังและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ หากทั้งสองฝ่ายไม่เป็นปรปักษ์กัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมอาจารย์ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่จูเยี่ยนไม่อาจแน่ใจถึงได้ถามออกมา
หลงหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ “มีชีวิตอยู่ก็ต้องภักดีอย่างถึงที่สุด ความตายพรากชีวิต ทำทุกอย่างให้เต็มที่ จูเยี่ยน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าไม่มี่ความมั่นใจขนาดนี้”
จูเยี่ยนส่ายหัว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “อาจจะเป็นเพราะหลายปีเกินไปที่ไม่ได้เข้าสู่สนามรบแล้วกระมัง ช่างเถอะ…เท่านี้ก็เป็นเกียรติมากแล้ว ที่ได้ต่อสู้กับทายาทในจวนติ้งอ๋องในช่วงชีวิตหนึ่ง”
“อย่าพูดให้เสียใจขนาดนั้น อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีทหารฝีมือดีอยู่ในมือ แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาเมืองเปี้ยนได้ คนเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้กองทัพตระกูลม่อได้บทเรียนแล้ว” หลงหยางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาเย็นชา หลังจากที่จูเยี่ยนถูกปลดอำนาจทางการทหาร ก็ไม่ได้อยู่อย่างสันโดษบนภูเขาเช่นเดียวกับเขา และไม่ได้หายตัวไปเหมือนเฟิงเอ้า เขากลับเลือกที่จะปักหลักอยู่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองเช่นเมืองเปี้ยน แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของจวนเจิ้นหนานอ๋องก็ตาม เป็นเพราะเขายังมีทหารชั้นยอดอยู่ในมือซึ่งไม่มีใครรู้ แม้แต่เจิ้นหนานอ๋องเองก็ไม่รู้ แต่หลงหยางซึ่งเป็นสหายกับจูเยี่ยนและฮ่องเต้เซวียนเหวินกลับรู้ดี เพราะตอนที่ฮ่องเต้เซวียนเหวินส่งมอบทหารชั้นยอดนี้ให้กับจูเยี่ยนเขาก็อยู่ข้างๆ และความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของทหารชั้นยอดเหล่านี้คือการป้องกันการโจมตีจากจวนติ้งอ๋อง อดีตฮ่องเต้มองการณ์ไกลและสามารถชื่นชมได้ทุกเรื่อง ยกเว้นล้มเหลวในการเลือกผู้สืบทอดที่เก่งกาจ
จูเยี่ยนผงะ คิ้วสีเทาค่อยๆ ย่นขึ้น ทันใดนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “แย่แล้ว!”
“ทำไม” หลงหยางงงงวย
จูเยี่ยนกล่าว “จวนติ้งอ๋องต้องรู้ถึงการมีอยู่ของกองทัพฝีมือดีนี้แน่นอน!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” หลงหยางอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียด ทหารชั้นยอดเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นทหารลับที่สุดในซีหลิง แม้แต่เจิ้นหนานอ๋องที่เฝ้าติดตาม จูเยี่ยน ตลอดเวลายังไม่รู้ จวนติ้งอ๋องจะรู้ได้อย่างไร จูเยี่ยนหลับตาและพูดว่า “การโจมตีของกองทัพตระกูลม่อในซีหลิงครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ข้าเกรงว่าม่อซิวเหยาจะวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าเขาตัดสินใจมานานแล้วเขาจะไม่ส่งคนไปสืบได้อย่างไร”
“เจ้าหมายถึง…”
“หกปีที่แล้ว ข้าและเจ้าคิดว่าติ้งอ๋องจะโจมตีซีหลิง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
สีหน้าของหลงหยางเปลี่ยนไปก่อนจะพูด “เจ้าหมายความว่า ตั้งแต่ตอนนนั้นม่อซิวเหยาคำนวณแล้วว่าจะโค่นซีหลิงได้อย่างไร ตอนนั้นที่เขาหยุดเพียงเพราะเขายังไม่พร้อมหรือ”
จูเยี่ยนพยักหน้าและถอนหายใจ “ตอนนี้เขาพร้อมแล้ว แม้กระทั่งก่อนที่เหลยเถิงเฟิงจะมาถึง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าอยู่ที่เมืองเปี้ยน แต่ตอนนี้เจ้าก็ได้ยินใช่ไหม ชายหนุ่มเหล่านั้นถึงกับด่าทอเจ้าด้วย นั่นหมายความว่าพวกเขารู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าอยู่ในเมืองเปี้ยน”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของหลงหยางซีดลง “ม่อซิวเหยาไม่ได้วางแผนที่จะโจมตีเมืองเปี้ยน ในตอนนี้เขาล้อมรอบเมืองเปี้ยนแค่จะทำลายกองทัพชั้นยอดของเจ้าก่อน!”
“เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นตอนนี้…”
จูเยี่ยนส่ายหัวและพูดว่า “ตอนนี้เจ้าและข้าไม่สามารถออกไปได้ ได้แต่ปล่อยให้โชคชะตาตัดสินแล้วละ”
ภายในห้องเงียบไปครู่หนึ่งและทันใดนั้น หลงหยางก็ตบโต๊ะก่อนจะพูดอย่างโกรธเคือง “ปล่อยโชคชะตาอะไรกันเล่า! ข้าต่อสู้มาตลอดชีวิต ถ้าปล่อยให้โชคชะตาตัดสิน ข้าก็คงตายจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้ว! ม่อซิวเหยาต้องการจะดักพวกเราก่อนหรือ ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่า เด็กพวกนั้นจะไปทำให้ใครติดกับดักได้! ข้าไม่เชื่อ…กองกำลังเพียงแค่สี่แสนนายจะต้านกองกำลังล้านนายได้!” ต่อให้กองทัพตระกูลม่อจะเกรียงไกรแค่ไหน ก็มีกำลังพลเพียงสี่แสนนาย ตอนนี้มีกองกำลังห้าแสนนายในเมืองเปี้ยน นอกจากนี้ยังมีกองกำลังชั้นยอดในความลับมากกว่าแสนคน ซึ่งมากกว่ากองทัพตระกูลม่ออยู่ลิบลับ หากเป็นเช่นนี้พวกเขายังติดกับดักอยู่ในเมืองเปี้ยน พวกเขาเอาดาบมาเชือดคอตัวเองเสียยังดีกว่า!
ดวงตาของจูเยี่ยน ฉายเป็นประกาย “เจ้าพูดถูก มา เชิญเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อมาที่นี่!”