ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 304-2 จุดไฟเผาตัวเองและแม่ทัพชื่อดังที่ไม่คุ้นหน้า
หลงหยางส่ายหน้า เอ่ย “เทพสังหารแห่งตะวันตกอะไรกัน ยามข้ายังหนุ่ม ข้าไม่เชื่อเรื่องสวรรค์ เทพเจ้าหรือแม้กระทั่งชะตาชีวิต สร้างบาปจากการเข่นฆ่ามาไม่น้อย ยี่สิบปีมานี้พอได้มีเวลาหยุดพัก ถึงเพิ่งได้ตระหนักรู้ถึงความผิดบาปที่เคยได้ทำเอาไว้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า…บาปกรรมทั้งชีวิตของข้า จะมาคืนสนองในยามชรา ชีวิตนี้ของข้า วัยกลางคนสูญเสียภรรยา วัยชราโดดเดี่ยวไร้ซึ่งทายาท คิดว่าคงมีเหตุผลในตัวของมัน”
เยี่ยหลีเงียบไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองหลงหยางพลางเอ่ย “ข้าเข้าใจความหมายของท่านแม่ทัพหลงหยาง”
หลงหยางพยักหน้า “แม้ข้าจะแก่แล้ว ทว่าก็ยังพอดูคนออก พระชายารักสงบและไม่ใช่นักฆ่า แต่ติ้งอ๋องคนนี้…แม้ว่าข้าจะเคยพบหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง แต่หว่างคิ้วของติ้งอ๋องที่ดูเหมือนสงบนิ่งไร้อารมณ์ อันที่จริงยอดคิ้วดุจใบมีด นัยน์ตาแฝงความโหดร้าย กลัวว่าจะไม่ใช่ลางดี ข้าได้ยินมาว่าพระชายาเกิดในตระกูลใหญ่ของต้าฉู่ ย่อมรู้ดีว่าการปะทะกันระหว่างสองกองทัพเป็นเรื่องยากจะหลีกเลี่ยง ทว่าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจนั้นเป็นการทำลายความสงบของสรรค์” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นัยน์ตาแฝงความไม่พอใจ เอ่ยเบาๆ “ท่านแม่ทัพหลง ท่านอ๋องไม่ได้ทำร้ายชาวเมืองเปี้ยนเลยแม้สักคนเดียว”
เมื่อเห็นเยี่ยหลีไม่พอใจ หลงหยางก็ยิ้มพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย “ดังนั้นข้าถึงต้องขอบคุณพระชายาอย่างไรเล่า หากไม่ใช่เพราะพระชายา เกรงว่าเมืองเปี้ยนในยามนี้คงเจิ่งนองไปด้วยสายธารแห่งโลหิตแล้ว ดวงวิญญาณอาฆาตคงได้สะอื้นไห้กันไม่หยุด”
เยี่ยหลีหน้าตึง ถาม “ท่านแม่ทัพหลงต้องการพูดอะไรกับข้ากันแน่”
หลงหยางจับจ้องเยี่ยหลี ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “พระชายาได้โปรดเกลี้ยกล่อมติ้งอ๋องทีว่า ผู้ตายและผู้บาดเจ็บในสนามรบต่างเป็นชะตาฟ้าลิขิต ทว่าการสังหารผู้บริสุทธิ์ที่อยู่นอกสนามรบ มิใช่วิถีทางที่ผู้เป็นแม่ทัพและมหาบุรุษพึงกระทำ” ใจของเยี่ยหลีสั่นไหวเล็กน้อย มองหลงหยางอย่างสงบนิ่ง หลงหยางมองกลับออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้าเศร้าสร้อย “คนจะตาย ล้วนพูดจาดี ที่ข้าเอ่ยเช่นนี้ไม่ได้พูดเพื่อซีหลิง แต่เป็นเพียงสิ่งที่ตกตะกอนได้ในช่วงครึ่งชีวิตที่ผ่านมาเท่านั้น หากปล่อยให้กลิ่นคาวเลือดครอบงำสองตาได้ ก็ต้องมีสักวันที่กลิ่นคาวเลือดจะปกคลุมจิตใจ สนามรบเป็นสถานที่ที่ทำให้คนมีชีวิตกลายเป็นผีดิบมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เยี่ยหลีหลุบตาลง ทว่าภายในใจกลับยุ่งเหยิง นางเข้าใจว่าหลงหยางหมายถึงอะไร สนามรบเป็นสถานที่ที่สามารถขยายความคิดด้านชั่วร้ายในใจของผู้คนได้ง่ายที่สุด เยี่ยหลีรู้อยู่เสมอว่า ตัวตนของม่อซิวเหยาไม่เหมือนสิ่งที่แสดงออกมาภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความสุภาพสง่างาม เรียบเฉยเย็นชาอย่างในตอนแรก หรือจะเป็นความงี่เง่าเอาแต่ใจที่แสดงออกเป็นครั้งคราว กับท่าทีสบายๆ ไม่คำนึงถึงสิ่งใดในตอนหลังก็ตาม คนคนหนึ่งที่เคยถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจมาอย่างรุนแรง คนคนหนึ่งที่ต้องอดกลั้นกับความอัปยศอดสูมานานหลายปีจนแม้แต่นิสัยยังเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จะให้จิตใจคนคนนั้นสงบนิ่งเช่นนั้นได้อย่างไร อย่างน้อยหากเปลี่ยนเป็นตัวนา นางก็คงทำไม่ได้
ในใจม่อซิวเหยามีความแค้น แต่เขายังสามารถยับยั้งความโกรธแค้นนั้นได้ แต่ในใจเขาที่มากกว่าคือความโกรธ ทว่าเขาก็เพียงมองม่อจิ่งฉีตายไปต่อหน้าต่อตา ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการแก้แค้น ซึ่งนี่มักทำให้คนรู้สึกไปว่าความเกลียดชังของเขาไม่ได้หยั่งรากลึกอะไรนัก หรือจะพูดอีกอย่างก็คือจิตใจก็กว้างขวางของเขาค่อยๆ ปล่อยวางได้แล้ว แต่เยี่ยหลีกลับรู้ดีว่า ม่อซิวเหยาไม่เคยเป็นคนใจกว้างที่พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธมาก่อน
ครานี้ การที่อยู่ๆ ม่อซิวเหยาก็ระเบิดออกมา อันที่จริงก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลนัก การที่หลงหยางใช้คนของต้าฉู่มาเป็นเกราะกำบังแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นสิ่งที่คนทั่วไปคิดจะทำ คงเป็นจับหลงหยางมาตัดออกเป็นร้อยเป็นพันชิ้นเพื่อระบายความโกรธ แต่ม่อซิวเหยากลับต้องการให้หลงหยางมีชีวิตอยู่ และเฝ้าดูทหารไปจนถึงผู้คนในซีหลิงตายไปทีละคน เขาต้องการให้หลงหยางเหมือนตกนรกทั้งเป็น เขาไม่ได้โกรธเกรี้ยวกับสิ่งที่หลงหยางทำ แต่เขากำลังนึกเกลียดหลงหยางจนถึงขั้นเกลียดชัง แต่ในความเป็นจริง ระหว่างหลงหยางกับม่อซิวเหยาไม่ได้มีความเคียดแค้นใดๆ ต่อกัน การเข่นฆ่ากันในสนามรบ ไม่อาจเรียกว่าเป็นความเคียดแค้นได้
สิ่งเหล่านี้หลงหยางล้วนมองออก แน่นอนว่าเยี่ยหลีก็สามารถเข้าใจได้ ดังนั้น หลงหยางจึงกำลังเสียใจ เขาไม่ได้เสียใจกับการที่เขาใช้ประชาชนเป็นเกราะป้องกัน แต่เขาเสียใจที่การกระทำของเขาไปชักนำจิตสังหารที่อยู่ในใจของม่อซิวเหยาออกมา และยังปล่อยปีศาจสังหารให้ออกมาโลดเล่นอีกด้วย
เยี่ยหลีมองชายชราที่เต็มไปด้วยความกังวลตรงหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาจะไม่กลายเป็นคนเช่นนั้น เขาจะไม่เป็นอะไร”
หลงหยางพยักหน้า เอ่ย “ข้าเชื่อว่าพระชายาจะทำได้ การที่ท่านได้เป็นพระชายาของติ้งอ๋อง ถือเป็นโชคดีของติ้งอ๋อง” เยี่ยหลีระบายยิ้มก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “การที่ได้เจอเขา ก็ถือเป็นความโชคดีของข้าเช่นกัน” ไม่สำคัญว่าใครเป็นโชคดีของใคร แต่เยี่ยหลีเชื่อว่าม่อซิวเหยาคือคนที่ใช่สำหรับตน ต่อให้บนโลกใบนี้จะมีชายที่หนุ่มรูปงามกว่าม่อซิวเหยา มีอำนาจและความสามารถมากกว่าม่อซิวเหยา แต่ทว่าม่อซิวเหยามีเพียงคนเดียว
พูดถึงตรงนี้ ทั้งสองก็สบตากันยิ้ม บรรยากาศภายในอาคารหลังเล็กๆ แห่งนี้ช่างเต็มไปด้วยความปรองดองอย่างหาได้ยาก ไม่เหมือนว่าต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูกัน
ครั้นเยี่ยหลีกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันมั่นคงดังมาจากชั้นล่าง ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงปากทางบันไดมองลงไปด้านล่างแวบหนึ่ง ก่อนจะทำมือส่งสัญญาณให้เยี่ยหลี นางลุกขึ้นเดินไปยังปากบันได คนที่เดินขึ้นมาจากข้างล่าง เดินขึ้นบันไดมาแล้ว พอเห็นเยี่ยหลีก็อึ้งไปเล็กน้อย แล้วพลันยิ้มบางๆ “อาหลี”
เยี่ยหลียื่นมือไปกุมมือม่อซิวเหยา ดึงเขาให้เข้ามาด้านบน ยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย “มาที่นี่ได้อย่างไร” ม่อซิวเหยาก้มมองนาง เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าสะสางงานเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกอยากจะพาเจ้าออกไปเดินเล่น แต่พวกเขาบอกว่าเจ้าออกมาแล้ว” เยี่ยหลียิ้มพลางเอ่ย “เมื่อเช้าข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จึงออกมาเดินเล่น เลยถือโอกาสมาเยี่ยมท่านแม่ทัพหลงสักหน่อย เจ้ายุ่งมาตลอดทั้งเช้า นั่งลงพักสักหน่อยก่อนดีหรือไม่”
พอเห็นหลงหยางที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ม่อซิวเหยาก็หลุบสายตาลง นัยน์ตามีประกายเย็นชาวาบผ่าน แต่กลับไม่ได้บอกปัดความตั้งใจของเยี่ยหลี ยอมให้นางดึงตนไปนั่งลงข้างๆ คนสองคนที่เมื่อวานแทบอยากจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง พอต้องมานั่งอยู่ด้วยกัน ย่อมไม่มีอะไรจะพูดคุยกันอยู่แล้ว ม่อซิวเหยาก็ไม่ได้ตั้งใจจะคุยกับหลงหยาง ทำราวกับเขาไม่มีตัวตนก็มิปาน ดึงมือเยี่ยหลีเข้ามาก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ “อาหลีอยากไปที่ใดหรือไม่ อีกสองวันเราก็ต้องออกเดินทางกันแล้ว ได้ยินมาว่าเมืองเปี้ยนมีอยู่สองสามที่ที่ควรค่าแก่การไปดู”
เยี่ยหลียิ้มพลางเอ่ย “เจ้าคิดว่าที่ใดดี พวกเราก็ไปดูที่นั่นก็แล้วกัน ข้าจำได้ว่าสำนักหลงซานก็อยู่ในเมืองนี้ใช่หรือไม่”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว พยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช่แล้ว น่าเสียดายที่เหลยเถิงเฟิงพาอาจารย์ของสำนักหลงซานสองสามคนไปด้วย เหลือแต่เพียงเหล่าปัญญาชนไร้ประโยชน์ แต่เห็นว่ามีตำราโบราณที่พวกเขาไม่ทันได้เอาไปด้วย อาหลีไปดูก็ได้เผื่อมีเล่มใดถูกใจ แล้วค่อยเอากลับไปให้ท่านตาและเหล่าท่านลุงดูอีกที”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย “เจ้ายังคงคิดอะไรรอบคอบเสมอ เพียงแต่…เลือกเฉพาะที่พวกท่านตาจะชอบก็พอ ที่เหลือเก็บไว้ที่เมืองเปี้ยนเถิด ต่อไปยังได้ใช้ประโยชน์” มีประโยชน์ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะนำไปคืนแก่คนของสำนักหลงซานอย่างแน่นอน ในเมื่อม่อซิวเหยายึดครองเมืองเปี้ยนได้แล้ว หากอยากจะปกครองในระยะยาว ก็ต้องมีประชาชนอาศัยอยู่ แม้ตอนนี้ประชากรในเมืองเปี้ยนจะถูกขับไล่ออกไปจนหมด แต่ในอนาคตที่แห่งนี้จะต้องมีอาศัยคนอยู่ สำนักหลงซานเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งใต้หล้า ถ้าได้รับการฟื้นฟู่ จะเป็นประโยชน์แก่การปกครองของตำหนักติ้งอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย
ม่อซิวเหยาเข้าใจสิ่งที่เยี่ยหลีจะสื่อ เขายิ้มบางๆ เอ่ย “อาหลีพูดอะไรก็ดีไปหมด แต่หากอาหลีสนใจสำนักหลงซานล่ะก็…ในเมืองเปี้ยนยังมีใครอีกคนหนึ่ง กลับไปข้าจะสั่งให้คนพาเขามาพบอาหลีก็แล้วกัน” เยี่ยหลีรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย นางจะสนใจสำนักหลงซานได้อย่างไร เพียงแต่คำพูดของม่อซิวเหยากลับน่าสนใจไม่น้อย คิ้วเรียวเลิกขึ้นพลางเอ่ยถาม “สำนักหลงซานยังมีอาจารย์คนไหนที่ยังอยู่ในเมืองเปี้ยนหรือ”