ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 300-1 ล่อเสือออกจากถ้ำ
ภายในป่าลึกที่ปกคลุมด้วยหมอกมาเป็นเวลานาน โดยปกติแล้ว มีน้อยครั้งที่จะเห็นแสงของดวงอาทิตย์ส่องตรงมา ดังนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ของที่แห่งนี้เกือบจะเป็นจุดแล้งของซีหลิงทั้งสิ้น ทว่า ภายในกลุ่มเขานี้กลับเป็นพื้นที่ที่เขียวชอุ่มชุ่มชื้นอย่างพบได้ยาก
หน้าประตูเรือนเล็กๆ เรือนหนึ่ง หญิงสาวซีดขาวร่างเรียวยังเดินไม่ถึงหน้าประตูก็ถูกคนขวางไว้ “ใครน่ะ”
หยางเชียนหย่าสะดุ้งตกใจ และพูดด้วยความหวาดเกรง “ขะ…ข้าอยากจะไปดูอาการบาดเจ็บของอาหลินสักหน่อย…” ทหารองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่รู้สึกสะทกสะท้านอันใดต่อหญิงสาวอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย “คุณชายสั่งว่าให้แม่นางพักฟื้นอยู่ในเรือนให้ดี เมื่อใดที่ทหารองครักษ์ท่านนั้นอาการดีขึ้นแล้วก็จะมาพบคุณหนูเองขอรับ”
หยางเชียนหย่ากัดขอบริมฝีปากเบาๆ พูดเสียงทุ้มต่ำ “แต่ว่า…ข้าเป็นห่วงมาก ฮือๆ…คนรู้จักข้างกายของข้าต่างไม่เหลือแล้ว มีเพียง มีเพียงแค่เขาเท่านั้น…ขอร้องพวกท่านล่ะ ให้ข้าไปดูเขาหน่อยเถิด” เห็นหญิงสาวตรงหน้าร้องร่ำไห้อย่างน่าสงสาร ทหารองครักษ์สองคนก็เริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมา อย่างไรเสียก็เป็นคนที่คุณชายพากลับมา และสั่งให้พวกเขาดูแลเช่นแขกพิเศษ…
“แม่นางรอประเดี๋ยวขอรับ พวกข้าจะไปรายงานต่อคุณชาย” สุดท้ายทหารองครักษ์ก็ทำได้แต่เพียงพูดประนีประนอม
“เกิดอะไรขึ้น” หยางเชียนหย่ากำลังจะพูดขอบคุณ เสียงของจูหลิงที่อยู่ด้านนอกประตูก็ดังเข้ามา ทหารองครักษ์รีบทำความเคารพ และบอกเรื่องที่หยางเชียนหย่าอยากพบกับทหารองครักษ์ของตัวเอง จูหลิงเลิกคิ้วมองหญิงสาวตัวขาวซีดที่ดูอ่อนแอและตื่นตระหนก คล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หยางเชียนหย่าจึงถามอย่างระมัดระวัง “คุณชายจู…ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของอาหลินเป็นอย่างไรบ้าง พวกข้า…พวกข้าจะได้ออกเดินทางกลับเมืองหลวงเมื่อไร คุณชายได้โปรดช่วยคุ้มครองพวกเราสองนายบ่าวกลับไปยังเมืองหลวงด้วยเถิด พอกลับถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าน้อยและตระกูลหลิงจะต้องตอบแทนคุณชายแน่นอน”
นัยน์ตาของจูหลิงส่องประกายขึ้นเล็กน้อย เห็นท่าทางของหยางเชียนหย่าดังนั้น จึงแสดงความอ่อนโยนมากขึ้น เอ่ยพลางยิ้มบางๆ “แม่นางหยางทำใจให้สบายเถิด รอให้พวกเจ้าอาการดีขึ้นแล้ว ข้าก็จะให้คนส่งพวกเจ้ากลับไปที่เมืองหลวง แต่องครักษ์หลินคนนั้นอาการบาดเจ็บไม่น้อย เกรงว่าจะต้องนอนพักอีกหลายวัน” หยางเชียนหย่าถอนหายใจ พยักหน้าพูด “เช่นนี้ ก็ขอบคุณคุณชายอย่างยิ่ง อาหลินเขาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้า…ข้าสามารถไปดูเขาได้ไหม”
จูหลิงยิ้มพูด “แม่นางหยางดูเขาอยู่ที่หน้าประตูก็พอแล้ว บาดแผลของเขาน่ะ อย่าได้เข้าไปดูใกล้ๆ จะดีกว่า ข้าได้ส่งม้าเร็วกลับเมืองหลวงไปส่งสารให้แก่คุณชายหลิงแล้ว ไม่แน่ว่าอีกไม่นาน คุณชายใหญ่หลิงก็จะมารับแม่นางหยางด้วยตัวเองแล้ว” ได้ยินดังนั้น หยางเชียนหย่าเผยความยินดีและสบายใจ “ดีจริงๆ เลย ขอบพระคุณคุณชายจูอย่างมาก คุณชายจูเป็นคนดีจริงๆ ด้วย…”
จูหลิงยิ้มเรียบๆ “ที่ไหนกัน แม่นางหยางเป็นลูกหลานของทหารผู้เสียสละ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่เหลือบ่ากว่าแรงของข้าเลย”
ปลอบใจหยางเชียนหย่าที่เป็นห่วงทหารองครักษ์แล้วก็ส่งนางกลับไปในห้อง จูหลิงถึงจะออกจากเรือนเล็กด้านนอกไป แม้ว่าเรือนที่สร้างในป่าดงดิบ ณ หุบเขาแห่งนี้จะเรียบง่ายอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับเรือนอื่นๆ ในเมือง แต่ทั้งด้านนอกและด้านในล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อย และห้องหนังสือก็อยู่ในมุมหนึ่งนอกเรือนพอดี เมื่อเข้าภายในห้องหนังสือ ทหารองครักษ์ที่ติดตามถึงจะเอ่ยปากขึ้น “คุณชายขอรับ ดูเหมือนว่าแม่นางหยางผู้นี้จะเป็นลูกสาวของแม่ทัพหู่เวยจริงๆ ขอรับ เมื่อครู่ คุณชายบอกว่าคุณชายของตระกูลหลิงจะมา ก็ไม่เห็นว่านางจะแสดงความผิดปกติอะไรออกมา”
จูหลิงพยักหน้า นั่งลงด้านหลังโต๊ะหนังสือ แล้วพูดอย่างค่อนข้างอ่อนล้า “ตอนนี้เป็นเวลาคับขัน ระมัดระวังสักหน่อยจะดีกว่า ทหารองครักษ์อาหลินคนนั้นฟื้นขึ้นมาแล้วหรือยัง”
ทหารองครักษ์พยักหน้าพูด “เพิ่งจะตื่นได้ไม่นานขอรับ บาดแผลของเขาลึกมาก มีดที่ปาดเข้าหลังของเขาเกือบจะคร่าชีวิตของเขาแล้ว สถานการณ์ที่เขาบอกก็ไม่แตกต่างจากแม่นางหยางพูดมากขอรับ ตอนที่ทหารตระกูลม่อเริ่มบุกเข้าตำหนักของเมืองลี่ แม่ทัพหยางจัดทหารสิบกว่าคนคุ้มกันและพาแม่นางหยางกลับเมืองหลวงเพื่อหันหน้าเข้าพึ่งตระกูลหลิง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าความเร็วที่ทหารตระกูลม่อบุกโจมตีเมืองจะรวดเร็วปานนั้น พวกเขาเพิ่งจะออกจากเมืองลี่ไม่นาน เมืองลี่ก็แตกพ่ายแล้ว และขณะที่พวกเขาปลอมเป็นคนธรรมดาผ่านเมืองเล็กที่ถูกจางฉี่หลานยึดครอง ก็เผลอเปิดเผยสถานะออกไป ถึงได้ถูกทหารตระกูลม่อไล่ฆ่าขอรับ”
จูหลิงขมวดคิ้ว ผงกศีรษะพูด “ดูท่าว่าอาหลินคนนี้จงรักภักดีทีเดียว บอกหมอให้รักษาด้วยยาดีที่สุด แล้วรีบรักษาบาดแผลเขาให้เร็วที่สุด”
“ขอรับ คุณชาย”
“ทางด้านท่านปู่มีข่าวคราวอะไรหรือไม่” จูหลิงเปลี่ยนมาสอบถามเรื่องจริงจัง ลักษณะสีหน้าขององครักษ์มีความกังวลมากขึ้น ส่ายหน้าพลางพูด “ไม่มีขอรับ ตั้งแต่เมืองเปี้ยนถูกทหารตระกูลม่อล้อมเอาไว้ ท่านแม่ทัพอาวุโสฝั่งนั้นก็ไม่ได้ส่งข่าวอะไรมาอีกเลยขอรับ จางฉี่หลานเฝ้าอยู่ภายในเมืองเล็ก การเข้าออกต่างๆ จึงล้วนต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด เกรงว่าแม่ทัพอาวุโสอยากจะส่งข่าวสารก็ส่งออกมาไม่ได้ คุณชายขอรับ อย่าบอกนะว่าพวกเราจะซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดไปน่ะขอรับ จะปล่อยให้จางฉี่หลานยึดครองทางเข้าออกสำคัญของเมืองเปี้ยนจริงๆ หรือขอรับ แม้บอกว่าเมืองเปี้ยนได้ตุนทรัพยากรเอาไว้มากมาย แต่ถ้าหากโดนล้อมต่อเนื่องกันหนึ่งเดือนหรือสองเดือน เกรงว่าก็ค่อนข้างลำบากอยู่ดีขอรับ”
จูหลิงไตร่ตรองครู่หนึ่ง ส่ายหน้าพูด “ไม่ ม่อซิวเหยาไม่ทำเช่นนี้แน่ เขารีบเร่งกว่าพวกเรามาก หากเวลาล่าช้าไปถึงหนึ่งหรือสองเดือน ก็เพียงพอที่ทหารกำลังเสริมของซีหลิงแต่ละแห่งหนจะเร่งมาถึงเมืองเปี้ยนแล้ว ถึงเวลานั้น แม้ว่าในกองทัพใหญ่ของเขาสี่แสนคนล้วนเป็นบุรุษผู้แกร่งกล้าสามารถ แต่ก็เป็นธรรมดาที่ปลาตายน้ำตื้น เสื้อตายในที่ราบ”
“คุณชายความหมายว่า…”
จูหลิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “กำลังทหารของม่อซิวเหยาแต่เดิมมีไม่มาก เวลานี้เขายังจะแบ่งทหารนับหมื่นยึดครองเมืองที่ไม่ถือว่าใหญ่ได้ ข้าสงสัยว่า…เขาได้ทราบการมีอยู่ของพวกเราแล้วละ” องครักษ์พลันตะลึง และเอ่ย “จางฉี่หลานของฝ่ายติ้งอ๋องเฝ้าอยู่ที่เมืองเปี้ยนก็เพื่อป้องกันพวกเรานำกำลังเสริมไปบุกตีขนาบที่เมืองเปี้ยนหรือขอรับ”
จูหลิงยกมือขึ้นกลางหว่างคิ้ว แล้วพูด “ข้ากลับคิดว่าเขาอยากให้จางฉีหลานมาถล่มพวกเราราบคาบเสียมากกว่า”
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ” ทหารองครักษ์สบถของเย็น พูดอย่างไม่เชื่อ “ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเราคุ้นเคยกับภูมิศาสตร์ในที่แห่งนี้มากขนาดที่ทหารตระกูลม่อไม่อาจสู้ได้ ในด้านกำลังทหารของจางฉี่หลาน พลทหารและม้าเล็กๆ ไม่กี่หมื่นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราเลย” จูหลิงส่ายศีรษะ ถอนหายใจ พูด “ม่อซิวเหยาจะไม่ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ เจ้าส่งคนลงภูเขาไปสืบสถานการณ์ของทหารตระกูลม่อกับเมืองเปี้ยนอีกครั้ง”
“ขอรับ คุณชาย”
สองวันถัดมา จูหลิงกำลังนั่งอยู่ภายในห้องหนังสือ เล่นหมากรุกกับหยางเชียนหย่า การได้ปฏิสัมพันธ์กันหลายวันนี้ทำให้หญิงสาวคลายความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยและความหวาดหวั่นตอนแรกได้ในที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าจูหลิงเป็นหลานชายของแม่ทัพอาวุโสจูเยี่ยน ก็ยิ่งวางใจลงอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าอายุของนางจะยังอ่อนเยาว์และไม่เคยพบกับแม่ทัพอาวุโสจูเยี่ยนมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินพวกท่านปู่กับพวกท่านอาเอ่ยถึง อย่างไรตระกูลจูและตระกูลหลิงก็มีมิตรไมตรีต่อกันพอสมควร หญิงสาวที่คลายความกังวลก็ค่อยๆ ร่าเริงแจ่มใสขึ้นมา ครั้งนี้จูหลิงถึงจะพบว่าหญิงสาวผู้นี้มิได้เหมือนกับหญิงสาวเมืองซีหลิงธรรมดาๆ ที่โดยปกติไม่ชำนาญเรื่องการดีดพิณ เล่นหมากรุก อ่านหนังสือ และวาดรูป ในทางกลับกันนางมีทักษะของปัญญาชนที่ดี แม้ว่าไม่เคยได้ยินนางดีดพิณ แต่ฝีมือการเล่นหมากรุกกลับไม่เลวจริงๆ ไม่เหมือนกับบุตรสาวของบ้านแม่ทัพที่กล่าวกัน แต่ว่าลองคิดอีกที อย่างไรฮูหยินของแม่ทัพหยางก็เป็นบุตรสาวของอดีตราชครูแห่งเมืองซีหลิงซึ่งสามารถบอกได้ว่าเป็นผู้ที่คร่ำหวอดวิชาการไม่เป็นสองรองใคร ทั้งหมดนี้จึงพอที่จะเป็นไปได้
แม้ว่าจูหลิงจะเกิดในตระกูลแม่ทัพ แต่เติบโตอยู่ในที่แห่งนี้ของเมืองเปี้ยน สำนักหลงซานซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งภพก็อยู่ที่เมืองเปี้ยนเช่นกันตั้งแต่เด็กจูหลิงก็เติบโตมากับการอบรมสั่งสอนของอาจารย์ลัทธิขงจื่อชื่อดัง อย่างไรก็ตาม เพราะเหตุผลมากมาย จึงได้แต่อยู่กับเหล่ากองทหารที่ไม่แตกฉานด้านอักษรในท่ามกลางป่าเขาเช่นนี้มาโดยตลอด บัดนี้ ได้เจอกับคนที่พอมีความรู้ความสามารถแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้
“เรียนคุณชาย ข้าน้อยมีเรื่องต้องรายงานขอรับ” เสียงรายงานที่กังวาลและใสชัดของคนด้านนอกห้องดังขึ้น