ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 308-3 ฮ่องเต้ต้าฉู่ลงใต้และอาวุธเปื้อนเลือด
ม่อซิวเหยาอมยิ้ม พลางมองแม่ทัพที่อยู่เบื้องล่าง “พวกเจ้าต่างอยากรู้ว่าจะโจมตีเมืองเมื่อใดหรือ”
แม่ทัพทุกคนต่างพยักหน้า พวกเขาต่างตั้งตารอกันจะแย่แล้ว อีกเพียงนิดก็จะโจมตีเมืองหลวงของซีหลิงได้อยู่แล้ว นี่เป็นความสำเร็จที่กองทัพตระกูลม่อไม่อาจทำได้ตลอดเกือบสองร้อยปีที่ผ่านมา
ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองพวกเขา พลางเอ่ย “ข้าตัดสินใจจะไม่โจมตีเมืองหลวง”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทุกคนก็ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ แม้พอจะคาดเดาเอาแต่แรกแล้ว แต่พวกเขาก็ยังแปลกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านอ๋องพูด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไม่ได้วางแผนที่จะโจมตีเมือง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยซ้ำ ถอยทัพตรงกลับตำหนักก็สิ้นเรื่อง พวกซีหลิงที่ถูกพวกเขาตีแตกจนหวาดกลัวจะตามไปได้หรือ
“ท่านอ๋อง…ไฉนถึงไม่โจมตีเล่า” ยังคงเป็นอวิ๋นถิงที่ยกมือขึ้นถามอย่างอดไม่ไหว ทุกคนต่างจ้องม่อซิวเหยากันเป็นตาเดียว
ม่อซิวเหยาถามเสียงแผ่ว “จากการโจมตีเมืองเปี้ยน กองทัพตระกูลม่อสูญเสียทหารและม้าไปเท่าไร”
ทุกคนนิ่งเงียบ แม้ว่ากองทัพตระกูลม่อจะประสบความสำเร็จมาตลอดทาง แต่เพราะเมืองเปี้ยนทำให้สูญเสียไพร่พลไปมาก จากการคำนวณเบื้องต้น น่าจะสูญเสียกองกำลังไปเกือบแปดถึงเก้าแสนนายในการรบครั้งแรกที่เมืองเปี้ยน ซึ่งเกือบจะเป็นผลรวมของการสูญเสียทั้งหมด เหตุผลที่ในวันนี้ยังคงมีกองกำลังกว่าสามแสนนายที่ยกมาประชิดเมืองหลวงของซีหลิง นั่นเป็นเพราะหลี่่ว์ซ่งเสียนได้ส่งทหารฝีมือดีกว่าแสนนายมาเสริมทัพให้ กำลังทหารที่สูญเสียไปเหล่านี้ล้วนเป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกองทัพตระกูลม่อ
ม่อซิวเหยาเอ่ย “แม้ว่าประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงซีหลิงจะไม่ยาวนานเท่าเมืองเปี้ยน แต่ความสามารถในการป้องกันดีกว่าเมืองเปี้ยนอย่างแน่นอน นอกจากนี้…แม่ทัพที่มีชื่อเสียงคนสุดท้ายจากทั้งสามคน ซึ่งก็คือเฟิ่งเอ้าหรือแม่ทัพซุ่นเทียน ตอนนี้ก็อยู่ในเมืองหลวง เป็นความจริงที่กองทัพตระกูลม่อสามารถยึดเมืองหลวงของซีหลิงได้ แต่ข้าไม่ต้องการจะสูญมากมายเพียงนั้นแล้ว นอกจากนี้…ข้าไม่ต้องการทำลายการป้องกันของเมืองนี้”
เมืองหลวงแห่งนี้มีอายุมาไม่ยาวนาน เพียงหนึ่งร้อยห้าสิบปีเท่านั้น แคว้นซีหลิงใช้เวลาสร้างเมืองมามากว่าสิบปี ตอนที่ซีหลิงก่อตั้งขึ้นในครั้งแรก ภูมิภาคทางตะวันตกยังไม่อยู่ในความสงบ การที่ฮ่องเต้สองพระองค์ผู้ก่อตั้งซีหลิง กล้าที่จะเลือกที่แห่งนี้ซึ่งใกล้กับชายแดน ก็จำต้องบอกว่าพวกเขากล้าเกินคน หรืออาจเพราะมีความตั้งใจให้คนรุ่นหลังเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา เมื่อกองทัพตระกูลม่อได้รับชัยชนะจากชายแดนทางเหนือทั้งหมดของซีหลิง พรมแดนเดิมของซีหลิงจะกลายเป็นพรมแดนของกองทัพตระกูลม่อ และเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงจะกลายเป็นประตูสุดท้ายที่มั่นคงที่สุดในการปกป้องแคว้นเล็กๆ จากภูมิภาคทางตะวันตก
“เช่นนั้น…ท่านอ๋องวางแผนจะทำอย่างไร อย่างไรเสีย พวกเราจะมัวเสียเวลาเช่นนี้ โดยไม่โจมตีไม่ได้กระมัง” จางฉี่หลันถาม
ม่อซิวเหยายิ้มทว่าไม่ได้ตอบ ทุกคนมองไปที่เยี่ยหลีตาปริบๆ
เยี่ยหลีก้มหน้าก่อนจะยิ้มบางๆ “ตำราพิชัยสงครามกล่าวไว้ว่า การทหารชั้นเลิศคือชนะในเชิงกลยุทธ์ รองไปคือชนะโดยการทูต รองไปคือชนะโดยกำลังทหาร ชั้นต่ำสุดคือโจมตีเมือง…แต่ชัยชนะโดยไม่มีการรบต่างหาก จึงจะถือว่าประเสริฐอย่างแท้จริง”
ทุกคนพากันคารวะ พระชายาช่างเหนือชั้นโดยแท้
เฟิ่งจือเหยาแตะจมูก และคิดในใจอย่างเงียบๆ นี่มาจากตำราพิชัยสงครามเล่มใดกันหนอ
ใบหน้าของอวิ๋นถิงเผยความชื่นชม พระชายาอ่านหนังสือมาอย่างกว้างขวาง ข้าอ่านตำราพิชัยสงครามมาสามเดือน กลับยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!
“อะแฮ่ม…” เฟิ่งจือเหยากระแอมเบาๆ ก่อนจะถามด้วยความเคารพ “พระชายาหมายถึงการปราบผู้คนโดยไม่ต้องต่อสู้หรือ ข้า…เกรงว่า มันจะไม่ง่ายอย่างนั้น” แม้ว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงจะโง่จริงๆ แต่ขุนนางของราชสำนักซีหลิงคงไม่อาจเห็นด้วยที่จะยอมยกเมืองหลวงให้กับพวกเขาโดยง่ายแน่ๆ นี่เป็นเมืองหลวงเชียวนะ เมืองหลวงของแคว้น ไม่ใช่ไร่มันฝรั่ง!
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้หรือไม่ รอดูกันต่อไปก็รู้แล้วนี่”
จางฉี่หลันขมวดคิ้วและถามว่า “ถ้าเราไม่โจมตีเมืองแล้ว…จะทำอย่างไรหากมีกองกำลังเสริมมาช่วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ม่อซิวเหยาเหลือบมองเขา ก่อนจะเอ่ย “จะจัดการอย่างไร แน่นอนว่าต้องฆ่า! ไม่ต้องไปสนใจเมืองหลวง ในช่วงเวลานี้หากมีใครหน้าไหนที่มาช่วยกองทัพซีหลิง ก็ฆ่ามันให้หมด!”
ในยามนี้ทุกคนถึงได้รู้สึกโล่งใจ ยังคงต้องต่อสู้ต่อไปสินะ เพียงแต่พวกเขารบในที่โล่งได้ดีกว่าโจมตีเมืองอยู่แล้ว
“ข้าน้อยน้อมรับคำบัญชา!” ทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง เฟิ่งจือเหยาราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อันที่จริง…นี่ถือเป็นการพิชิตใจอย่างหนึ่งใช่หรือไม่
“เรียนท่านอ๋องและพระชายา มีคนจากเมืองหลวงมาขอพบ ตอนนี้อยู่นอกค่ายพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หน้าประตูเข้ามารายงาน
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วถาม “ใครกัน”
องครักษ์เอ่ย “เห็นบอกว่าเป็นคุณชายสวีสี่ ทว่าเขากลับไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนของตำหนักติ้งอ๋อง ดังนั้น…” สวีชิงปั๋วแตกต่างจากสวีชิงเฉินและสวีชิงเจ๋อที่มักอาศัยอยู่ในเมืองหลี และแตกต่างจากสวีชิงเฟิงที่อาศัยอยู่ในค่ายทหาร คนที่รู้จักเขาในกองทัพตระกูลม่อจึงมีไม่มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารชั้นผู้น้อยที่รู้จักเขายิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ดังนั้นตามกฎแล้วจึงต้องรายงานก่อน ถึงจะนำเขาเข้ามาในค่ายได้
ครั้นเยี่ยหลีได้ยินดังนั้นก็ดีใจ “พี่สี่มาแล้วหรือ”
ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีให้ลุกขึ้น ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราออกไปต้อนรับคุณชายสี่กันเถิด ข้าคิดว่าเขาน่าจะมาแจ้งข่าวดีให้เราทราบ” ทุกคนต่างก็สงสัยเช่นกัน คุณชายสี่แห่งตระกูลสวีจะอยู่ที่เมืองหลวงของซีหลิงได้อย่างไร ที่สำคัญเขาจะแจ้งข่าวดีอะไรให้พวกเขา
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกไปนอกค่าย มีใครบางคนได้ออกไปต้อนรับสวีชิงปั๋วแล้ว ซึ่งก็คือสวีชิงเฟิงที่ไม่มีอะไรทำจึงออกไปเดินเล่น ก่อนจะบังเอิญได้พบกับเขา เมื่อเขาเห็นว่าน้องสี่ของตัวเองซึ่งน่าจะปลูกมันฝรั่งอยู่ที่ซีเป่ย ปรากฏตัวขึ้นในซีหลิงอย่างแปลกประหลาด ทั้งยังออกมาจากเมืองหลวงอีก สวีชิงเฟิงก็พลันตกใจ ถามไถ่สวีชิงปั๋วอยู่เป็นเวลานานและตรวจสอบอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาไม่บาดเจ็บอะไร จากนั้นจึงถาม “น้องสี่ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านป้าใหญ่รู้หรือไม่”
เมื่อได้พบกับพี่สามที่ไม่ต้องปิดบังอะไรกัน สวีชิงปั๋วจึงส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ย “พี่สาม ดูเหมือนว่าพี่จะสบายดีมากนะ”
สวีชิงเฟิงเลิกคิ้วสูง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน คราวนี้พี่สามของเจ้าได้ทำประโยชน์มากมาย ฉินเฟิงบอกว่าข้าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองผู้บัญชาการของหน่วยกิเลนด้วย” แม้ว่าสวีชิงเฟิงจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นผลมาจากเกียรติของน้องสาวเขาด้วยส่วนหนึ่งก็ตาม เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่แม่ทัพคนเดียวที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยม แต่เขาก็รู้ด้วยว่าฉินเฟิงไม่ใช่คนแยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไม่ออก อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าฉินเฟิงยอมรับในความสามารถของเขา
“เช่นนั้นก็ยินดีกับพี่สามด้วย” สวีชิงปั๋วเอ่ยพลางยิ้ม รอยยิ้มของสวีชิงเฟิงพลันหายไป เอ่ย “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หากท่านป้าใหญ่รู้ว่าเจ้ามาถึงที่นี่ คงตกใจแย่เลยกระมัง!”
สวีชิงปั๋วยิ้มเจื่อนอย่างจนปัญญา พลางเอ่ย “ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ต่างก็รู้แล้ว รอให้ข้าไม่ต้องจัดการเรื่องอะไรแล้ว ข้าจะเขียนจดหมายรายงานความปลอดภัยกลับไปเอง พี่สาม ข้ามีธุระต้องพบหลีเอ๋อร์กับติ้งอ๋อง”
“พี่สาม…” ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาก็เดินมาพอดี ด้านหลังยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เดินตามมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วย ทำให้สวีชิงปั๋วรู้สึกราวกับได้รับความโปรดปรานขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน
“เป็นอย่างไร” ม่อซิวเหยาถามเสียงเบา
“ภารกิจลุล่วงไปได้ด้วยดี” สวีชิงปั๋วยิ้มบางๆ