ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 299-1 ความยิ่งใหญ่ของแม่ทัพอาวุโส
การคาดเดาถึงเจตนาของม่อซิวเหยาทำให้หลงหยางกับจูเยี่ยนต่างรู้สึกหวั่นพะวงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ กอปรกับความวิตกกังวลหลังจากที่ได้รับข่าวจากเหลยเถิงเฟิงว่ากองทัพตระกูลม่อจำนวนไม่น้อยลอบหนีไปนั้นจะยิ่งกลายเป็นเรื่องจริง จูเยี่ยนนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ครู่ใหญ่ ถอนหายใจพลางเอ่ย “ดี สมกับเป็นกองทัพตระกูลม่อ!”
เผชิญหน้ากับท่าทางเช่นนี้ของแม่ทัพอาวุโสทั้งสองท่าน เหลยเถิงเฟิงก็เข้าใจดีและหวั่นเกรงว่าจะมีเรื่องอะไรเปลี่ยนแปลงไป จึงเอ่ยถามด้วยความกังวล “ท่านแม่ทัพอาวุโส เกิดอะไรขึ้นหรือ”
จูเยี่ยนกับหลงหยางมองตากันแวบหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็จำต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง มาถึงบัดนี้แล้ว ถ้ายังปิดบังต่อไปก็คงไม่มีความหมายอะไรอีก ครั้นได้ฟังคำบอกเล่าของหลงหยางกับจูเยี่ยน เหลยเถิงเฟิงก็ตกใจอย่างมาก “ท่านแม่ทัพจูจะบอกว่า…ในมือของท่านยังมีทหารมือดีอีกหลายแสนนายหรือขอรับ!”
พูดถึงตรงนี้ ก็อดหันไปมองหลงหยางที่อยู่ข้างๆ ด้วยความตระหนกปนสงสัยไม่ได้ ในช่วงเวลายี่สิบปีมานี้ บอกได้ว่าจวนเจิ้นหนานอ๋องเฝ้าจับตาดูจูเยี่ยนที่พำนักอยู่ในเมืองเปี้ยนอย่างระมัดระวังทุกชั่วขณะ และเห็นว่าตลอดทั้งยี่สิบปีนั้น เขาไม่เคยติดต่อกับกรมเก่าเลย แม้กระทั่งอยู่ในเมืองเปี้ยนก็อยู่อย่างสันโดษเก็บตัวจนเหลยเถิงเฟิงเกือบจะวางใจต่อเขาโดยสิ้นเชิง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในมือของฝ่ายตรงข้ามจะยังมีทหารมือดีอีกแสนกว่านายโดยไร้สุ้มเสียง
ทหารและม้าที่อยู่ภายในซีหลิงมีจำนวนทั้งสิ้นเกือบสามล้าน แต่ก็ยังสามารถเพิ่มกำลังทหารได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ทำให้ดูสะดุดตามาก ถ้าหากเรียกใช้งานในยามคับขันก็คงจะน่าสะพรึงยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นในยี่สิบกว่าปีนี้ ท่านพ่อเคยมาที่เมืองเปี้ยนอยู่หลายครา หากเวลานั้นจูเยี่ยนลุกฮือขึ้นฉับพลันแล้วล่ะก็…ใจของเหลยเถิงเฟิงไหวสั่นและไม่กล้าคิดอีกต่อไป ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุไฉนท่านพ่อถึงได้เตรียมรับมือกับแม่ทัพอาวุโสเหล่านี้ไว้โดยตลอด ทุกคนต่างบอกว่า ความวุ่นวายทางการเมืองล้วนเกิดจากการชิงดีชิงเด่นทางอำนาจของเหล่าขุนนาง ทว่า โดยปกติแล้ว บุคคลที่สามารถแย่งชิงอำนาจแห่งตำแหน่งผู้ปกครองและผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ได้ล้วนเป็นกลุ่มแม่ทัพและขุนพลทั้งสิ้น หากไม่มีอำนาจทหารแล้ว ทุกสิ่งก็ล้วนพูดไปสองไพเบี้ย
ราวกับเข้าใจว่าเหลยเถิงเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ หลงหยางก็กระแอมเบาๆ แล้วพูด “ทหารมือดีพวกนี้มาจากฮ่องเต้องค์ก่อนที่พระราชทานให้แก่จูเยี่ยนด้วยพระองค์เอง แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ไม่มีอำนาจจะทรงเรียกคืนกลับได้ แล้วเหตุใดจึงต้องให้จวนเจิ้นหนานรู้ด้วยเล่า ยิ่งไปกว่านั้น…เดิมที ทหารมือดีเหล่านี้ก็เตรียมไว้สำหรับป้องกันจวนติ้งอ๋อง”
เหลยเถิงเฟิงนิ่งเงียบ เขาเชื่อคำพูดของหลงหยาง แต่ว่าเรื่องบางอย่างมิใช่เพียงแค่คำว่า “เชื่อ” คำเดียวก็คลี่คลายปัญหาทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หาใช่เวลาที่จะมาถกเถียงเรื่องนี้กันไม่ “กำลังทหารจำนวนแสนกว่านาย…ต่อกรอะไรไม่ได้กับกองทัพตระกูลม่อเหมือนกันสินะ”
“โง่เขลา!” จูเยี่ยนสบถเสียงเย็น “ฝ่าบาทองค์ก่อนทรงพระปรีชาและปราดเปรื่อง ทรงทราบตั้งนานแล้วว่ากองทัพตระกูลม่อเป็นศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงของซีหลิง เหตุนี้จึงได้เริ่มเตรียมทำแต้มต่อเพื่อจัดการกับกองทัพตระกูลม่อแต่เนิ่นๆ ถ้าหากไม่ใช่ว่าฝ่าบาทองค์ก่อนสิ้นพระชนม์กะทันหัน แล้วใยถึงต้อง…แล้วก็เหล่ยเจิ้นถิงน่ะนะ ครานั้นที่ติ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาดันทิ้งโอกาสครั้งใหญ่ไปโดยเปล่าประโยชน์เพียงเพื่อขจัดคนที่เห็นต่างจากตัวเอง พอกำจัดศัตรูไม่สิ้นซาก ถึงต้องมาประสบเช่นวันนี้ วันที่กองทัพตระกูลม่อเข้ามาถึงใต้กำแพงเมือง!”
เหลยเถิงเฟิงไม่มีคำพูดโต้แย้งใดๆ ในปีนั้นที่ทหารตระกูลม่อบาดเจ็บสาหัสและม่อซิวเหยาบาดเจ็บปางตาย เป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายสนับสนุนฮ่องเต้เคลื่อนไหวรุนแรงในเขตแดนซีหลิง ท่านพ่อถึงต้องยอมละทิ้งโอกาสสำคัญที่จะบุกโจมตีต้าฉู่เพื่อจัดการกับคนพวกนั้น แต่เวลานั้น จะมีใครบ้างที่เชื่อจริงๆ เล่าว่า ม่อซิวเหยาจะยังมีวันที่สามารถกลับมาผงาดขึ้นอีกครั้งได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สมคบคิดเรื่องที่ม่อซิวเหยาต้องยาพิษร้ายจนมีอาการสาหัส ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ทราบอะไรทั้งสิ้น
“ท่านแม่ทัพอาวุโส ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี” เหลยเถิงเฟิงเห็นว่าบรรยากาศเบื้องหน้าเริ่มไม่ชอบมาพากล จึงรีบเปลี่ยนประเด็นย้อนกลับมาถาม จูเยี่ยนถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “พี่หลง เจ้าช่วยซื่อจื่อคุ้มกันเมือง ข้าจะไปเจอกับติ้งอ๋องผู้มีชื่อเสียงบันลือแผ่นดินนั่นสักหน่อย”
“จูเยี่ยน…” หลงหยางขมวดคิ้ว เขามีอายุมากกว่าจูเยี่ยนหลายปี ทว่า อายุของตัวจูเยี่ยนเองก็ไม่น้อยแล้ว ยังจะออกจากไปเมืองด้วยตัวเองอีก นี่เป็นการเสี่ยงเกินไป จูเยี่ยนโบกมือปัดพร้อมเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก ข้ายังมีเรี่ยวแรงเคลื่อนไหวได้ เจ้าพูดถูก อย่างไรก็ไม่อาจมองดูม่อซิวเหยามาถล่มทหารมือดีหลายแสนของพวกเราไปต่อหน้าต่อตาได้!” หลงหยางรู้เช่นกันว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด จึงถอนหายใจและพูด “เอาเถิด เจ้าระวังตัวให้ดี ข้าจะยื้อกับทหารตระกูลม่อบางส่วนอยู่ที่เมืองแทนเจ้า”
“รักษาตัวด้วย!”
“รักษาตัวด้วย” ผู้เฒ่าผมขาวทั้งสองคนมองหน้ากันและกัน แล้วเอ่ยถ้อยคำลาจาก ด้วยท่าทีมาดขรึม จากนั้นจูเยี่ยนก็หันกายเดินออกไป ร่างกายที่เดิมทีโก่งโงนเล็กน้อย คล้ายว่าเหยียดตรงขึ้นอย่างสง่าไปชั่วขณะ หลงหยางคล้อยมองเงาร่างของเพื่อนสนิทที่ไกลออกไป ก่อนจะปิดตาลง และกำชับเหลยเถิงเฟิงที่อยู่ข้างกายเขา “เตรียมตัวออกเมืองรับศึก!”
ณ บัดนี้เป็นเวลาเที่ยงของวันที่สามแล้ว กองทัพตระกูลม่อที่อยู่ด้านล่างกำแพงเมืองร้องด่าทอไม่หยุด ทหารรักษาการณ์ของซีหลิงบนกำแพงเมืองก็ไม่ได้ว่างงาน ด่าโต้กลับไปอย่างไม่ใยดีเหมือนกัน เผอิญว่าทั้งสองแคว้นนี้มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน จึงไม่มีความแตกต่างด้านวัฒนธรรมและประเพณีอะไร ดังนั้นจึงไร้ซึ่งอุปสรรคในการสื่อสารด้วยถ้อยคำหยาบคาย ถ้าหากว่ากลับกลายเป็นการแลกน้ำลายระหว่างดินแดนเหนือกับใต้แล้ว เกรงว่าคนจำนวนเกือบครึ่งคงจะฟังไม่ออกกัน
หน้ากองทัพใหญ่ อวิ๋นถิงกับเฉินอวิ๋นนั่งอยู่บนม้ามองกำแพงเมืองที่อยู่ไกลๆ อวิ๋นถิงพูดอย่างร้อนใจ “หลงหยางกับจูเยี่ยนเป็นแม่ทัพเลื่องชื่อแห่งซีหลิงไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่ยอมออกมา ทำตัวเหมือนกับเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองเล่า!” เฉินอวิ๋นยักไหล่อย่างจนปัญญา แล้วเขาจะตรัสรู้ได้อย่างไรล่ะ
“อย่าบอกนะว่าจะยื้อเวลากับพวกเราน่ะ ยื้อจนถึงตอนที่เหลยเจิ้นถิงกลับมาช่วยหนุนทัพหรือ” เฉินอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“อย่าพูดเหลวไหล กว่าเหลยเจิ้นถิงจะกลับมาถึง อย่างเร็วที่สุดก็น่าจะเป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากนี้” อวิ๋นถิงพูด พวกเขามีเวลาแค่เพียงสามวัน แต่ตอนนี้ตัวขอบกำแพงที่สามวันจะต้องประชิดเข้าเมืองเปี้ยนยังไร้วี่แววจะหาทางได้ ทั้งสามวันนี้ พวกเขาได้ใช้วิธีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบุกประจัญหน้า การปล้นสะดม หรือการซุ่มโจมตีอะไร ล้วนแต่เคยลองมาหมดแล้ว สุดท้ายต้องยอมรับคำที่บอกว่า ‘แม่ทัพอาวุโสมากประสบการณ์เทียบเท่ามือดีถึงสองคน’ ก็ดูสมเหตุสมผลนัก พวกเขาหาช่องโหว่จากแนวป้องกันของเมืองเปี้ยนไม่เจอเลย การบุกตีเช่นนี้เพียงแต่จะทำให้สีหน้าของเหล่าแม่ทัพรุ่นเยาว์นี้ยดูลำบากใจขึ้นไปทุกวัน ดังเช่นใบหน้าของอวิ๋นถิงที่ซีดเผือดอยู่ในเวลานี้คล้ายคนขาดสารอาหาร อันที่จริงหากอวิ๋นถิงรู้ว่า แม้แต่ท่านอ๋องกับพระชายาของเขาก็ยังไม่พบช่องโหว่ของเมืองเปี้ยนเช่นกัน เขาก็คงจะไม่หดหู่ถึงเพียงนี้แน่
“เจ้าดูสิ พวกเขาจะออกมากันแล้วใช่ไหม” เฉินอวิ๋นชี้ไปยังธงที่โบกสะบัดบนยอดกำแพงทั่วทุกสารทิศ เห็นได้ชัดว่าคนและม้าที่นั่นมีการเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบ
อวิ๋นถิงหรี่ตาลง บนใบหน้าอ่อนเยาว์เผยรอยยิ้มที่เย็นชา “จูเยี่ยน! เหล่าพี่น้องเอ๋ย ตะโกนด่ามันต่อไป!”
เหล่าทหารของกองทัพตระกูลม่อที่อยู่ด้านหลังแผดเสียงตะโกนทักทายบรรพบุรุษทั้งแปดรุ่นและบรรดาญาติๆ เชื้อสายเดียวกันของจูเยี่ยน
หลงหยางพาคนโผล่หน้าขึ้นจากยอดกำแพง หรี่ตามองและยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่วางมาดอยู่ด้านล่าง แล้วเปล่งเสียงพูด “พ่อหนุ่ม จงบอกนามของเจ้ามา”
อวิ๋นถิงพูดอย่างยโส “ตัวข้ามีนามว่าอวิ๋นถิง เป็นรองแม่ทัพอันดับที่เก้าของหน่วยอินทรีแห่งตระกูลม่อ!”
หลงหยางผงะไปทันที หน่วยกองทัพนี้แตกต่างจากหน่วยกองทัพทหารธรรมดาๆ ราวฟ้ากับเหว จึงทำให้เขาไม่แน่ใจในสถานะของอวิ๋นถิงไปชั่วขณะ ทว่า ดูจากอายุของอวิ๋นถิงก็ยังสามารถคาดเดาบางอย่างได้อยู่ อายุน้อยเช่นนี้เป็นวัยที่มีจิตใจทะเยอะทะยาน ดังนั้น รับประกันได้แปดส่วนว่าเขาไม่ได้เป็นหัวหน้าทัพอย่างแน่นอน จึงยิ้มหรี่ตามองอวิ๋นถิง “หัวหน้าทัพของตระกูลม่ออยู่แห่งใดกัน หรือว่าทหารตระกูลม่อจะไม่มีคนอื่นแล้วหรือ”
อวิ๋นถิงไม่พูด เงยหน้าจ้องคนชราบนกำแพงเมืองและเอ่ย “ตัวข้าก็คือหัวหน้าทัพ! เมืองเล็กๆ อย่างเมืองเปี้ยนเมืองเดียว ไม่จำเป็นต้องลำบากคนอื่นหรอก แม่ทัพอย่างข้าจะแสดงความสามารถของทหารตระกูลม่อให้ท่านดูเอง” หลงหยางไม่ได้โกรธ ยิ้มพูดราวกับเห็นเด็กที่ยังไม่โต “ว่าอย่างไรนะ เช่นนั้นก็แสดงให้ข้าดูสักหน่อยเถิดว่าหัวหน้าทัพหนุ่มของตระกูลม่อจะมีความสามารถอะไรบ้าง แล้วก็…ตัวข้าไม่ใช่จูเยี่ยนหรอกนะ”
“หลงหยาง!” อวิ๋นถิงกัดฟันกรอด