ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 312-3 บุตรสาวคนโตแห่งตระกูลไป๋และเทศกาลในวันสารทฤดู
สองวันต่อมา
สถานที่จัดงานเทศกาลชมดอกไม้สารทฤดูจัดอยู่ในสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งทางทิศตระวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวงซีหลิง ว่ากันว่าเดิมทีสวนนี้เป็นของราชวงศ์ซีหลิง ต่อมาได้มอบให้กับท่านอ๋องท่านหนึ่ง และต่อมาตำหนักอ๋องแห่งนั้นล่มสลาย ทว่าราชวงศ์ก็ไม่ได้นำกลับคืน จึงกลายเป็นของประชาชนและอยู่ในมือของตระกูลซุนในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แม้ว่าในฤดูกาลนี้ ที่ซีหลิงจะไม่มีดอกไม้ที่มีชื่อเสียงให้เพลิดตาเพลินใจเฉกเช่นต้าฉู่ แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนมากมาร่วมงานเทศกาลดอกไม้มากกว่าที่เคยเป็นมา
ณ ทางเข้าสวน ซุนฮูหยินพาคนของนางมายืนรอที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว บรรดาสุภาพสตรีชนชั้นสูงที่เดินทางมา ต่างก็ได้ยินเรื่องที่ตระกูลซุนสวามิภักดิ์ต่อตำหนักติ้งอ๋องกันแล้ว ด้วยฐานะอย่างซุนฮูหยิน คนที่ทำให้นางออกมายืนรอที่หน้าประตูด้วยตนเองได้จะเป็นใครนั้น ทุกคนต่างรู้กันโดยไม่ต้องมีใครเอื้อนเอ่ย ผู้คนจำนวนมากที่มีความคิดเดียวกันกับตระกูลซุนแต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง ก็พากันมายืนรออยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับซุนฮูหยินด้วย
เยี่ยหลีตรงต่อเวลาเสมอและไม่ชอบให้คนอื่นยืนรอตนเองอยู่นอกประตูเป็นเวลานาน ดังนั้นไม่นานรถม้าของตำหนักติ้งอ๋องก็แล่นออกมาจากหัวมุมถนน ทั้งด้านหน้าและหลังต่างมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีในอาภรณ์สีดำรายล้อม รถม้าที่อยู่ตรงกลางหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมีลักษณะเรียบง่าย ไม่หรูหราเหมือนของราชวงศ์และราชนิกูลทั่วไป พอรถม้าหยุดลงที่ประตูสวน ซุนฮูหยินก็รีบพาผู้คนไปต้อนรับนาง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮุ่ยเหนียงขอต้อนรับการมาเยือนของพระชายาเพคะ”
ฉินเฟิงที่อยู่ทางด้านซ้ายของรถม้า ลงจากรถและเลิกม่านของรถม้าขึ้น บรรดาหญิงสาวต่างพากันมองไปที่รถม้า เพื่อดูว่าพระชายารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ทว่ากลับเห็นเพียงร่างสวมชุดขาว อาภรณ์ขาวและผมขาว ดูเย็นชาและหล่อเหลาออกมาจากรถม้า หากไม่ใช่ติ้งอ๋องแล้วจะเป็นใครได้
ติ้งอ๋องก้าวลงจากรถม้า จากนั้นก็หันกลับไปยื่นมือเข้าไปด้านใน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อาหลีถึงแล้ว”
เขายื่นมือไปพยุงให้เยี่ยหลีออกมาจากรถม้า โดยที่ไม่รอให้เยี่ยหลีก้าวออกมาด้วยตัวเอง เขาโอบเอวเยี่ยหลี่ก่อนจะวางลงบนพื้นเบาๆ ซุนฮูหยินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นม่อซิวเหยา เนื่องจากงานเลี้ยงดอกไม้ในวันนี้ ตกลงกันว่าจะมีเพียงผู้หญิงเท่านั้น แต่ไม่มีใครกล้าห้ามเขาเข้าไปในงาน นางเดินออกมาข้างหน้าด้วยความลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ท่านอ๋อง พระชายา นี่คือ…”
ม่อซิวเหยาโบกมือและพูดอย่างใจเย็น “ข้าแค่อยากมาส่งพระชายาเท่านั้น อีกเดี๋ยวข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แห่งซีหลิง ไม่รบกวนซุนฮูหยินหรอก” หลังจากได้ยินเช่นนั้น ซุนฮูหยินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกต้องทราบก่อนว่ามีคนมากมายในกลุ่มผู้มีอำนาจแห่งซีหลิงไม่ไว้วางใจติ้งอ๋อง ทั้งยังมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาที่มางานเทศกาลดอกไม้ในวันนี้ ถ้าติ้งอ๋องอยู่ เกรงว่าจะเป็นปัญหา
ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ได้มองไปที่คนอื่นๆ เขาก้มหัวพลางพูดกับเยี่ยหลีด้วยเสียงแผ่วเบา “อาหลี พอข้าออกจากวังแล้ว จะมารับเจ้านะ” เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ สองสามวันนี้นางนอนไม่ค่อยหลับและรู้สึกไม่อยากอาหาร ม่อซิวเหยาจึงปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่เพียงต้องถูกก็จะแตกสลาย เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปจัดระเบียบคอเสื้อของเขาให้เรียบร้อยและพูดว่า “ระวังตัวด้วย ข้าจะรอเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ม่อซิวเหยาก็อดยิ้มไม่ได้ สองสามวันนี้อาหลีอารมณ์ไม่ดี และไม่ได้พูดคำหวานเช่นนี้กับเขามาหลายวันแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือ “ข้ารู้ อาหลีก็ควรระมัดระวังเช่นกัน ข้าเข้าวังก่อนนะ” แต่เขาไม่รู้ว่ามีสาวๆ อีกมากมายที่หัวใจสั่นไหวเพราะรอยยิ้มของเขา ใบหน้าของม่อซิวเหยาอ่อนโยนและหล่อเหลา ทว่ามักจะเผยความเย็นชาออกมาเป็นประจำ แต่ในเวลานี้ดวงหน้าประดับรอยยิ้มที่มาจากใจ ไร้ซึ่งความจอมปลอม จึงดูหล่อเหลาจนสั่นสะเทือนจิตใจผู้คนเป็นพิเศษ
ม่อซิวเหยากำชับเยี่ยหลีและฉินเฟิงที่อยู่ข้างกายเยี่ยหลีซ้ำๆ ก่อนจะดึงบังเหียนม้าและขี่ออกไปพร้อมกับทหาร ซุนฮูหยินปิดปากเพื่อบดบังรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “ท่านอ๋องกับพระชายารักใคร่กันจริงๆ ไม่รู้ทำให้หญิงสาวทั้งแผ่นดินอิจฉากันไปกี่คนแล้ว” เยี่ยหลียิ้มพลางเอ่ย “ฮูหยินชมเกินไปแล้ว นี่คือบุตรสาวฮูหยินใช่หรือไม่” ข้างกายซุนฮูหยินยังมีเด็กหญิงในชุดผ้าแพรอายุราวเจ็ดแปดขวบอีกคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาคล้ายกับซุนฮูหยิน แต่ดูงดงามกว่าเล็กน้อย ดวงตากลมโตสวยจ้องมองไปที่เยี่ยหลีอย่างอยากรู้อยากเห็น ครั้นเยี่ยหลีมองนาง นางก็กลับไปแอบอยู่ข้างหลังซุนฮูหยินอีกครั้ง
ซุนฮูหยินดึงเด็กผู้หญิงข้างหลังกายตนออกมา พลางยิ้มและเอ่ย “ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่คือซุนเสี่ยวฟู่หรือฟู่เอ๋อร์ลูกสาวของข้าเอง ยังไม่คารวะพระชายาอีก”
เด็กหญิงตัวเล็กๆ มองเยี่ยหลีอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะก้าวมาข้างหน้าและพูดว่า “เสี่ยวฟู่คารวะพระชายา” เยี่ยหลีลูบผมเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความยินดี ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กดี เจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตองหรอก” พอคิดไปคิดมา ก็หยิบจี้ไข่มุกสีม่วงออกมามอบให้ซุนเสี่ยวฟู่เป็นของขวัญ ซุนเสี่ยวฟู่มองท่านแม่ของนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นซุนฮูหยินพยักหน้า นางจึงเอื้อมมือออกไปและเอ่ยขอบคุณพระชายา
เมื่อเห็นพระชายาติ้งอ๋องเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของซุนฮูหยินพลันปรีดาขึ้นกว่าเก่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หญิงหม้ายจะดูแลกิจการของตระกูลได้ด้วยตัวคนเดียว มูลค่าของสิ่งของที่พระชายาติ้งอ๋องมอบให้นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือได้แสดงทัศนคติของพระชายาติ้งอ๋อง แน่นอนว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นย่อมมองซุนฮูหยินด้วยความอบอุ่นและจริงใจมากขึ้น แม้แต่คนที่ดูถูกสถานะแม่ค้าและหญิงหม้ายของนาง ก็ดูจะให้ความสำคัญกับนางมากขึ้น
“พวกเราได้เตรียมชาและอาหารว่างไว้ด้านในแล้ว เชิญพระชายาด้านในเพคะ” ซุนฮูหยินยิ้มพลางเอ่ย
เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ย “เชิญฮูหยิน”
พอคนกลุ่มนั้นเดินตามเยี่ยหลีและซุนฮูหยินเข้าไปในสวนดอกไม้ ด้านนอกประตูก็พลันเงียบสงบลงไม่น้อย
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ใกล้ถนนด้านนอกประตู ด้านในรถม้ามีฮูหยินแห่งตระกูลไป๋และลูกสาวคนโตไป๋ชิงหนิงนั่งอยู่ ตอนที่พวกนางเพิ่งมาถึง ก็พอดีเห็นรถม้าของตำหนักติ้งอ๋องแล่นเข้ามาเช่นกัน แน่นอนว่าจึงทำได้เพียงเลี่ยงไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อรอให้รถม้าของตำหนักติ้งอ๋องผ่านไปก่อน
“หนิงเอ๋อร์” ไป๋ฮูหยินเห็นลูกสาวที่คล้ายว่ากำลังเหม่อลอย ก็เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย
ไป๋ชิงหนิงเงยหน้าขึ้นก่อนจะถาม “เมื่อครู่คือติ้งอ๋องหรือเจ้าคะ”
ไป๋ฮูหยินพยักหน้า พลางเอ่ย “ว่ากันว่าติ้งอ๋องผมหงอกขาวทั้งศีรษะ ก็คงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง”
ไป๋ชิงหนิงพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ย “คิดไม่ถึง…ติ้งอ๋องจะอายุน้อยเช่นนี้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ผมขาว…” หากไม่มีผมขาวนั่น ยามที่เขาผมดำขลับไม่รู้ว่าติ้งอ๋องจะสง่างามเพียงใด
ภายในสวนดอกไม้ ซุนฮูหยินเดินคู่มากับเยี่ยหลี แม้ว่าจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาวในซีหลิง แต่ในสวนก็ไม่มีดอกไม้อะไรให้ชมมากนัก แม้แต่ดอกไม้ที่พบมากที่สุดในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่ต้าฉู่ ซีหลิงก็ยังหาได้ยาก แต่ตระกูลซุนยังคงตกแต่งสวนทั้งสวนได้อย่างสวยงาม ในหลายๆ จุดตกแต่งด้วยดอกไม้ผ้าไหม แต่มองดูแล้วดอกไม้ผ้าสีแดงเหล่านั้นก็กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้สีเขียวได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย สถานที่จัดเลี้ยงจึงถูกย้ายจากสวนไปยังศาลากลางน้ำที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของสวน ศาลากลางน้ำฉลุลวดลายรอบด้าน มีเพียงผ้าตาข่ายคลุมเอาไว้เท่านั้น ผู้คนสามารถนั่งดื่มและสนุกสนานอยู่ภายในโดยยังสามารถมองเห็นมหรสพด้านนอกได้อีกด้วย เยี่ยหลีย่อมได้รับเชิญให้ไปนั่งที่สูงที่สุด แม้ว่าจะมีสตรีชั้นสูงหลายคนหรือแม้แต่องค์หญิงและท่านหญิงนั่งอยู่ด้วยก็ตาม แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเมืองหลวงได้เปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว และหญิงงามในชุดเขียวครามตรงหน้าก็คือเจ้าของเมืองในอนาคต ดังนั้นจึงไม่มีใครไม่พอใจ
เมื่อแขกและเจ้าภาพลงนั่งประจำที่ เยี่ยหลีก็มองไปโดยรอบ แม้ว่านางจะไม่รู้จักใคร แต่ก็พอมองออกจากเสื้อผ้าและสีสันที่พวกนางสวมใส่ ดูท่าตามปกติแล้ววิธีการทำการค้าของซุนฮูหยินคงนับว่าไม่เลวทีเดียว ต้องรู้ก่อนว่าในบรรดาคนเหล่านี้ มีหลายคนที่ใช่ว่าจะเชิญมาได้ด้วยเกียรติของคนค้าขาย
“ทุกท่านไม่ต้องสนใจข้าหรอก วันนี้ที่ได้มาพบหน้ากันก็ถือว่าเป็นวาสนา ทุกท่านเพลิดเพลินกันให้เต็มที่เถิด” เยี่ยหลีเห็นว่าทุกคนดูกระอักกระอ่วน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แต่ถึงแม้ว่านางจะพูดอย่างนั้น แต่ผู้หญิงเหล่านี้ที่มีความคิดต่างกันจะไม่เก้ๆ กังๆ ได้อย่างไร ซุนฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พระชายพูดถูก ถ้ามีตรงใดที่ดูแลไม่ทั่วถึง ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านโปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
ทุกคนต่างพากันพูดตามมารยาท บรรยากาศค่อยๆ ปรองดองกันมากขึ้น หลายคนมองดูพระชายาติ้งอ๋องที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานอย่างเงียบๆ นางดูราวกับว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบ งดงามและสง่า ทุกท่วงท่าทุกย่างก้าวเสมือนมีแสงแห่งความสูงส่งรายล้อม ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตามองไปทางอื่น งดงามและโดดเด่นดั่งหญิงโบราณผู้เลื่องชื่อที่เดินออกมาจากภาพวาดก็มิปาน ยากที่จะนึกถึงภาพหญิงสาวผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมควบม้าอยู่บนสนามรบ พอได้พินิจดูแล้ว คนจำนวนไม่น้อยที่เดิมทีคิดอยากส่งบุตรสาวในตระกูลตัวเองเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ต่างก็ต้องหดหู่ใจ ว่ากันตามรูปลักษณ์แล้ว หน้าตาของผู้หญิงซีหลิงโดยทั่วไปมักด้อยกว่าต้าฉู่เล็กน้อย อีกทั้งดวงหน้าของพระชายายังงดงามเช่นนี้ บุตรสาวตระกูลตนจะมีโอกาสเอาชนะใจติ้งอ๋องได้อย่างไร
“องค์หญิงหลิงอวิ๋นเสด็จแล้ว! ไป๋ฮูหยินมาถึงแล้ว! คุณหนูไป๋มาถึงแล้ว!” ด้านนอกศาลากลางน้ำมีคนตะโกนเสียงดังขึ้น
ทุกคนต่างพากันลุกยืน ไม่ว่าซีหลิงจะย้ายเมืองหลวงเมื่อใด ไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดอย่างไร ตอนนี้พวกเขาต่างยังเป็นประชาชนของซีหลิง ดังนั้นเมื่อพบองค์หญิงหลิงอวิ๋นต่างก็ต้องทำตามธรรมเนียมอย่างไร้ข้อกังขา
องค์หญิงหลิงอวิ๋นยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่งดงาม พร้อมกับสีหน้าหยิ่งผยอง แต่ใบหน้าของไป๋ฮูหยินที่อยู่ข้างหลังนางดูไม่ดีเท่าไรนัก แน่นอนว่าพวกนางรู้เรื่องที่พระชายาและองค์หญิงหลิงอวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ใครจะรู้ว่าพวกนางอ้อยอิ่งอยู่ข้างนอกแค่ครู่เดียว องค์หญิงหลิงอวิ๋นก็มาถึงพอดี จึงได้แต่เข้ามาพร้อมกัน หวังเพียงว่าพระชายาติ้งอ๋องจะไม่พาลโกรธนางเพียงเพราะมาพร้อมกับองค์หญิงหลิงอวิ๋น
“คารวะองค์หญิง!”
องค์หญิงหลิงอวิ๋นพ่นลมอย่างไม่สบอารมณ์เบาๆ และมองไปยังเยี่ยหลี่ที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ ก่อนจะเสมองซุนฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ดวงตาเฉียบคมเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เห็นได้ชัดว่านางไม่ลืมเรื่องที่นางถูกไล่ออกจากงานเลี้ยงเมื่อวันก่อน
“ยินดีต้อนรับองค์หญิง เชิญนั่งด้านในเพคะ” ซุนฮูหยินอมยิ้มพลางเอ่ย
องค์หญิงหลิงอวิ๋นยิ้มเย็น ก่อนจะเอ่ย “ข้าคิดว่าวันนี้ซูนฮูหยินก็จะไล่ข้าออกไปเสียอีก”
ซุนฮูหยินยิ้มอย่างประหลาดใจ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ใครหน้าไหนที่กล้าไล่องค์หญิงอย่างไม่เสียดายชีวิตเช่นนั้น คนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือเพคะ”
ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกไป ใบหน้าของผู้คนทั้งหมดก็ดูผิดแปลกไปเล็กน้อย หญิงสาวหลายคนอดที่จะแอบหัวเราะไม่ได้ ตอนนั้นองค์หญิงหลิงอวิ๋นกลับมาจากต้าฉู่ด้วยความอับอาย แต่แทนที่จะสำรวม นางกลับดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ฮ่องเต้แห่งซีหลิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจับนางแต่งงานอย่างเร่งรีบ แต่ไม่คิดว่าอาจเพราะองค์หญิงหลิงอวิ๋นถูกยั่วยุโดยสังคมในซีหลิง ทำให้พอแต่งเข้าไปได้เดือนแรกนางก็ตีสาวใช้อุ่นเตียงคนหนึ่งของพระสวามีกับสาวใช้ในเรือนคนหนึ่งของพระสัสสุตาย สาเหตุเพียงเพราะ พระสัสสุโกรธนางจนล้มป่วยจึงไม่อยากพบหน้านาง จึงสั่งสาวใช้ของนางไว้ว่าไม่ให้นางเข้าพบ ด้วยเพราะเหตุนี้ พระสัสสุนางจึงโกรธจนเป็นลมเป็นแล้งไป ผ่านไปไม่ถึงสองเดือนก็ลาจากโลกนี้ไป นี่จึงกลายเป็นเรื่องตลกอีกเรื่องหนึ่งของเมืองหลวงซีหลิง
ใบหน้าขององค์หญิงหลิงอวิ๋นบิดเบี้ยว แต่นางไม่ได้อาละวาดในทันที ยิ้มเยาะและเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สองสามวันก่อนคนที่สั่งให้กันข้าอยู่หน้าประตูไม่ใช่ซุนฮูหยินหรอกหรือ หรือว่าซุนฮูหยินอยากดูว่าข้าจะกล้าเอาชีวิตเจ้าหรือไม่!”
สีหน้าซุนฮูหยินเปลี่ยนไปเล็กน้อยและพูดอย่างเย็นชาว่า “พอองค์หญิงพูดถึงขึ้นมา ข้าน้อยเลยนึกขึ้นมาได้ว่า งานเลี้ยงในวันนั้นองค์หญิงก็น่าจะรู้ดีว่าเป็นงานเลี้ยงของหญิงในเมืองที่ยังไม่ได้ออกเรือน แม้จะมีฮูหยินสองสามคนมาร่วมงาน ทว่าก็เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านความประพฤติและคุณธรรมของหญิงสาว เพื่อมาอบรมสั่งสอนหญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน แม้แต่ตัวข้าน้อยเองก็ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนั้นเช่นนี้ ทว่าไม่ทราบว่าองค์หญิง…”
พูดได้เพียงครึ่งเดียว แต่น่าอับอายมากกว่าพูดออกมาทั้งหมดเสียอีก องค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ไม่มีทั้งความสามารถและคุณธรรม มีสิทธิ์อะไรมาเข้าร่วมในงานเลี้ยงเช่นนี้ นี่จะไม่กลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้แก่สตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนหรอกหรือ