ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 309-2 เข้าเมืองและการท้าทายขององค์หญิงหลิงอวิ๋น
สวีชิงเฟิงย่อมยินดีอย่างมากที่ได้ไปยังเมืองหลวงกับสวีชิงปั๋ว แม้จะเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องกัน แต่พี่น้องทั้งห้าของตระกูลสวีก็มีความรักใคร่กันมากกว่าพี่น้องทั่วไป สวีชิงเฟิงก็เป็นห่วงน้องสี่ผู้สุภาพอ่อนโยนมาตั้งแต่เด็กเช่นเดียวกัน ทันทีที่เยี่ยหลีบอก สวีชิงเฟิงจึงตอบตกลงทันทีโดยไม่ต้องคิด และเขาเลือกพี่หกลู กน้องของเขาจากหน่วยกิเลนให้ตามสวีชิงปั๋วกลับไปเมืองหลวงด้วยกัน
แล้วก็เป็นอย่างที่สวีชิงปั๋วคาดไว้ ฮ่องเต้แห่งซีหลิงยังยื้อเอาไว้อีกหลายวัน ห้าวันต่อมา หลังจากกองทัพตระกูลม่อเอาชนะกองทัพซีหลิงที่มาจากสองทางเพื่อมาเสริมกำลังให้แก่เมืองหลวงจนล่าถอยไป ในที่สุดฮ่องเต้แห่งซีหลิงก็เรียกสวีชิงปั๋วไปเข้าพบอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าสวีชิงปั๋วพูดอะไรกับฮ่องเต้แห่งซีหลิง แต่ในวันนั้นฮ่องเต้แห่งซีหลิงได้ออกราชโองการเพื่อแจ้งให้ใต้หล้าได้รับรู้ว่า สงครามระหว่างตำหนักติ้งอ๋องและซีหลิงล้วนเกิดจากเหลยเจิ้นถิง เจิ้นหนานอ๋องที่โจมตีต้าฉู่โดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาเจิ้นหนานอ๋องไม่เพียงไม่กลับมาช่วยเหลือ แต่ยังกลับไปโจมตีทางใต้ของต้าฉู่ต่อไปอีกด้วย ดังนั้นตอนนี้เมืองหลวงจึงถูกล้อมรอบไปด้วยทหาร ฮ่องเต้แห่งซีหลิงเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ยากของประชาชนและทหารของซีหลิง จึงเจรจาขอสงบศึกกับตำหนักติ้งอ๋อง โดยจะตตัดแบ่งเมืองทั้งห้า อันได้แก่ อันผิง หลิงหยาง ชางผิง เซวียนหง ผิงชวน ให้แก่ตำหนักติ้งอ๋อง ส่วนเมืองหลวงของซีหลิงจะย้ายไปที่เมืองอัน ซึ่งเป็นภาคกลางของซีหลิงภายในอีกสองเดือน
ราชโองการนี้ ไม่เพียงสั่นสะเทือนขุนนางฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านเท่านั้น แม้แต่ผู้ที่มีอำนาจในแคว้นข้างเคียงก็ตกใจเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ครอบครองดินแดนทั้งหมดของซีหลิง แต่กองทัพตระกูลม่อก็ได้ครองพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของซีหลิงรวมถึงเมืองหลวงภายในเวลาไม่ถึงสามเดือน พลังแห่งการสงครามที่มากมายเช่นนี้ทำให้ผู้คนต้องระแวดระวังและหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังไม่ใช่กำลังทหารทั้งหมดของกองทัพตระกูลม่อด้วยซ้ำ
หลังจากแถลงราชโองการของฮ่องเต้ซีหลิงแล้ว ค่ายของกองทัพตระกูลม่อก็เต็มไปด้วยความรื่นเริง แตกต่างจากที่อื่นๆ ซึ่งมีแต่ความตกใจกลัวและความโกรธ ในวันที่เก้าที่กองทัพตระกูลม่อปิดล้อมเมืองหลวง ประตูของเมืองหลวงซีหลิงก็เปิดออกในที่สุด และกองทัพตระกูลม่อก็ได้รับชัยชนะจากเมืองที่มีการป้องกันอันแข็งแกร่งที่สุดของซีหลิงโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย ซึ่งเรียกได้อย่างเต็มปากว่าไร้การนองเลือด
เนื่องจากนี่ไม่ใช่การที่ซีหลิงยอมจำนวนต่อกองทัพตระกูลม่อ ฮ่องเต่แห่งซีหลิงจึงไม่ได้ออกมาต้อนรับกองทัพตระกูลม่อ ส่งเพียงขุนนางของราชสำนักไปต้อนรับที่ประตูเมืองพร้อมกันกับสวีชิงปั๋วเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ สีหน้าของขุนนางหลายคนในซีหลิงก็ยังคงดูย่ำแย่ ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีขี่ม้าเคียงข้างกัน ตามมาด้วยเฟิ่งจือเหยา ฉินเฟิงและจั๋วจิ้งในชุดผ้าแพรสีแดง เบื้องหลังพวกเขามีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีดำและขี่ม้าในสีเดียวกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเดินทัพกันเข้ามาแล้ว แต่เพื่อไม่ให้ผู้คนในเมืองหวาดกลัว กองทัพตระกูลม่อจึงไม่ได้ยกเข้ามาในเมืองกันทั้งหมด เข้ามาเพียงหนึ่งหมื่นนายเท่านั้น ในขณะที่กองกำลังหลายแสนยังคงอยู่ข้างนอกเมือง โดยมีจางฉี่หลันรับผิดชอบดูแล
แม้ว่าจะมีข่าวลือเกี่ยวกับการฆ่าล้างบางที่เมืองเปี้ยนในช่วงแรก แต่เนื่องจากในภายหลังมีการจัดการให้จบลงได้ด้วยดี ยิ่งไปกว่านั้น โดยพื้นฐานกองทัพตระกูลม่อไม่ได้รุกรานผู้คนระหว่างทางที่เคลื่อนพลผ่าน และชาวบ้านในเมืองหลวงซีหลิงก็ไม่กลัวกองทัพตระกูลม่อ ทั้งสองฝั่งถนนจึงแน่นขนัดคึกคักไปด้วยผู้คนที่มามองดูขบวนทพ เมื่อพวกเขาเห็นว่าสองคนด้านหน้าคือติ้งอ๋องและพระชายาติ้งอ๋อง สายตาอิจฉาจำนวนนับไม่ถ้วนจึงต่างพากันมองมาที่พวกเขาทั้งสอง
จนเมื่อเข้าไปในประตูตำหนักพระราชวังซีหลิง ฮ่องเต้แห่งซีหลิงถึงได้เดินออกมาต้อนรับ พอเห็นทั้งสองที่เคียงคู่กันมาจึงผงะไปเล็กน้อย แม้ชื่อเสียงของม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีจะไม่ได้โด่งดังที่สุดในใต้หล้า แต่ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง อีกทั้งม่อซิวเหยาเป็นที่รู้จักมีชื่อเสียงขึ้นมาเร็วเกินไป ระหว่างนั้นก็ได้ปราบผู้คนไปจำนวนไม่น้อย คนที่ไม่คุ้นเคยจึงอาจจัดว่าเขาเป็นคนในรุ่นเก่าได้อย่างง่ายดาย ในเวลานี้เมื่อได้เห็นคู่ชายหญิงตรงหน้า ฝ่ายชายถึงแม้จะผมขาว แต่ใบหน้ากลับหล่อเหลา มีสง่าราศีดูทรงอำนาจ ส่วนฝ่ายหญิงก็หมดจดสง่างาม ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงตกตะลึงจากความสง่างามนี้ หากมองแค่อายุ ก็น่าจะเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น บุคลิกเช่นนี้ต้องเป็นบุคคลชั้นนำแห่งยุคอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮ่าๆ ติ้งอ๋อง พระชายาติ้งอ๋อง ข้าได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้ได้พบ ช่างมีสง่าราศีสมคำเล่าลือ” โชคดีที่ฮ่องเต่แห่งซีหลิงตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว และละสายตาจากเยี่ยหลี แม้ว่าเขาจะชื่นชอบในกามารมณ์ ทว่าก็ไม่ถึงกับหื่นกระหาย เขารู้ดีว่าผู้หญิงแบบไหนที่สามารถมองได้ และผู้หญิงแบบไหนที่ไม่ควรมอง เขาแยกแยะได้อย่างชัดเจน
ม่อซิวเหยากวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะค่อยๆ ดึงสายตาเยียบเย็นกลับมา
เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ย “ฝ่าบาทเกรงใจเกินไปแล้ว หากมีอะไรที่ทำให้ขุ่นเคือง ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย”
“หามิได้ พระชายากล่าวเกินไปแล้ว ติ้งอ๋องและพระชายา เชิญด้านในก่อน ข้าสั่งให้คนเตรียมเหล้าองุ่นไว้แล้ว ทั้งสองท่านอย่าได้เกรงใจเลย” เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีพูดก่อนที่ม่อซิวเหยาจะเอ่ยปาก แต่ใบหน้าของติ้งอ๋องกลับไร้ซึ่งความไม่พอใจ ฮ่องเต้แห่งซีหลิงจึงแน่ใจถึงฐานะของพระชายาติ้งอ๋องในหัวใจของติ้งอ๋อง แต่เขากลับไม่รู้ว่า ที่เยี่ยหลีเอ่ยปากขึ้นก่อน ก็เพื่อช่วยเขาฝ่าวงล้อมออกมาได้ มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าเขาคงได้แสดงท่าทีเป็นมิตรอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่อีกฝ่ายเมินเฉย และคงได้อับอายต่อหน้าขุนนางมากมายเช่นนี้ไปแล้ว
“เชิญฝ่าบาท”
เมื่อพวกเขาเข้าไปในตำหนัก จึงเพิ่งเห็นว่าพระราชวังซีหลิงนั้นแสนเรียบง่าย ไม่ต้องพูดถึงความหรูหราโอ่อ่าของต้าฉู่เลย แม้แต่ของประดับล้ำค่าก็มีอยู่ไม่กี่ชิ้น ทั้งตำหนักว่างเปล่า ทำให้รู้สึกเยือกเย็นอย่างไม่มีสาเหตุ เฟิ่งจือเหยามองสวีชิงปั๋วซึ่งกำลังนั่งอยู่ด้านล่างของเขา เขาจำข่าวจากตหนกติ้งอ๋องได้ แม้ว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงจะไม่ฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่น่าประหยัดถึงขนาดนี้า สวีชิงปั๋วอมยิ้มมองฮ่องเต้แห่งซีหลิงที่กำลังยิ้มและสนทนากับม่อซิวเหยา
เฟิ่งจือเหยากะพริบตา แต่พอเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้แห่งซีหลิงที่กำลังแย้มพระสรวลก็เข้าใจทุกอย่างในทันที เขาคงคิดว่ากำลังจะสละเมืองหลวงแล้ว ฮ่องเต้ซีหลิงคงกลัวว่าตำหนักติ้งอ๋องจะมาถูกใจของมีค่าภายในตำหนักเข้า จึงได้เตรียมการซ่อนเอาไว้ก่อน
ภายในตำหนัก ฮ่องเต้แห่งซีหลิงมองม่อซิวเหยาก่อนจะเอ่ย “ติ้งอ๋อง เมื่อวานเราสั่งให้คนส่งสาส์นไป ไม่ทราบว่าติ้งอ๋องมีความคิดเห็นอย่างไร”
ม่อซิวเหยาพิงอยู่บนเก้าอี้ ยกมือขึ้นไปรับสาส์นจากจั๋วจิ้วที่อยู่ด้านหลัง และเอ่ยเบาๆ “ข้อเสนอที่ซีหลิงให้มา ตำหนักติ้งอ๋องต่างสามารถตกลงได้ ยกเว้นเพียงข้อเดียว…เรื่องหนานจ้าว ได้โปรดให้อภัยที่ข้าไม่อาจช่วยเหลือได้จริงๆ”
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ซีหลิงพลันแข็งกระด้าง ก่อนจะฝืนยิ้ม “เป็นไปได้อย่างไร ติ้งอ๋องมีความสามารถอย่างน่าอัศจรรย์ ขอเพียงตั้งใจจะช่วยจากใจจริง จะช่วยไม่ได้ได้อย่างไร” ตอนนี้ศัตรูของซีหลิงไม่ได้มีเพียงตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้น แคว้นหนานจ้าวทางตอนใต้และแคว้นเล็กๆ ในภูมิภาคตะวันตกล้วนปรารถนาจ้องจะเขมือบซีหลิงกันทั้งสิ้น แม้แต่หนานจ้าวก็ส่งทหารไปยึดครองเมืองที่มีพรมแดนติดกันระหว่างหนานจ้าวกับซีหลิงแล้ว
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเข้ม “ซีเป่ยอยู่ไกลจากหนานจ้าวเกินไป ถ้าต้องการให้กองทัพตระกูลม่อส่งกองกำลังไปปิดล้อม ข้อแรกไม่มีทั้งเหตุและไม่มีทั้งผล ข้อสองระยะทางนั้นห่างไกล เมื่อกองทัพตระกูลม่อไปถึง ทหารและม้าก็คงล้ากันหมดแล้ว เกรงว่าจะตกหลุมพรางหนานจ้าวเอาได้”
ฮ่องเต้ซีหลิงยิ้มพลางเอ่ย “เราไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ต่อให้ม่อซิวเหยาต้องการส่งกองกำลังไปแทนเขา เขาก็คงไม่กล้ารับ ตอนนี้เขาหวังเพียงว่าม่อซิวเหยาและกองทัพตระกูลม่อ จะอยู่ในดินแดนที่พวกเขาได้ครอบครองอย่างซื่อสัตย์ และไม่ก่ออันตรายต่อพื้นที่อื่นๆ ของเขาก็พอ ขอให้กองทัพตระกูลม่อช่วยขับไล่กองทัพของหนานจ้าว นี่เป็นการไล่สุนัขจิ้งจอกออกไป และเชิญเสือเข้ามาอย่างไม่ต้องสงสัย
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วอย่างสงสัย ฮ่องเต้แห่งซีหลิงยิ้มพลางเอ่ย “ติ้งอ๋องมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า ข้าเชื่อว่าตราบใดที่ติ้งอ๋องแสดงท่าทีอะไรบางอย่างออกมา หนานจ้าวย่อมเจียมตัว” ในความเป็นจริงฮ่องเต้ซีหลิงไม่ได้ให้ความสนใจกับหนานจ้าวมากนัก แต่ตอนนี้เขาต้องรับมือ ไม่ใช่แค่เพียงแคว้นเล็กๆ ในภูมิภาคทางตะวันตกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหลยเจิ้นถิงด้วย เขาไม่มีเวลามายุ่งกับเรื่องของหนานจ้าว คราวนี้…เขาไม่อยากเป็นหุ่นเชิดอีกต่อไปแล้ว อีกทั้ง เขาได้สละเมืองหลวงแล้ว ในใจของฮ่องเต้ซีหลิงรู้ดีว่า หากเหลยเจิ้นถิงได้รับโอกาสกลับมาอีกครั้ง ชีวิตของเขาจะไม่มีความสุขอย่างแน่นอน