ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 299-3 ความยิ่งใหญ่ของแม่ทัพอาวุโส
ทั้งสองคนหลบหนีเข้าดงหนามในป่าเขา ทหารไล่ล่าพบว่าได้คลาดจากร่องรอยของพวกเขาเสียแล้ว จึงพากันออกตามหาทั่วทุกทิศเกือบชั่วโมง หยิบมีดฟันพุ่มไม้และหนามแหลมทุกหนแห่งที่คนสามารถซ่อนได้ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พบร่องรอยของทั้งสองคน จึงค่อยๆ จากไป พร้อมกับนำศพของทหารองครักษ์ที่ฆ่าตายกลับไปเพื่อรับรางวัลด้วย
ภายในป่าเขาค่อยๆ เงียบสงัดลง ผ่านไปครู่ใหญ่ พุ่มหญ้าข้างทางมีการขยับเคลื่อนไหว หญิงสาวสภาพอิดโรยปีนตัวออกมา แล้วผลักคนที่อยู่ข้างๆ “ตื่น! ตื่นขึ้นมาสิ…” ทว่ามือเรียวงามนั้นกลับเปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน หญิงสาวพลันกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ที่แท้ ตอนที่ทหารพวกนั้นกำลังออกตามหา ทหารองครักษ์ได้ใช้ร่างกายของตัวเองบังคมดาบที่ฟันฉาดลงมาในพุ่มหญ้าเอาไว้ แผ่นหลังจึงมีรอยเลือดหยดเป็นสายไม่หยุดจนคนหมดสติไป หญิงสาวตัวซีดขาวมองทหารองครักษ์ผู้เป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวหมดสติกลางดงป่าอันรกร้างว่างเปล่าตรงหน้า ในที่สุดร้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ระหว่างที่นัยน์ตาสะอื้นไห้ด้วยความพร่ามัว ก็เห็นเงาร่างสีขาวสลัวคล้ายแสงจันทร์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า หญิงสาวเงยศีรษะขึ้นมองอย่างไม่ชัดเจน “ช่วยข้า…”
ชายหนุ่มสวมเสื้อขาวนวลจันทร์มองชายและหญิงที่สลบไปอยู่ตรงหน้า คิ้วคู่โก่งดุจดังคันศรบนใบหน้าอันงดงามหมดจดย่นเข้าหากันเล็กน้อย ก้มหน้าตรวจดูบาดแผลของชายหนุ่มครู่หนึ่ง รอยแผลมากมายบนร่างกายและรอยมีดบนแผ่นหลังที่เกือบจะถึงฆาตนั่น ก็เพียงพอที่จะบอกว่าชายผู้นี้ได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างยากลำบาก หญิงสาวผู้นี้แม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าชาวบ้านธรรมดา แต่ใบหน้าอันสะสวยกับสองมือที่เรียวบางดั่งเม็ดหยกก็พอจะบอกว่าได้ว่าพื้นเพเดิมน่าจะมีสถานะที่ได้รับเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมในตระกูลชั้นสูง แต่เดิมเขาสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ กระทั่งแม้แต่ทหารองครักษ์ที่ตายไปพวกนั้น เขาก็สามารถช่วยได้ แต่สถานะที่พิเศษของเขากำหนดไว้ว่าทุกอย่างจำเป็นต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนถึงจะลงมือได้ ดังนั้นเขาเพียงแต่เฝ้ามองอยู่ในที่ลับๆ มาตลอด มองทหารองครักษ์ที่ต่อสู้และตายลงทีละคนสองคนและมองหญิงสาวที่สะอื้นไห้อย่างไร้หนทางภายในป่าอันแห้งแล้ง
“คุณชาย ทำอย่างไรดีขอรับ” ทหารองครักษ์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังถามเสียงทุ้มต่ำ
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยว่า “เมื่อครู่ได้ยินทหารองครักษ์พวกนั้นบอกว่าแม่ทัพอะไรสักอย่าง นางน่าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพคนใดคนหนึ่ง”
ทหารองครักษ์ส่ายหน้าพลางพูด “ข้าน้อยมิทราบขอรับ คิดว่าน่าจะเป็นบุตรสาวของแม่ทัพที่พ่ายแพ้ให้กับทหารตระกูลม่อกระมัง” ชายหนุ่มคิดครู่หนึ่งแล้วพูด “ลองดูซิว่าบนตัวของพวกเขามีตราอะไรหรือไม่” ทหารองครักษ์เดินเข้ามาด้านหน้า ย่อตัวลง แล้วเจอตราคาดเอวของทหารองครักษ์ที่สลบคนนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อมถอดกำไลหยกสีม่วงวงหนึ่งจากข้อมือของหญิงสาวส่งให้แก่ชาวหนุ่มรูปงามชุดขาวอย่างนอบน้อม
ชายหนุ่มรับมาพินิจดู ก่อนจะขมวดคิ้ว “นี่เป็นทหารองครักษ์ของแม่ทัพหยางหู่แห่งหู่เวย แล้วก็กำไลหยกสีม่วงวงนี้…เป็นของบรรณาการที่ดินแดนตะวันตกมอบให้ในสมัยฮ่องเต้องค์ก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนก็พระราชทานให้ใต้เท้าหลิงผู้เป็นราชครูในเวลานั้น และฮูหยินของแม่ทัพหู่เวยเป็นบุตรสาวของใต้เท้าหลิง”
ทหารองครักษ์พูดเสียงเบา “เช่นนี้แล้ว แม่นางผู้นี้ก็คือบุตรสาวของแม่ทัพหู่เวยหรือขอรับ แม่ทัพหู่เวยที่ประจำที่เมืองลี่ได้เสียชีวิตในศึกสงครามก่อนหน้านี้สิบวันแล้ว แม่นางผู้นี้…”
ชายหนุ่มครุ่นคิดเงียบๆ เป็นเวลานาน ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น “พากลับไป”
ภายในภูเขาลึกๆ มีเรือนและห้องพักอาศัยสลับปนเปกันอยู่ เนื่องด้วยดงป่ารกชัฏกับเมฆหมอกที่ปกคลุมทั้งปี คนนอกจึงแทบไม่สามารถพบร่องรอยได้เลย ภายในห้องที่เรียบง่ายหลังหนึ่ง หญิงสาวที่นอนสลบไสลสะดุ้งตื่นขึ้นโดยพลัน ราวกับตื่นจากฝันร้าย ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมา กลับเห็นชายหนุ่มงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเองในตำแหน่งไม่ไกล “อ๊ะ?! ช่วย…”
“เงียบเสีย” ชายหนุ่มพูดเสียงขรึม
หญิงสาวหลบเข้าไปด้านในสุดของผ้าคลุมเตียงด้วยความหวาดกลัว แล้วใช้ผ้าห่มพันตัวเองอย่างหนาแน่น “เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน”
ชายหนุ่มพูดเสียงขรึม “คำพูดนี้ควรจะเป็นข้าที่ถามเจ้า เจ้าเป็นใคร”
หญิงสาวกัดริมฝีปากไม่ยอมพูด “อาหลินไปไหนแล้ว เขา…เขายัง…” หญิงสาวสั่นเทา ราวกับไม่กล้าถามต่อ ชาวหนุ่มพูดอย่างเรียบนิ่ง “เขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากเจ้าอยากถามเช่นนี้น่ะนะ” เมื่อได้ยินดังนั้น ครานี้หญิงสาวถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็ดีๆ…เจ้าช่วยชีวิตพวกเราไว้หรือ”
ชายหนุ่มไม่ตอบ ถามอย่างเรียบๆ “เจ้าเป็นใคร”
“ข้า…ข้ามีนามว่าหยางเชียนหย่า บิดาของข้าคือแม่ทัพหู่เวย ท่านพ่อของข้า…ท่านพ่อของข้า…” พูดไป หญิงสาวก็ตาแดง หยดน้ำตาใสบริสุทธิ์ร่วงผล็อยลงจากขอบตา แล้วค่อยๆ สะอื้นขึ้น ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย และถอนหายใจ “ข้ารู้ แม่ทัพหู่เวยได้ตายเพื่อชาติในสงครามเมื่อสิบวันก่อน เขาให้ทหารองครักษ์คุ้มกันเจ้าแล้วพาหนีออกมาหรือ”
หญิงสาว…หยางเชียนหย่าผงกศีรษะ กัดขอบริมฝีปากและเอ่ยเสียงต่ำ “ก่อนที่เมืองลี่ยังไม่แตก ท่านพ่อให้คนคุ้มครองข้าและส่งกลับมาที่เมืองหลวง เดิมที…เดิมทีมียี่สิบคน แต่ตอนนี้…เหลือแค่เพียงอาหลินคนเดียวแล้ว ฮือๆๆ…” ชาวหนุ่มขมวดคิ้ว คิดครู่หนึ่งแล้วถามต่อ “เหตุใดทหารตระกูลม่อถึงตามฆ่าเจ้าอย่างไม่ลดละ” แม้บอกว่าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพหู่เวย แต่สำหรับทหารตระกูลม่อแล้ว นางก็ไม่ได้สลักสำคัญขนาดนั้น การไล่ล่าตลอดทางอย่างไม่หยุดเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างชัดเจน
หญิงสาวส่ายหน้าด้วยความสับสน “ข้าไม่รู้ ท่านพ่อบอกเพียงแต่ว่าให้ข้ากลับเมืองหลวงไปหาอาของข้า”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วพูด “ข้ารู้แล้ว เจ้าพักผ่อนให้ดีก่อน รอให้บาดแผลฟื้นฟู แล้วข้าจะให้คนไปส่งเจ้าที่เมืองหลวง” พูดจบก็หันกายเดินออกไปด้านนอก
“เจ้า…เชียนหย่ายังไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของคุณชาย…บุญคุณที่ช่วยชีวิตนี้ เมื่อข้ากลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว จะต้องตอบแทนคุณชายแน่นอนเจ้าค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงเบา
ฝีเท้าของชายหนุ่มพลันหยุดลง แล้วพูดอย่างเรียบเฉย “จูหลิง”
ครั้นชายหนุ่มออกจากประตูไป ทหารองครักษ์ก็ได้รออยู่ด้านนอกประตูแล้ว พอเห็นเขาออกมา ก็กระวีกระวาดเข้ามาต้อนรับและเอ่ย “คุณชาย ตรวจสอบแล้วขอรับ หลังจากที่บุตรสาวของราชครูหลิงแต่งงานกับท่านแม่ทัพหู่เว่ยก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียวจริงๆ ขอรับ แม่ทัพหยางและฮูหยินทั้งรักและเอ็นดูบุตรสาวคนนี้อย่างมาก หากบอกว่าทะนุถนอมเยี่ยงไข่ในหินก็คงไม่เกินจริงขอรับ บัดนี้ ใต้เท้าหลิงก็เป็นอาของแม่นางหยาง และเห็นหลานสาวคนนี้เสมือนกับเป็นบุตรสาวแท้ๆ ว่ากันว่า ปีนี้แม่นางหยางเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปี และได้หมั้นหมายกับคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหลิงที่เป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของนางตั้งแต่เด็ก ถ้าหากว่าครั้งนี้ซีเป่ยไม่ได้เกิดสงครามขึ้นกะทันหัน อีกไม่กี่วัน แม่ทัพหยางก็น่าจะพาบุตรสาวกลับเมืองหลวงและจัดงานแต่งให้แล้วขอรับ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะพูด “เมื่อครู่ข้าก็เพิ่งถามมา ได้ความไม่ต่างกับที่เจ้าว่านัก”
ทหารองครักษ์ถาม “เช่นนั้น…คำพูดที่นางพูดก็ไว้ใจได้หรือขอรับ”
จูหลิงพูด “เก็บนางไว้ก่อน ท่านปู่กับตระกูลหลิงค่อนข้างมีไมตรีต่อกัน ถ้าหากนางเป็นหลานสาวของตระกูลหลิงจริง และปล่อยผ่านไปโดยมิได้ช่วยเหลือก็จะรับมือกับตระกูลหลิงยาก ส่งคนไปเฝ้าพวกนางให้ดี”
“ขอรับ คุณชาย”