ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 301-2 บทสุดท้ายของจูเยี่ยน
“ท่านปู่…”
จูเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ ตบบ่าของหลานชาย“ไปเถิด ปู่จะสกัดด้านหลังแทนเจ้าเอง”
จูหลิงกัดฟัน นัยน์ตาแดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพูด “หลานทราบแล้ว ท่านปู่รักษาตัวด้วย!”
“ไปเถอะ!”
จูหลิงพาทหารและม้าแสนกว่านายของตัวเองไปยังภูเขาที่เป็นฐานทัพของพวกเขายึดครองมาหลายสิบปี และเมืองเล็กๆ ด้านหลังเขาได้มีจูเยี่ยนที่อายุมากกว่าเจ็ดสิบปีนำทหารของซีหลิงไม่ถึงห้าหมื่นป้องกันเมืองเล็กๆ โดดเดี่ยวเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าก็คือ กองทัพตระกูลม่อที่มีทหารและม้าอันแข็งแกร่งที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะสังหารจำนวนเกินแสนคน ขณะที่นั่งอยู่บนหลังม้าจูหลิงหันหน้ามองกลับไปยังเมืองเล็กๆ ท่ามกลางม่านรัตติกาลครู่หนึ่ง เห็นแต่เพียงท่านปู่ชรายืนอยู่บนกำแพงเมืองมองมาทางตัวเอง ในใจก็ไหวสั่น จูหลิงอดกลั้นความรู้สึกแสบร้อนที่ขอบตา แล้วใช้บังเหียนตีม้าที่อยู่ข้างใต้กาย มุ่งตะบึงไปข้างหน้าปานสายลม
ทิวเขาที่เป็นถิ่นฐานของกองทัพรักษาความสงบห่างจากเมืองเล็กแห่งนี้ไม่ไกล สำหรับทหารเดินบกแล้ว ระยะทางยี่สิบหรือสามสิบลี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามครึ่งเท่านั้น แต่หลังจากที่ขึ้นเขาแล้ว ความเร็วของพวกเขากลับต้องเชื่องช้าลง แม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยแห่งนี้มาสิบกว่าปีจนไม่อาจจะคุ้นเคยไปกว่านี้อีกแล้ว ทว่า ตอนนี้คนที่ซ่อนอยู่ในนี้กลับไม่ใช่เหล่าพี่น้องทหารคนสนิทอีกต่อไป จึงยิ่งมีความเป็นไปได้ที่คนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับจะเป็นศัตรูของพวกเขา
“คุณชาย คนตรวจตราเส้นทางกลับมารายงานว่าข้างหน้าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ” ทหารองครักษ์ขี่ม้ากลับมารายงานตรงหน้าจูหลิงด้วยเสียงทุ้มต่ำ
จูหลิงพูดเสียงขรึม “ก็เพราะไม่มีการเคลื่อนไหวน่ะสิถึงยิ่งผิดปกติ กลัวก็แต่….คนที่อยู่แต่เดิมล้วนไม่เหลือแล้ว” ก่อนที่เขาออกมามีทหารและม้าสามหมื่นคนเฝ้าอยู่ในป่าเขา ถ้าหากพวกเขากลับมา แล้วไฉนคนพวกนี้ถึงไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อยได้เล่า และยิ่งตอนนี้ เมื่อเห็นภูเขาดำมืดสนิทและสงัดเงียบไร้เสียง จูหลิงก็กุมความคาดหวังบางๆ สุดท้ายในใจ
“คุณชาย แม่นางหยางคนนั้นจริงๆ แล้ว…” ทหารองครักษ์เริ่มรู้สึกว่าพูดต่อไม่ออก แม้ว่าจะได้ปฏิสัมพันธ์กันภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน แต่เขาค่อนข้างรู้สึกเป็นมิตรต่อแม่นางหยางผู้นั้น นอกจากนี้ เขาก็ยังมองออกว่าคุณชายตระกูลตัวเองมีความรู้สึกเล็กๆ บางอย่างต่อแม่นางผู้นั้นแตกต่างจากคนอื่น พวกเขาอยู่ท่ามกลางภูเขาลึกหลายปี น้อยนักที่จะมีคนนอกไปมาหาสู่ ถ้าคุณชายเข้ากันได้ดีกับแม่นางหยางก็เป็นเรื่องน่ายินดี เพียงแต่ไม่คิดว่า….
คิดถึงหญิงสาวร่างบางนุ่มนวลคนนั้น สีหน้าของจูหลิงก็ขรึมลงทันที เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะถูกผู้หญิงคนหนึ่งหลอกได้ แล้วผู้หญิงคนนั้น…แม้ว่าจนถึงตอนนี้ เขายังคงฝัน อยากจะให้เป็นเพียงการเข้าใจผิด แต่สติปัญญาของเขาบอกกับตัวเขาเช่นกันว่า บนโลกนี้จะมีเรื่องเข้าใจผิดที่มันบังเอิญเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า
เห็นสีหน้าที่หม่นหมองของคุณชายตัวเองยามค่ำคืน ทหารองครักษ์ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง เอ่ย “คุณชาย ผ่านหุบเขานี้ไปก็จะถึงค่ายของพวกเราแล้ว”
“ให้คนด้านหน้าระวังสักหน่อย” จูหลิงพยักหน้าและกล่าวเสียงทุ้มหนัก
แต่บางครั้งระวังไปก็เท่านั้น ช่องทางเดินระหว่างภูเขาคับแคบ ทหารด้านหน้าเดินผ่านไปอย่างปลอดภัยโดยที่ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังจะวางใจลง เสียงภายในภูเขาก็ดังสนั่นขึ้น ผู้คนมองขึ้นไปบนเขาด้านข้าง เห็นหินก้อนยักษ์ถูกบางสิ่งผลักลงมาจากยอดเขา จากนั้นเสียงร้องโห่ร้องรอบข้างดังขึ้นทั่วทุกทิศ หินนับไม่ถ้วนจากไหล่เขาทั้งสองด้านตกลงมากั้นเส้นทางข้างหน้าและข้างหลังอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงร้องโหยหวนร้องขอชีวิตเหล่าของทหารมากมายที่โดนหินทับใส่ ภายในระยะเวลาเดียว เสียงก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่าเขา
ไม่นาน ไหล่เขาทั้งสองฝั่งก็ปรากฏคบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนยาวทอดเส้นทางทั้งสองฝั่ง ส่องสว่างท่ามกลางป่าเขาอันมืดมิดในชั่วพริบตา
ทหารซีหลิงที่ถูกขังอยู่ในภูเขาร้องตกใจด้วยความตื่นตระหนก บางคนได้สติและคิดจะโต้กลับแล้ว เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามอยู่สูง อีกทั้งทักษะด้านธนูของทหารตระกูลม่อก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกแคว้น เพียงไม่นาน หุบเขาก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดรุนแรง
จูหลิงยืนอยู่ท่ามกลางทหารที่อลหม่านอย่างเงียบๆ ทหารองครักษ์ข้างกายก็ปัดแกว่งศรธนูที่ยิงเข้ามาตรงหน้าด้วยความจงรักภักดี ใบหน้ารูปงามที่เต็มไปด้วยความโกรธและความดุร้ายปรากฏภายใต้แสงไฟที่ติดๆ ดับๆ แต่ว่าการเผชิญหน้ากับฝนธนูด้านบนที่โถมเข้ามา เกินกว่ากำลังที่เขาจะต้านไหว น้ำพักน้ำแรงสิบกว่าปีและค่ายทหารที่ใช้เวลายี่สิบกว่าปีสร้างมาอย่างยากลำบากของท่านปู่ นึกไม่ถึงว่าจะพังพินาศตอนที่ตัวเองยังไม่ทันได้สติคืนมาเช่นนี้อย่างนั้นหรือ สิ่งที่ถล่มในหุบเขาเล็กๆ แห่งนี้ของวันนี้ ไม่เพียงแต่เป็นทหารของกองทัพรักษาความสงบหลายแสนคนของตระกูลจู ยังรวมไปถึงความลำเข็ญ ความโดดเดี่ยว ความอดทนเฝ้ารอ และความหวังภายในใจของเขาหลายสิบปี
ในที่สุดแล้วก็ยังอ่อนประสบการณ์เกินไป แต่สิ่งที่จูหลิงไม่เข้าใจก็คือคำที่คนโบราณพูดเอาไว้ว่า วีรบุรุษจะปรากฏตัวในกลียุค ทว่า วีรบุรุษที่สร้างในกลียุคกลับจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และจำนวนที่มากกว่านั้นก็คือทหารที่ต้องตายแทนพวกวีรบุรุษเหล่านั้นนั่นเอง อีกทั้งบนโลกนี้ ไม่มีคนตั้งกฎแน่นอนว่าใครทุ่มเทเท่าไรก็จะได้เป็นวีรบุรุษในกลียุค
“คุณชาย รีบหนีเถิดขอรับ!” ทหารองครักษ์ด้านหลังผลักเขา ทำให้เขาได้สติคืนมา ครานี้จูหลิงถึงจะเห็นว่าทหารองครักษ์หลายคนข้างกายถูกยิงจนร่างเต็มไปด้วยเลือดแล้ว กลับยังคงอดทนคุ้มกันอยู่รอบตัวเอง เพียงแต่พวกเขาเสียเปรียบในด้านภูมิศาสตร์อย่างยิ่ง ไหนเลยที่จะป้องกันนักธนูมือฉมังของทหารตระกูลม่อได้ง่ายดายขนาดนั้น ในเวลานี้เบื้องหน้าของพวกเขาได้มาถึงเส้นทางแห่งความตายแล้ว
จูหลิงยิ้มอย่างขมขื่น “หนีหรือ ข้าจะหนีไปที่ไหนได้อีก”
“ไปที่ไหนก็ได้ขอรับ ตราบใดที่ยังมีภูเขาเขียวขจีอยู่ ก็อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีฟืน คุณชาย รีบหนีเถิดขอรับ!” ทหารองครักษ์ตะโกนเร่งเขา และอดไม่ได้ที่จะผลักจูหลิงพร้อมพูดเตือนเสียงเข้ม “คุณชาย ท่านอย่าลืมว่าท่านแม่ทัพอาวุโสยังรอท่านอยู่นะขอรับ” จูหลิงสะดุ้งทันที ราวกับว่าครั้งนี้จะได้สติคืนมาแล้วจริงๆ และเงยหน้ามองช่องโหว่ช่องหนึ่งในหุบเขา บัดนี้ ทหารที่สามารถยืนไหวก็มีไม่ถึงครึ่งแล้ว
“คุ้มกันคุณชาย! ฝ่าออกไป!” คนข้างกายตะโกนเสียงทุ้ม แล้วขุนนางประจำตระกูลจูพร้อมทหารองครักษ์ผู้จงรักภักดีต่างทะลักเข้ามา และช่วยพยุงจูหลิงฝ่าไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาอาศัยอยู่ในป่าเขาแห่งนี้ยี่สิบกว่าปี ย่อมรู้ว่าที่แห่งหนใดมีความเป็นไปได้ที่จะฝ่าออกไปได้มากกว่า ทหารที่เหลือราวกับเข้าใจว่าตัวเองถึงคราวจนมุมแล้ว จึงพากันร้องอย่างโกรธแค้น มุ่งขึ้นไปไหล่เขาสองข้างเพื่อลากศัตรูตายไปด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกยิงร่วงตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งปีนขึ้นถึงยอดเขาแล้ว แต่กลับหนีไม่พ้นคมดาบบนมือของทหารตระกูลม่อที่รออยู่แล้ว
คนเดินที่คุ้มกันจูหลิงล้วนเป็นกลุ่มที่มีวิทยายุทธแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายพวกที่ฝ่าออกไปจากหุบเขาได้เหลือไม่ถึงเจ็ดแปดคน ขอเพียงแค่ออกจากวงล้อมและเข้าไปในป่าเขาได้ ทีนี้ก็คือแผ่นดินของพวกเขาแล้ว ทหารตระกูลม่อจะเก่งกาจสักเพียงใด แต่ก็ยากแสนยาก หากอยากจะหาพวกเขาในหุบเขานี้ แต่ ทันทีที่ฝ่าอออกจากหุบเขา ภาพตรงหน้ากลับทำให้พวกเขาตกตะลึง แม้ว่าอยู่ในความมืดมิด แต่เมื่อมองผ่านแสงจันทร์สลัว ก็ยังคงเห็นภาพอันน่าหดหู่ที่มีศพเรียงรายตามป่า พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทั่วทั้งอากาศ คนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ฝ่าออกมาก่อนหน้านี้ ทว่า น่าเสียดาย พวกเขาแม้จะไม่ตายเพราะฝนธนูด้านในหุบเขา กลับยังคงไม่อาจหนีจากกับดักของศัตรูที่เตรียมเอาไว้อยู่ด้านนอก
“คุณชาย ไปเถิดขอรับ!” ทหารองครักษ์ที่บาดเจ็บสาหัสข้างกายดึงจูหลิงและพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“ไป!” เสียงของจูหลิงแหบทุ้ม
“คุณชายจู” เสียงที่อ่อนหวานกระจ่างชัดดังขึ้นอยู่ภายในป่าเขาที่ตลบอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด ใจของจูหลิงสั่นไหว เงยหน้ามองทางเดินภูเขาที่ไม่ห่างไกลออกไป มีหญิงสาวชุดขาวยืนปะทะกับสายลมภายใต้แสงจันทร์ที่พร่ามัว ใบหน้าของหญิงสาวฉายแสงที่สุกสกาว นัยน์ตาที่อ่อนช้อยพริ้งพรายนั้นแต่งแต้มด้วยดวงประกายบางๆ การปรากฏโดยกะทันหันท่ามกลางสนามรบในป่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความมืดมนเช่นนี้ ทำให้ใครๆ ต่างก็รู้สึกคล้ายกับว่านางคือผีพรายที่สถิตในป่าเขา