ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 299-2 ความยิ่งใหญ่ของแม่ทัพอาวุโส
ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ ด้วยสินะ ยังไม่ทันได้ผจัญกันอย่างเป็นทางการ เพียงแต่โต้ตอบกันแค่ไม่กี่ประโยค อวิ๋นถิงก็เสียเปรียบเสียแล้ว
ใต้กำแพงเมือง ประตูเมืองที่แต่เดิมปิดแน่นสนิทได้เปิดออกอย่างครึกโครม สะพานชักที่ไว้สำหรับป้องกันการบุกรุกเข้าเมืองได้ถูกวางลงบนแม่น้ำ ทหารซีหลิงที่เดิมทีหดหัวอยู่แต่ในเมืองมาโดยตลอด ก็โถมทะลักออกมาราวกับสายน้ำเชี่ยว มุ่งไปยังค่ายทหารของกองทัพตระกูลม่อ หลายวันนี้ไม่เพียงแต่บรรดาแม่ทัพตระกูลม่อที่อึดอัด แม่ทัพที่เหลยเถิงเฟิงพามาช่วยเป็นกำลังเสริมเหล่านี้ก็อัดอั้นตันใจเช่นกัน การถูกด่าทอจากทหารของฝ่ายศัตรูอย่างสามหาว แต่กลับไม่สามารถบุกมาสังหารฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ให้เหลือแม้แต่เศษซากเกราะได้ ช่างเป็นการหยามเหยียดต่อผู้ที่มีสถานะเป็นแม่ทัพอย่างที่สุด และแล้วครานี้ก็สามารถออกจากเมืองได้เสียที ทหารเหล่านี้จึงย่อมบุกไปหาพวกกองทัพตระกูลม่อที่อวดเบ่งด้วยนัยน์ตาแดงฉาน
ทันใดนั้นศึกสงครามก็ได้เปิดฉากขึ้น และในขณะเดียวกัน เสียงรัวกลองรบนอกเมืองและเสียงโห่ร้องเข่นฆ่ากันดังอื้ออึงเข้าหูของของอวิ๋นเซียวอย่างไม่ขาดสาย
บนกำแพงเมือง หลงหยางมองดูการฆ่าฟันใต้เมืองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ว่าจะเป็นกองทัพตระกูลม่อ หรือกำลังทหารของทัพใหญ่ซีหลิงล้วนสามารถบอกได้ว่าค่อนข้างสูสีทีเดียว ดังนั้นเมื่อได้พบเจอกันอย่างดุเดือดและเต็มกำลัง การต่อสู้ก็ย่อมเข้มข้นเป็นพิเศษ หลงหยางอมยิ้มจางๆ มองแม่ทัพหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีขาวด้านล่างกำแพงเมือง แล้วจึงชูธงขนาดเล็กสีแดงบนมือขึ้นโบกสะบัด
ทหารซีหลิงที่สวมชุดเกราะสีเทาแปรกระบวนทัพอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของธง การที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองทำให้เห็นภาพเหตุการณ์ของสนามรบทั้งหมดได้อย่างพอเหมาะชัดเจน กองทัพทหารตระกูลม่อสีดำถูกฝูงคนสีเทาที่แยกออกกันล้อมรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นแต่ละคนก็เดินหน้าบุกเข้าไป ปฏิกิริยาตอบสนองของอวิ๋นถิงไม่ถือว่าช้า เขาเร่งสั่งการจัดทัพด้วยความเร็วสูงสุด ทว่า อย่างไรก็ยังช้ากว่าหลงหยางไปก้าวหนึ่งอยู่ดี รูปแบบทัพทหารซีหลิงเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และบุกเข้าล่าฟันอย่างได้ใจดั่งมังกรยักษ์สีเทาที่กำลังง้างเขี้ยวตะปบกองทัพตระกูลม่อ
แม้ว่ากองทัพตระกูลม่อจะองอาจกล้าหาญ แต่สนามรบกลับไม่ได้ใช้แค่ความอาจหาญของทหารฝ่ายเดียวก็สามารถเอาชนะได้ ยามที่ทหารตระกูลม่อหนึ่งคนต้องเผชิญกับทหารซีหลิงสามคนในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นเวลาที่ทหารตระกูลม่อกลุ่มเล็กๆ กำลังถูกกองทัพใหญ่ของทหารซีหลิงล้อมรอบ อวิ๋นถิงได้แต่เพียงมองทหารข้างกายล้มลงทีละคนไปต่อหน้าต่อตา
พลันหันขวับกลับไปมอง เห็นเพียงชายชราสวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งตัวบนกำแพงเมือง คล้ายกับว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ดูมิได้โดดเด่นแม้แต่น้อย ทว่า ภายในดวงตาที่ดูเหี่ยวแห้งของชายชราผู้นั้นกลับเผยความมั่นใจและความภาคภูมิที่แสดงให้เห็นว่าชายชราผู้นี้ไม่ธรรมดา การถูกคนมองจากด้านบนลงมาเช่นนี้ เดิมทีก็มีระยะห่างไกลอย่างมาก ซึ่งอวิ๋นถิงก็ไม่น่าจะสามารถเห็นท่าทางของฝ่ายตรงข้ามได้ถนัดตา แต่อวิ๋นถิงกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าภายในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามมองตัวเองต่ำต้อยเหมือนดังมดไร
“อวิ๋นถิง! เจ้าทำอะไรอยู่ ฝ่าออกไปสิ!” เท้าข้างหนึ่งของเฉินอวิ๋นเตะอวิ๋นถิงที่กำลังเหม่อลอยอยู่ ศรธนูดอกหนึ่งยิงผ่านตำแหน่งที่อวิ๋นถิงอยู่อย่างฉิวเฉียด เฉินอวิ๋นถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ บนสนามรบยังจะกล้าเหม่อลอยอีก อยากตายจริงๆ ใช่ไหม!
ครานี้อวิ๋นถิงถึงจะได้สติคืนมา นึกไม่ถึงว่าเมื่อครู่ในชั่วพริบตานั้นเขาจะถูกรังสีที่แผ่ออกมาจากหลงหยางทำให้รู้สึกหวั่นเกรงจนลืมว่าตัวเองกำลังอยู่ในสนามรบ ขณะหลบดาบที่ฟันเข้ามาด้านข้าง บวกกับความพรั่นพรึงในใจของอวิ๋นถิงทำให้มีเหงื่อไหลซึมออกมา ที่แท้ความยิ่งใหญ่ของเทพสังหารแห่งดินแดนตะวันตกเป็นเช่นนี้นี่เอง!
เสียงสัญญาณตีฆ้องเรียกให้ถอยทัพดังขึ้นจากด้านหลัง แม่ทัพทหารตระกูลม่อฝ่าวงล้อมทหารซีหลิงออกไปอย่างไม่อาลัยสงคราม แต่สุดท้ายสภาพการถอนกำลังกลับย่ำแย่ขนาดที่ทหารตระกูลม่อไม่เคยพบเจอมาก่อนหลายปี เมื่อหลงหยางเห็นทหารตระกูลม่อถอนทัพออกไปบนกำแพงเมือง ก็ส่งสัญญาณให้ตีฆ้องถอยทัพ เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วพูด “ท่านแม่ทัพ ไฉนถึงไม่ถือโอกาสตอนได้เปรียบแล้วไล่ฆ่าต่อล่ะขอรับ”
หลงหยางพูดอย่างเรียบเฉย “วันนี้เพียงแค่ลองเชิงเท่านั้น ดูท่าว่าทหารตระกูลม่อได้แบ่งกองกำลังออกแล้ว เมื่อครู่ทหารตระกูลม่อเกือบจะพ่ายแพ้ แต่กลับไม่มีคนออกมาช่วยหนุนและตีฆ้องถอยทัพ”
“เช่นนั้น…”
“ไม่ต้องใจร้อนไป วันรุ่งค่อยทดสอบพวกเขาอีกครั้ง” หลงหยางพูดเสียงขรึม
อวิ๋นถิงผู้พ่ายแพ้ เดินหน้าม่อยคอตกกลับมาที่ค่ายทหารใหญ่ตัวคนเดียว และเตรียมที่จะขออภัยโทษต่อท่านอ๋องและพระชายา แต่จั๋วเชี่ยนที่เฝ้าอยู่นอกกระโจมกลับบอกว่าท่านอ๋องและพระชายากำลังติดธุระ เรื่องทั้งหมดในค่ายทหารจึงให้เฉินอวิ๋นและอวิ๋นถิงเป็นผู้จัดการดูแลแทนชั่วคราว อวิ๋นถิงพลันตกใจจนเกือบขาอ่อนล้มลงกับพื้น เฉินอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้าหมองหม่น มิใช่ว่าพวกเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าแม้แต่คุณสมบัติของการเป็นหัวหน้าทหารเพียงกองทัพเดียวก็ยังไม่มี แล้วจะบัญชาการค่ายทหารใหญ่อย่างกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดได้อย่างไร ทั้งสองคนมองหน้ากัน เม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาไม่หยุด อวิ๋นถิงมองไปทางจั๋วเชี่ยนอย่างอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
จั๋วเชี่ยนยักไหล่ แล้วตบบ่าอวิ๋นถิงอย่างที่อยากช่วยแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ พร้อมเอ่ย “ในเมื่อท่านอ๋องสั่งกับพวกเจ้าเช่นนั้น ก็แสดงว่าท่านเชื่อใจในความสามารถของพวกเจ้า อย่ากังวลไปเลย”
“แต่…แต่ว่าพวกข้าเพิ่งจะแพ้มาเองนะ…” อวิ๋นถิงพูดอย่างละอาย เมื่อทำภารกิจที่ท่านอ๋องมอบหมายให้ไม่สำเร็จ เขาก็นึกว่าตัวเองจะถูกโดนลงโทษตามกฏระเบียบทหารแล้ว แต่พอเจอสถานการณ์แบบนี้ ให้เขาถูกลงโทษตามกฎระเบียบทหารยังดีเสียกว่า!
จั๋วเชี่ยนยิ้มอย่างสงบนิ่ง “เมื่อครู่เจ้าแค่เกือบจะแพ้ นี่ก็ถือว่ายังไม่ได้แพ้ไม่ใช่หรือ” พร้อมส่งสายตาบอกว่า ข้ากำลังจับตาดูพวกเจ้าสองคนอยู่ แล้วก็หันกายกลับเข้าไปในกระโจม อวิ๋นถิงอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ถ้าเมื่อครู่เจ้าไม่ได้ตีฆ้องเรียกถอยทัพ ข้าคงจะตายอยู่บนกองฝุ่นทรายในสนามรบแล้วก็เป็นได้
ห่างออกจากเมืองเปี้ยนไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้หนึ่งร้อยลี้ เป็นที่ตั้งของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง พื้นที่ทั้งเมืองไม่ถึงหนึ่งในสิบของเมืองเปี้ยน แต่ว่าที่ตั้งของเมืองกลับเป็นทางผ่านระหว่างแคว้นซีหลิงกับเมืองเปี้ยนพอดี นั่นก็หมายความว่า ถ้าหากทหารและม้าของฝั่งตะวันตกจะเร่งไปที่เมืองเปี้ยนอย่างเร็วที่สุด ก็จำเป็นต้องผ่านที่แห่งนี้ ดังนั้น ก่อนหน้านี้สามวัน จางฉี่หลานได้รับบัญชาจากม่อซิวเหยาให้นำคนและม้าเจ็ดหมื่นนายมายึดเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เนื่องจากทหารใหญ่ของซีหลิงป้องกันอยู่ที่เมืองเปี้ยน กำลังทหารเล็กๆ เช่นนี้ย่อมอ่อนแอ ทำให้จางฉี่หลานสามารถยึดครองเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้โดยที่แทบไม่ต้องเสียกำลังทัพ
จากนั้น ทหารและม้าเจ็ดหมื่นนายก็ลงหลักปักฐานอยู่ภายในเมืองเล็กแห่งนี้ และดูเหมือนกับว่าไม่ได้จะทำอะไร แต่จางฉี่หลานรู้ว่า มีทหารมือดีแสนกว่านายกลุ่มหนึ่งอยู่แถวนี้ แม้ต่อให้ทหารตระกูลม่อจะเรียกกิเลนที่ยอดเยี่ยมที่สุดไปเสาะหาก็ไม่สามารถพบตำแหน่งที่แน่ชัดของพวกเขาได้ แต่จางฉี่หลานรู้ว่า พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในทิวเขาที่ห่างออกไปสามสิบลี้แห่งนี้ การที่กำลังทหารตระกูลม่ออยากจะบุกเข้าไปในภูเขานั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง ดังนั้นจางฉี่หลานจึงไม่รีบร้อน และรอคอยอยู่ตรงนี้อย่างเดียว อย่างไรเสียพวกกลุ่มทหารและม้าที่อยากจะเข้าใกล้เมืองเปี้ยนก็ต้องผ่านสายตาเขาไปก่อน
ไม่ไกลจากนอกเมือง บนถนนเล็กๆ ที่ค่อนข้างห่างจากทางผ่านหลัก ทหารตระกูลม่อกำลังไล่ล่าคนกลุ่มหนึ่งอยู่ กลุ่มคนนี้มีทั้งหมดเพียงห้าคน ผู้ชายสี่คนคุ้มกันหญิงสาวที่สวมเสื้อสามัญชน พลางรบพลางถอย แม้ว่าชายสี่คนนี้จะมีฝีมือไม่เลว แต่ก็ต้องจนปัญญาเมื่อทหารที่ไล่ตามหลังมีมากเกินไป และทหารของตระกูลม่อล้วนไม่ใช่ผู้ที่คนธรรมดาที่จะเทียบเทียมได้ ทั้งสี่คนเหนื่อยหอบและเจ็บปวดจากบาดแผลเต็มตัวเต็มที แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงไม่ลืมคุ้มกันหญิงสาวที่อยู่ตรงกลาง
“คุณหนู ท่านรีบหนีไปขอรับ! พวกเราสกัดพวกมันเอาไว้เอง! ไปเมืองหลวง…ไปที่เมืองหลวงไปหา…” ผู้ชายคนหนึ่งออกแรงผลักหญิงสาวไปยังถนนสายเล็กที่คับแคบด้านหน้าพร้อมตะโกนร้อง น่าเสียดายที่คำพูดต่อมายังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกแทงเข้าที่ท้อง ล้มลงพื้นไปเสียแล้ว สามคนที่เหลือไม่มีเวลาดูเพื่อนร่วมทางของตัวเอง คนหนึ่งในนั้นจูงหญิงสาววิ่งตะบึงไปข้างหน้า ส่วนสองคนหันกลับไปสกัดทหารตระกูลม่อที่ไล่ตามอยู่ด้านหลัง
ทั้งสองคนวิ่งอย่างอุตลุดตลอดทาง น่าเสียดายที่วิ่งไปไม่ไกล หญิงสาวก็หอบหายใจอย่างแรงและล้มลงบนพื้น “ข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว…พวกเจ้าไปเถิด…”
“ไม่ได้ขอรับ! คุณหนูรีบหนีเร็วเข้าเถิด! ต้องไปถึงเมืองหลวงให้ได้ ท่านอย่าลืมนะขอรับ…ท่านแม่ทัพต้องการให้ท่านมีชีวิตต่อไป!” ทหารองครักษ์แผดเสียงดุ แล้วบังคับดึงหญิงสาวขึ้นมาวิ่งเข้าไปภายในป่าเขาที่อยู่ข้างทาง ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารที่ไล่ล่าข้างหลัง ชัดเจนแล้วว่าทหารองครักษ์สองคนนั้นได้ถูกฆ่าตายแล้ว