ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 300-2 ล่อเสือออกจากถ้ำ
จูหลิงมองหญิงสาวที่กำลังจดจ้องครุ่นคิดอยู่กับกระดานหมาก และเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “เข้ามาเถิด”
คนที่อยู่ด้านนอกประตูเข้ามา มองหยางเชียนหย่าอย่างลังเล หยางเชียนหย่ามีไหวพริบดี จึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “หากคุณชายมีธุระ เชียนหย่าก็ขอตัวลาก่อน ส่วนกระดานหมากค่อยมาต่อกันวันหลัง ข้าขอไปดูอาหลินสักหน่อย” จูหลิงเผยสายตาอันอ่อนโยนก่อนจะพยักหน้าพูด “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน อีกไม่กี่วันองครักษ์หลินก็สามารถลงจากเตียงได้แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณชายอย่างยิ่ง” หยางเชียนหย่าขอบคุณจูหลิงอีกครั้งพร้อมเอ่ยลา และเดินจากไป
เห็นเงากายของหญิงสาวร่างบางหายไปจากประตู จูหลิงก้มหน้ามองกระดานหมากที่ยังไม่จบอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
“คุณชาย?” ทหารองครักษ์ตรงหน้าเรียกอย่างสงสัย จูหลิงถึงจะได้สติคืนมา และเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ”
ทหารองครักษ์พูด “หลายวันนี้ทหารตระกูลม่อล้อมอยู่ที่เมืองเปี้ยน แต่มิได้บุกโจมตีเมืองอย่างหนัก กลับส่งแค่นายทหารผู้น้อยไม่กี่คนร้องด่าทออยู่ใต้กำแพงเมืองทุกวัน เมื่อตีไปตามอำเภอใจสักพักก็กลับค่ายขอรับ นอกจากม่อซิวเหยาแล้ว ก็ไม่มีแม่ทัพของกองทัพตระกูลม่อคนใดที่สามารถควบคุมกองกำลังได้เพียงผู้เดียว นอกจากนี้เมื่อวานตอนที่ทหารสองฝั่งปะทะกัน แม่ทัพอาวุโสก็พาทหารและม้ากว่าเจ็ดหมื่นออกจากเมืองมาทางด้านพวกเราแล้วขอรับ เกรงว่าน่าจะวางแผนจัดการกับจางฉี่หลานก่อน”
จูหลิงอึ้งไปทันใด คิ้วโก่งเรียวขมวดแน่น เอ่ย “เหล่าหัวหน้าแม่ทัพของม่อซิวเหยาต่างไม่เคยปรากฏตัวในสนามรบมาก่อนหรือ แต่ว่า…ด้านนี้มีเพียงจางฉี่หลานคนเดียวนี่ แล้วคนอื่นไปไหนกันหมด”
ทหารองครักษ์พูด “ทหารตระกูลม่อแอบนำคนออกมาจากค่ายใหญ่ แม่ทัพอาวุโสสงสัยว่าทหารตระกูลม่อได้รู้การมีอยู่ของพวกเรานานแล้ว และวางแผนว่า ภายนอกจะให้ดูเหมือนกำลังล้อมเมืองเปี้ยน แต่กลับรวบรวมกำลังทหารส่วนใหญ่มาจัดการกับพวกเรา เกรงว่าแม่ทัพอาวุโสน่าจะรู้สึกไม่ไว้วางใจ ดังนั้นจึงได้เร่งมาช่วยพวกเราแล้วขอรับ”
จูหลิงหลับตาลง “เมืองเปี้ยนมีใครเฝ้าอยู่”
“ท่านแม่ทัพใหญ่หลงหยางก็อยู่ที่เมืองเปี้ยนขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี…ไม่สิ ไม่ถูก ม่อซิวเหยาไม่ได้อยากจะกำจัดพวกเรา แต่เขาอยากล่อให้ท่านปู่ออกจากเมือง!” ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าของจูหลิงก็เปลี่ยนไปและลุกขึ้นโดยพลัน “ม่อซิวเหยาไม่ได้อยู่ที่ค่ายใหญ่ของกองทัพตระกูลม่อ และก็ไม่ได้อยู่กับจางฉี่หลาน เช่นนั้นก็ต้องซ่อนอยู่ที่อื่นเป็นแน่! ดูจากคนและม้าแค่นั้นของเขา ถ้าพวกเราไม่ปรากฏตัว เขาก็หาพวกเราไม่เจอแน่นอน เขาเพียงแค่อยากจะล่อให้ท่านปู่ออกจากเมือง แล้วค่อยๆ ตัดกำลังทหารของเมืองเปี้ยน”
ทหารองครักษ์ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน “เช่นนั้น…คุณชาย พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ”
จูหลิงเอ่ยเสียงขรึม “ส่งคำสั่งไปให้ทหารบุกโจมตีทัพของจางฉี่หลาน! และต้องยึดเมืองให้ได้ก่อนพรุ่งนี้เช้า ถึงจะเสริมกำลังให้ท่านปู่ได้เป็นอย่างดี!”
“ข้าน้อยจะไปบัดเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
กลางดึก ภายในหุบภูเขาของค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกวัน เงาร่างเรียวบางที่อำพรางอยู่ในเรือนท่ามกลางแสงมืดยามรัตติกาลโฉบผ่านออกมาด้วยความรวดเร็ว หลบททารหน่วยลาดตระเวนยามราตรี แล้วเงากายก็เข้าไปห้องหนังสือลับที่อยู่มุมหนึ่งหน้าเรือนอย่างปราดไว
แม้ว่าคืนนี้ ทหารที่อยู่ในป่าทั้งหมดส่วนใหญ่ต่างกลับไปแล้ว ด้านนอกห้องหนังสือยังคงคุ้มกันอย่างหนาแน่น เงามืดเข้าไปใกล้อย่างไร้เสียง ท่าทางฉับไวราวกับเงาที่เฉียดผ่านไป กว่าทหารองครักษ์นอกประตูจะรู้สึกตัว สามคนในนั้นก็ได้ล้มลงกับพื้นแล้ว
“เจ้า!? เจ้า…”
“ฉึก—— “ กริชเล่มหนึ่งลอยออกไป ปักเข้ากลางหัวใจของคนสุดท้าย
“หลินหัน?” เงาลับพูดเสียงเบา บนชายคาห้องด้านข้าง มีเสียงของคนร่างสูงแข็งแรงตกลงพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เดินมามองทั้งสี่ศพ ภายในดวงตาไม่มีความสั่นไหวแม้แต่น้อย “พระชายา” คนที่มานี้ก็คืออาหลินผู้เป็นทหารองครักษ์ทัพหู่เวยที่แต่เดิมนอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นไม่ไหว
“อาการบาดเจ็บไม่รุนแรงมากใช่ไหม” หยางเชียนหย่าซึ่งก็คือเยี่ยหลี ถามเสียงเบาๆ
หลินหันพูดเสียงทุ้มต่ำ “พ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่เป็นอะไรมากแล้วขอรับ เพียงแค่ดูเหมือนสาหัสเท่านั้นเอง” เยี่ยหลีพยักหน้าและเอ่ย “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เจ้าเฝ้าเอาไว้ ข้าจะเข้าไปสักหน่อย”
“ขอรับ”
เยี่ยหลีเข้าไปในห้องหนังสือ ไม่นานก็ออกมา แล้วเงาของทั้งสองคนก็หายจากไปเรือนอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน เพลิงสีแดงก็ลุกโชนขึ้นท่ามกลางม่านรัตติกาลมืดดำพร้อมกับหมอกควันหนาทึบ ส่องประกายบนท้องฟ้ายามราตรีในกลุ่มเขา…
เมื่อแสงของท้องฟ้าใกล้สว่าง ศึกสงครามในเมืองเล็กก็ลุกฮือขึ้นอย่างเป็นทางการ เมืองเล็กๆ นี้แต่เดิมก็แข็งแรงทนทานเทียบไม่ได้กับเมืองเปี้ยนที่มีแม่น้ำล้อมรอบเมือง นอกจากนี้ ความสูงและความหนาของกำแพงก็เมืองห่างชั้นอย่างมากกับเมืองเปี้ยน ถึงขนาดว่ามีพื้นที่บางส่วนแม้แต่กำแพงเมืองก็ไม่มี แม้ว่าอยากจะป้องกันเมืองเล็กๆ นี้แต่ก็ยากยิ่งกว่าการป้องกันจากการถูกบุกเข้าวังหลวงอย่างมาก ดังนั้นจูหลิงจึงพาคนบุกเข้าเมืองได้โดยแทบไม่ได้พบกับอุปสรรคที่ลำบากมากมายนัก แล้วเริ่มเปิดฉากสังหารทหารตระกูลม่อภายในเมืองอย่างดุเดือด
มุมหนึ่งทางฝั่งแม่น้ำล้อมเมืองที่ลับตาผู้คน จางฉี่หลานพาหน่วยทหารของตัวเองยืนอยู่บนพื้นที่สูงมองการฆ่าฟันภายในเมือง ลูกน้องเตือนเสียงเบา “ท่านแม่ทัพขอรับ ฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีทหารและม้าจำนวนราวๆ แสนกว่าคน พวกเราควรถอนกำลังได้แล้วขอรับ”
จางฉี่หลานส่ายศีรษะพูด “ไม่ได้ ตามที่ข้อมูลที่ชายาให้แก่พวกข้า ฝ่ายตรงข้ามมีอย่างน้อยหนึ่งแสนแปดหมื่น”
“แต่ว่าเมืองนี้เล็กเกินไปนะขอรับ จะขยายคนและม้าถึงแสนกว่านายไม่ได้หรอกขอรับ ศัตรูจึงไม่อาจนำกำลังทหารทั้งหมดออกมาได้” หัวหน้าหน่วยเตือนเสียงเบา จางฉี่หลานปรายตามองเขาอย่างเคืองโกรธ “เรื่องนี้แม่ทัพอย่างข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งแสนคนก็เบียดเสียดกันจนจะไม่มีพื้นยืนแล้ว ไปสั่งเจ้าพวกที่อยู่นอกเมืองพวกนั้นให้แอบถอยทัพออกไปด้านนอก ถึงตาที่ตัวข้าจะได้บุกแล้ว! ยื้อพวกมันเอาไว้ ต้องยื้อพวกมันจนกว่าคนและม้าของจูเยี่ยนจะมาถึงให้ได้”
เมื่อได้ฟังดังนั้น หัวหน้าหน่วยก็มีสีหน้าขมขื่น เอ่ย “ถ้าเช่นนี้ พวกเราก็ไม่มีทางรอดจริงๆ เสียแล้ว” คนแสนคนก็เกินจะให้พวกเรารับมือแล้ว ถ้ามาอีกหลายหมื่นคนบวกกับแม่ทัพอาวุโสที่ได้ผ่านสนามรบมายาวนาน จะให้พวกเขามีชีวิตรอดได้อย่างไร จางฉี่หลานอมยิ้มตบไหล่ของลูกน้องและพูด “กลัวอะไรเล่า ไม่ต้องกลัว แม่ทัพอย่างข้าอยู่กับพวกเจ้าอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีทางรอดจริงๆ พวกเราก็ยังลากแม่ทัพของซีหลิงร่วมลงหลุมศพด้วยกันได้ ไม่ขาดทุนหรอก”
หัวหน้าหน่วยเบิกตาโพลง พูดเสียงดัง “ใครกลัวกันเล่า คนอย่างข้าจะไม่ลงหลุมศพไปกับจูเยี่ยนหรอก! ข้ายังจะต้องต่อสู้ครองแผ่นดินไปพร้อมกับท่านอ๋อง” จางฉี่หลานยิ้มพูด “กล้าหาญเช่นนี้ก็ดี ข้าจะจับตาดูเจ้าไว้ ฮ่าๆ…”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่ ทางด้านตะวันออกนอกเมืองมีแสงเพลิงลุกโชนขึ้น จางฉี่หลานสูดหายใจเข้าลึก และพูด “มาแล้ว…”
จูเยี่ยนมาอย่างรวดเร็ว ด้านนี้เพิ่งจะเห็นคบเพลิง ด้านนั้นก็ได้บุกมาถึงใต้ประตูเมือง ประตูเมืองเล็กๆ รับแรงกระแทกไม่ได้แม้แต่น้อย ทหารตระกูลม่อก็ไม่ได้มีพลกำลังมากขนาดที่จะไปป้องกันกำแพงเมืองอีก ไม่นาน ประตูเมืองทางด้านตะวันออกก็ถูกทหารของซีหลิงพังทลายลง ทหารตระกูลม่อก็ถูกทหารฝ่ายศัตรูซ้ายขวาบีบอยู่ตรงกลาง จางฉี่หลานเห็นว่าแสงของท้องฟ้าสว่างมากแล้ว จึงพูดอย่างเสียดายขึ้นมา “ถึงเวลาถอนกำลังแล้ว!” ทันใดนั้นเสียงฆ้องดังขึ้น ทหารตระกูลม่อ หนีออกไปหมดเกลี้ยงโดยไม่อาลัยสงคราม หลายวันนี้ ทหารซีหลิงอัดอั้นตันใจอย่างมาก เมื่อเห็นทหารตระกูลม่อแตกกระจายและหนีไป ก็อยากจะเดินหน้าตามไปไล่ฆ่า แต่กลับถูกจูเยี่ยนปรามเอาไว้
“ไม่ต้องตามแล้ว ด้านหน้าอาจจะเป็นกับดัก” จูหลิงพูด
จูเยี่ยนพยักหน้าพูด “ถูกต้อง การถอนกำลังของทหารตระกูลม่อดูเหมือนว่ายุ่งเหยิง แต่กลับเป็นยุ่งเหยิงอย่างเป็นระเบียบ และไม่ได้เป็นสถานการณ์พ่ายแพ้อย่างราบคาบ การเคลื่อนไหวเช่นนี้เกรงว่าอยากจะล่อพวกเราให้ติดกับ”
หลังจากสั่งทหารชั้นผู้น้อยไปเก็บกวาดสนามรบ จูหลิงกับจูเยี่ยนถึงจะมีเวลาพูดคุยกันส่วนตัว เพราะว่าสถานะความสัมพันธ์ของจูเยี่ยนและจูหลิงที่ตอนนี้ต้องรับหน้าที่เฝ้าดูแลอยู่ในเขาลึกหลายปี ปู่และหลานสองคนจึงไม่พบเจอกันเป็นเวลานาน ครั้งนี้ห่างกันกับที่ครั้งที่แล้วที่เจอกัน ก็เป็นเรื่องตั้งแต่ปีครึ่งก่อนแล้ว มองหลานชายที่แข็งแกร่ง รูปร่างสูงตรงและสีหน้าแน่วแน่เบื้องหน้า จูเยี่ยนก็พยักหน้าด้วยความชื่นชมยินดี ในเวลาเดียวกัน ภายในใจก็รู้สึกละอายต่อหลานชายคนนี้อย่างมาก เพราะเขาต้องช่วยควบคุมกองทหารกลุ่มนี้แทนตน จึงอยู่ได้แต่ในหุบเขาลึก ไม่เห็นเดือนและตะวันตลอดปี เด็กคนนี้เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา และเป็นลูกหลานที่รักและเอ็นดูมากที่สุด มีบางครั้งจูเยี่ยนคิดกระทั่งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยืนหยัดและรักษาเอาไว้ในตอนแรกนั้น สุดท้ายแล้วคุ้มค่าหรือไม่