ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 301-1 บทสุดท้ายของจูเยี่ยน
ในสนามรบ เห็นจูหลิงทำลายแนวขวางกั้นจนพินาศทั้งหมด ทางด้านทหารของตระกูลม่อก็เริ่มรู้สึกนั่งไม่ติดแล้ว แม้ว่าจางฉี่หลานจะรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจูหลิงเลย แต่ก็ไม่ยินดีที่จะเห็นฝ่ายตรงข้ามได้ใจต่อหน้าต่อตาตนเองเช่นนี้
“เจ้าเด็กนี่เป็นใครมาจากไหนกัน” จางฉี่หลานย่นคิ้วถาม
ฉินเฟิงที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้ม “น่าจะเป็นลูกหลานของจูเยี่ยนอะไรนั่นล่ะ ได้ยินว่าจูเยี่ยนมีหลานชายคนหนึ่ง แต่ว่าร่างกายของเขาอ่อนแอ เจ็บไข้อิดๆ ออดๆ พออายุราวๆ สิบขวบก็ไม่เคยมีใครได้พบเขาอีกเลย คนจำนวนไม่น้อยคาดเดาว่าน่าจะตายตั้งแต่เด็ก ในตอนนี้ดูๆ แล้วเกรงว่าน่าจะเป็นผู้นี้แล” จางฉี่หลานพยักหน้าพูด “มิน่าล่ะ หลานชายของแม่ทัพใหญ่จิ้งเทียนเชียวนะ ต้องได้เป็นบุคลสำคัญจริงๆ ด้วย ผู้บัญชาการฉิน ต้องขอรบกวนเจ้าแล้วล่ะ” หัวหน้าทัพฉีหลินบอกว่า จะตามมาช่วยคุ้มกันเมืองให้ได้ ก็มาเพื่อทำหน้าที่นี้ไม่ใช่หรือ
ฉินเฟิงยีฟันเผยยิ้มที่หาได้ยาก ทันทีที่ดึงบังเหียนม้าศึกที่ฝึกมาอย่างชำนาญ เสียงม้าก็ร้องขึ้น และมุ่งหน้าไปหาชายหนุ่มเสื้อขาวนวลจันทร์ที่อยู่กลางสนามรบ ภายในสนามรบอันดุเดือด จูหลิงก็สัมผัสได้ว่ามีบุคคลหนึ่งบุกเข้ามาหาตัวเอง จึงสะบัดออกจากศัตรูข้างกายแล้วหันกลับมารับศึก และเผชิญหน้ากับฉินเฟิงที่อยู่ตรงข้ามพอดี ฉินเฟิงเลิ่กคิ้วเล็กน้อย ดาบยาวที่ถืออยู่ในมือกรีดกรายออก แล้วเหวี่ยงเข้าตรงหน้าจูหลิง จูหลิงเอี้ยวตัวหลบอยู่บนหลังม้า เวลาเดียวกันดาบยาวบนมือก็ยกขึ้นจู่โจมกลับ ทั้งสองคนก็สะบัดเหวี่ยงกันไปมาบนหลังม้า
เพียงแต่ว่าอาวุธที่ทั้งสองคนใช้คือดาบ ดาบยิ่งยาวก็ยิ่งมีข้อจำกัด การขยับอยู่บนม้าจึงมิได้สะดวกนัก พอฟาดฟันกลับไปกลับมาไม่กี่สิบครั้ง ทั้งสองคนก็กระโดดลงจากหลังม้ามาอยู่บนพื้นสนามพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ดาบยาวบนมือของจูหลิงสั่นไหว แล้วเล็งตรงไปยังหน้าฉินเฟิง “เจ้าเป็นใครกัน จงบอกนามมา”
ฉินเฟิงยกยิ้ม “ข้านามว่าฉินเฟิงเป็นทหารในพระชายาแห่งจวนติ้งอ๋อง ส่วนตัวท่านคือผู้ใด”
จูหลิงย่นคิ้วเล็กน้อย ถ้อยคำดังกล่าวของฝ่ายตรงข้ามไม่ต่างอะไรกับไม่ได้พูดเลย แต่ก็ตอบกลับไปอย่างเย็นชา “ข้าคือจูหลิง ผู้บัญชาการเชี่ยนกั๋วแห่งแคว้นซีหลิง”
ฉินเฟิงยิ้มพลางพูด “ที่แท้ก็เป็นลูกหลานของท่านแม่ทัพอาวุโสจูหรือ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ!” จูหลิงสบถเบาๆ ทั้งสองไม่พูดจาหาความกันอีก แล้วเริ่มแลกดาบฟาดฟันกันอีกครั้ง
จางฉี่หลานที่อยู่ด้านหลังเห็นจูหลิงถูกฉินเฟิงรบเร้า อารมณ์ก็ดีขึ้นอย่างมากทันที แล้วพยักหน้าไม่หยุด “พระชายาเก็บฉินเฟิงไว้เป็นความคิดที่ไม่เลวจริงๆ ด้วย พระชายาเป็นผู้ที่มีแผนการณ์ล้ำลึกกว้างไกลโดยแท้จริง แม่ทัพอย่างข้าเทียบไม่ได้เลย” ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีฉินเฟิงอยู่ จะต้องรับมือกับจูหลิงคนนี้อย่างลำบากแน่นอน ดังนั้น การที่มีเหล่าฝีมือดีแห่งภพเข้ามายุ่มย่ามเพิ่มในสนามรบจึงเป็นอะไรที่น่ารำคาญใจที่สุดแล้ว พลังสังหารของฝีมือดีพวกนี้แข็งกร่งกว่าทหารธรรมดาหลายเท่าหรือถึงขนาดเป็นสิบเท่า ถ้าหากว่าส่งแม่ทัพออกไปสู้กับพวกเขา หรือถ้าหากเพราะว่าพวกฝีมือดีแห่งภพเหล่านี้ทำให้ต้องสูญเสียแม่ทัพที่สามารถนำทัพในสงครามได้ก็คงจะขาดทุนย่อยยับ จางฉี่หลานจึงตัดสินใจว่าต่อไปทุกๆ ศึกต้องยืมหน่วยทัพฉีหลินของพระชายามาช่วยกดดันแนวรบสักหน่อย
ทางด้านจางฉี่หลานก็ดีใจแล้ว แต่ด้านจูเยี่ยนที่อยู่บนกำแพงกลับดีใจไม่ออก ทันทีที่จูหลิงถูกปิดล้อม กองแนวรบซีหลิงด้านหลังก็ชุลมุนวุ่นวายทันที ทหารตระกูลม่อสบโอกาสเพียงไม่กี่นาทีก็สร้างความเสียหายต่อทหารของซีหลิงไปได้เกือบครึ่ง ฉินเฟิงต่อสู้กับจูหลิงอย่างบันเทิงใจ แม้ว่าจวนติ้งอ๋องจะมีมือดีมากมาย แต่ทุกคนล้วนเป็นคนรู้จักมักคุ้น ท้าดวลกันก็มิได้สนุกอะไร และฉินเฟิงก็ไม่มีความกล้าที่จะก้าวข้ามไปท้าทายฝีมือดีอย่างติ้งอ๋องในช่วงเวลานี้ ดังนั้นจึงยากที่จะพบผู้มีฝีมือขั้นสูงที่ไม่คุ้นเคยอย่างจูหลิงเช่นนี้ ย่อมดีใจที่ได้ปิดล้อมเขาอยู่แล้ว จูหลิงที่เป็นคู่ปรับของเขาก็โอดครวญอยู่ในใจอย่างไม่ขาดสาย เขาคิดไม่ถึงว่าการที่ตัวเองยื่นมือเข้ามา กลับถูกทหารอายุน้อยไม่ทราบชื่อคนหนึ่งของทหารตระกูลม่อสกัดกั้นได้นานถึงเพียงนี้ แต่เดิมอยากจะรีบเผด็จศึกฉินเฟิงอย่างเร็วที่สุด เพื่อแสดงอำนาจแสงยานุภาพ แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถทำให้ศึกนี้จบลงได้ เขารู้สึกถึงสถานการณ์คับขันเสียแล้ว ฉินเฟิงเองก็ไม่ยอมหยุดยั้ง เขาจึงมิอาจหยุดศึกได้เพียงฝ่ายเดียว
การแลกดาบครั้งนี้ เขาพบว่าฝีมือของฉินเฟิงไม่ได้แย่ไปกว่าตัวเองเลย ถ้าหากว่ายังสู้เช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะต้องพ่ายแพ้และบาดเจ็บหนักด้วยกันทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้น…ฉินเฟิงสามารถบาดเจ็บได้ ทว่า จูหลิงไม่อาจบาดเจ็บได้ เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพรักษาความสงบ และท่านปู่จูเยี่ยนก็มีอายุมากจนไม่สามารถเป็นผู้บัญชาการนำกองทัพใหญ่ให้บุกลงสนามรบที่ดุเดือดได้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จูหลิงลงมือในขณะว้าวุ่นใจ ทำให้ท่วงท่าขาดความหนักแน่นฉินเฟิงจึงได้โอกาสฟาดเข้ามาเต็มแรงจนเกือบจะได้รับบาดเจ็บหนัก
บนกำแพงเมือง จูเยี่ยนเห็นจูหลิงติดพันอยู่กับการต่อสู้กับฉินเฟิง จึงขมวดคิ้ว และส่งสัญญาณให้ทหารข้างกายตีฆ้องถอยทัพ
ทันทีที่เสียงสัญญาณดังขึ้น ทหารซีหลิงก็ถอยทัพกลับเข้าไปในประตูเมืองอย่างรวดเร็ว จางฉี่หลานก็ไม่ให้คนไล่ตาม ประตูเมืองเมืองเล็กแห่งนี้ง่ายที่จะตีแตกนัก แต่ว่าภายในเมืองที่มีกองทัพซีหลิงขนาดใหญ่จำนวนเกือบสองแสนนายนั้นไม่ได้รับมือง่ายๆ ถ้าหากเข้าเมืองไปปะทะกับทัพใหญ่ของซีหลิงจนทำให้มีผู้คนบาดเจ็บและตายจำนวนมากเกินไปก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทหารตระกูลม่อจะยอมแลก
ฉินเฟิงก็ไม่ได้อาลัยสงครามเช่นกัน ถอยห่างออกมาระยะหนึ่งเพื่อปล่อยให้จูหลิงกลับเมืองไปอย่างใจกว้าง แล้วขี่ม้ากลับมายังกองทัพตระกูลม่อ
“เป็นอย่างไรบ้าง” จางฉี่หลานถาม
ใบหน้าของฉินเฟิงเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ พยักหน้าชื่นชม “ฝีมือดี ท่านแม่ทัพจางอย่าได้วู่วามเข้าไปปะทะกับเขาจะดีที่สุด” จางฉี่หลานเบะปากไม่พอใจและบ่น “ข้ารู้น่า ข้าไม่ได้เบื่อหน่ายกับการมีชีวิตสักหน่อย เจ้าเด็กน้อย ตอนนี้บอกได้แล้วใช่ไหมว่าพระชายาไปไหนแล้ว” อย่าคิดว่าคนที่มีนิสัยไม่สนใจใยดีอะไรต่อมิอะไรนักอย่างจางฉี่หลานจะไร้หัวใจ เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว พระชายาติ้งอ๋องที่บอกว่าจะมาช่วยหนุนพวกเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเลย แล้วนี่จะทำให้จางฉี่หลานไม่รู้สึกร้อนใจได้อย่างไร อีกทั้งดูจากสภาพการณ์แล้ว เกรงว่าแม้แต่ท่านอ๋องเองก็ยังไม่รู้ว่าพระชายาหายตัวไปไหนแล้ว ถ้าหากว่าให้ท่านอ๋องทราบเรื่องขึ้นมา จะไม่มาถลกหนังของเขาเอาหรือ
“ท่านแม่ทัพจาง ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนขอรับ” ฉินเฟิงพูดปลอบ “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าได้ส่งคนไปรับพระชายาแล้ว”
จางฉี่หลานกรอกตามองบนอย่างเอือมระอา เจ้าไม่พูดยังจะดีเสียกว่า ถึงขั้นที่จำเป็นต้องให้คนไปรับแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าสถานที่ที่พระชายาไปไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น จางฉี่หลานสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อยับยั้งความฉุนเฉียวที่มีต่อเจ้าคนนี้ “แล้วพวกข้าทำอะไรได้อีกเล่า” ฉินเฟิงคิดครู่หนึ่งแล้วพูด “รอสัญญาณจากพระชายา จากนั้นก็ล้อมถล่มทัพศัตรูพร้อมกับคุณชายเฟิ่งซาน”
“เฟิ่งซานไม่ได้อยู่ที่ค่ายใหญ่หรอกหรือ?! เขาจะทะลุออกมาจากไหนได้อีก” จางฉี่หลานพูดด้วยความเกรี้ยวกราด
สีหน้าของฉินเฟิงสบายๆ “ลิขิตแห่งฟ้ามิอาจเปิดเผย สิ่งนี้…ท่านแม่ทัพ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่ขอรับ”
เข้าใจกับผีน่ะสิ!
ทหารทั้งสองฝั่งถอยทัพไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ภูเขาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ก็เกิดควันดำทึบโขมงขึ้นมา อาศัยที่สภาพอากาศวันนี้ไม่เลว ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ ทำให้หมอกที่ปกคลุมภูเขาในทุกวันจางหายไปไม่น้อย แม้ว่าพวกเขาจะห่างไกลออกมาหลายสิบลี้ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนี้ จูหลิงกับจูเยี่ยนกลับตกใจจนหน้าถอดสี “ท่านปู่! ที่ภูเขา…” ภายในภูเขาไม่เพียงแต่ซ่อนทหารมือดีเอาไว้หลายแสนคน ในเวลาเดียวกันก็มีเสบียงอาหารแห้งพอที่จะให้กองทัพใหญ่สองแสนนายได้มีกินมีใช้ตลอดหนึ่งปีทีเดียว จูเยี่ยนย่อมรู้เรื่องนี้เช่นกัน ใบหน้าชราเคร่งขรึมขึ้น “เจ้ารีบพาทหารกลับไป!”
“แต่ว่าท่านปู่ ทางนี้…” จูหลิงพูดอย่างกระสับกระส่าย
จูเยี่ยนพูดแทรกเขา “ไม่ต้องพูดมาก ถ้าฐานทัพของเราถูกทหารตระกูลม่อยึดได้แล้ว พวกเราหลายแสนคนที่ขังตัวเองอยู่ในเมืองจะมีเสบียงค้ำจุนได้เพียงไม่กี่วัน” เมืองเล็กนี้มิได้เป็นเมืองขนาดใหญ่เช่นเมืองเปี้ยน ที่ต่อให้จะถูกทหารตระกูลม่อล้อมเอาไว้เป็นเวลาสามถึงห้าเดือนก็ไม่มีปัญหา เกรงว่ากองทัพใหญ่แสนกว่านายเช่นนี้จะทำให้เสบียงที่เก็บสะสมไว้ในเมืองเล็กๆ นี้หมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึงสามหรือห้าวัน เมื่อถึงตอนนั้นคงได้แต่หิวท้องกิ่ว รอให้ทหารตระกูลม่อมาเก็บกวาด
“ทหารตระกูลม่อไม่ได้มีคนมากมายขนาดนั้น ม้าและคนด้านนั้นมีจำนวนไม่เกินสามหมื่นคน เจ้าพาทหารกลับไป ไม่ว่าอย่างไรจะต้องรักษาด้านนั้นไว้ให้มั่นคง!” จูเยี่ยนสั่ง