ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 320-3 ฉู่จิงจะตกเป็นของผู้ใด
ฮว่ากั๋วกงส่งเสียงเหอะเบาๆ ปรายตามองดูเหลิ่งหวายราวกับยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม “ในบรรดาลูกชายของเจ้าแต่ละคนนั่น ข้าดูไปแล้ว กลับคิดว่าคนนี้น่าจะมีความสามารถมากกว่า” ฮว่ากั๋วกงสังเกตตำหนักติ้งอ๋องมาโดยตลอด และพบว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่สนิทกับเฟิ่งจือเหยาที่มีสัมพันธ์อันดีกับม่อซิวเหยามาตั้งแต่เด็ก ฮว่ากั๋วกงจึงย่อมคุ้นเคยกับเขา เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า นี่คือการหลอกล่อเพื่อตลบหลัง เมื่อก่อนเหลิ่งเฮ่าอวี่ออกจากจวนแม่ทัพตระกูลเหลิ่งมาแล้วไปทำการค้าขาย แต่พอมาดูผลงานของเขาที่ด่านจื่อจิงอีกครั้ง ก็พบว่าการแสดงออกที่ดูเหมือนว่าเหลิงเฮ่าอวี่เป็นคนเจ้าสำราญมาตลอดกลับเป็นเพียงฉากหน้าที่ปิดบังความสามารถเอาไว้ เมื่อคิดดูแล้วเขายังเก่งกว่าเหลิงฉิงอวี่ที่ผู้คนชื่นชมมาตลอดนั่นเสียอีกด้วยซ้ำ
เหลิ่งหวายได้แต่ยิ้มแห้งๆ ที่ถูกท่านกั๋วกงเยาะเย้ยว่าแม้แต่ลูกตัวเองก็ยังมองไม่ออก แต่ว่า สำหรับเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่เป็นคนสามัญชนธรรมดาๆ แต่กลับมีความสามารถมากกว่าลูกชายคนโตของภรรยาเอกที่ตัวเองเลี้ยงดูมาอย่างดี สำหรับเขากลับไม่ได้เป็นเรื่องน่ายินดีเท่าไรนัก เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่ไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลยโดยสิ้นเชิงกลับมีความสามารถเหนือกว่าพี่ใหญ่ของเขา นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าตัวเหลิ่งเฮ่าอวี่เองมีความสามารถจริงๆ และในเมื่อล้วนแล้วแต่เป็นลูกชายของตน เหลิ่งหวายจึงย่อมไม่คิดอะไรมาก
ฮว่ากั๋วกงหรี่ตามองเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่ทำตัวสบายๆ อย่างเกียจคร้าน แล้วเอ่ยเรียบๆ “เจ้าหนุ่มเหลิ่ง เจ้าอย่าได้อ้อมค้อมกับคนชราอย่างข้าเลย ตำหนักติ้งอ๋องต้องการอะไรกันแน่ ข้าไม่เชื่อหรอกนะว่าเจ้าจะไม่รู้ร” เหลิ่งเฮ่าอวี่กรอกตา แล้วลุกขึ้นมานั่ง พร้อมพูดอย่างยิ้มแย้ม “ท่านกั๋วกง ท่านพูดเช่นนั้นไม่ได้นะขอรับ อย่าว่าแต่ว่าตำหนักติ้งอ๋องต้องการอะไรเลย แม้ว่าท่านอ๋องจะกลับมาก่อนเวลา และยอมส่งทหารออกมาช่วย แต่ระหว่างต้าฉู่กับซีเป่ยก็ยังมีกองทัพแคว้นเป่ยหรงสกัดอยู่มากกว่าล้านนาย ก็ต้องดูว่าทหารของท่านอ๋องจะมาถึงทันหรือไม่ อีกอย่าง…ต่อให้ข้าน้อยพูดเรื่องไม่น่าฟังเอาไว้ก่อน แต่ท่านกั๋วกง ต่อให้ฉู่จิงแห่งนี้รักษาไว้ได้แล้ว แต่จะนับว่าเป็นของใครหรือ”
ฮว่ากั๋วกงจ้องเหลิ่งเฮ่าอวี่ และกล่าวถาม “นี่เป็นความคิดของติ๋งอ๋องหรือคุณชายใหญ่สวี”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่สนใจท่าทีที่ตั้งใจจะกดดันของฮว่ากั๋วกงแม้แต่น้อย เขาลูบจมูกแล้วยิ้มพูด “ข้าน้อยก็แค่ถามไปอย่างนั้นเองขอรับ ท่านกั๋วกงก็รู้ว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่เป็นพ่อค้า ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว…ฉู่จิงจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่เดิมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตำหนักติ้งอ๋องของข้าอยู่แล้ว แล้วเหตุใดตำหนักติ้งอ๋องถึงจะต้องมาแบกรับความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดศัตรูขึ้นในภายหลังเพื่อช่วยเหลือฉู่จิง และถึงขนาดต้องเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ของแคว้นเป่ยหรงและเป่ยจิ้งด้วยเล่า”
ฮว่ากั๋วกงนิ่งเงียบ แน่นอนว่า เขาเข้าใจความหมายของเหลิ่งเฮ่าอวี่ดี กองทัพตระกูลม่อไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องเสียสละชีวิตของทหารมากมายเช่นนั้นเพื่อมาช่วยตีศัตรูตัวฉกาจ และคุ้มกันฉู่จิงแทนต้าฉู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สถานการณ์ตอนนี้ ราชวงศ์ต้าฉู่ทั้งหมดล้วนทอดทิ้งฉู่จิงที่กำลังสับสนวุ่นวายอย่างมากไปเสียแล้ว ดังนั้น เหตุใดกองทัพตระกูลม่อจะต้องมาช่วยศัตรูของตัวเองแย่งเมืองนี้กลับมาด้วยเล่า
“คุณชายรองเหลิ่ง” ม่อเสี้ยวอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงต้าฉางเอ่ยปากขึ้นทันใด “คุณชายรองเหลิ่ง ราชวงศ์ต้าฉู่ไร้ความสามารถถึงขนาดสูญเสียผืนดินไปเกินครึ่งแคว้น บัดนี้จำต้องละทิ้งประชาชนนับหมื่นนับแสนคนแล้วย้ายไปอยู่ทางตอนใต้ พวกเราไม่มีหน้าจะไปเผชิญกับประชาชนต้าฉู่แล้วจริงๆ ขอเพียงแค่กองทัพตระกูลม่อสามารถขับไล่ไม่ให้พวกคนป่าเถื่อนพวกนั้นมาฆ่าล้างประชาชนฉู่จิงได้ ต่อไป…ฉู่จิงก็ย่อมต้องเป็นของตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมดขอรับ” ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกไป ทุกคนต่างมีท่าทางอึ้งตะลึง และทำให้สายตาของทุกคนมองมายังเด็กหนุ่มที่เพิ่งอายุสิบสองสิบสามปีคนนี้ จะว่าไป แม้ว่าจะมีแม่อย่างสนมหลิ่วแต่ในบรรดาองค์ชายเหล่านั้น ม่อเสี้ยวอวิ๋นเหมือนกับม่อจิ่งฉีตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่มากที่สุด อย่างไร การเลี้ยงดูหลายปีของตระกูลหลิ่วก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ เดิมที ใจของม่อจิ่งฉีก็มีความคิดว่าจะส่งต่อตำแหน่งผู้สืบทอดให้แก่ม่อเสี้ยวอวิ๋น เพียงแต่น่าเสียดายที่ถูกแม่ของเขาทำลายไปเสียก่อน เวลานี้ หนุ่มน้อยวัยสิบสองสิบสามปีสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ ก็ถือว่ายอดเยี่ยมและหาได้ยากมากแล้ว
เหลิ่งเฮ่าอวี่มองดูม่อเสี้ยวอวิ๋น และเลิกคิ้วถาม “ฉินอ๋อง…สามารถเป็นผู้ตัดสินใจได้หรือไม่”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นพูดด้วยสีหน้าปกติ “ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จไปทางใต้ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้ข้าเป็นอ๋องฉางซิงแล้ว ข้าจึงย่อมตัดสินใจเองได้”
สมัยก่อนฉู่จิงมีนามว่าฉางซิง ทว่า บัดนี้ได้ย้ายเมืองหลวงแล้ว ชื่อเรียกฉู่จิง[1]จึงไม่ได้ใช้อีกต่อไป แต่ที่แห่งนี้ยังคงให้อ๋องคนหนึ่งประจำการอยู่ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์ยังมิได้ทอดทิ้งประชาชน ดังนั้น ม่อจิ่งหลีจึงเปลี่ยนม่อเสี้ยวอวิ๋น จากอ๋องฉินผู้เป็นรัชทายาทไร้ประโยชน์ ให้รับตำแหน่งเป็นอ๋องฉางซิง โดยจุดประสงค์ก็เพื่อให้สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่แบ่งตามศักดินาของม่อเสี้ยวอวิ๋นไป แม้ว่า พูดตามหลักแล้ว ผืนดินแห่งนี้ก็ยังคงเป็นของต้าฉู่อยู่ แต่สำหรับสถานการณ์เฉกเช่นปัจจุบันนี้นั้น เพียงแค่ม่อเสี้ยวอวิ๋นเห็นชอบ ราชวงศ์ต้าฉู่ทางตอนใต้ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
เหลิ่งเฮ่าอวี่มองม่อเสี้ยวอวิ๋นอย่างสนใจ และถาม “นี่เป็นฉู่จิงเชียวนะ เจ้าไม่เสียดายจริงๆ หรือ”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เสียดายแล้วมีความหมายหรือ ถ้าหากว่าไม่มีทหารตระกูลม่อมาช่วยหนุน ไม่ช้าก็เร็วฉู่จิงก็ต้องถูกตีแตกอยู่ดี ถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่อ๋องฉางชิงอะไรนั่นเลย แม้แต่ชีวิตก็คงไม่อาจรักษาไว้ได้ ติ๋งอ๋องเป็นผู้มีคุณธรรม ข้าเชื่อว่าติ้งอ๋องจะไม่ทำร้ายชีวิตของพี่สาวและน้องชายอย่างเราสองคนนี้แน่นอน”
“ท่านกั๋วกง ท่านเห็นว่าอย่างไรขอรับ” เหลิ่งเฮ่าอวี่ถาม
ฮว่ากั๋วกงส่งเสียงเหอะเบาๆ และพูด “อ๋องฉางชิงก็รับปากแล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก คุณชายเหลิ่งนี่ทำการค้าเก่งจริงเชียว นับว่าตระกูลเหลิ่งมีผู้สืบทอดจริงๆ แล้วสิ” เหลิ่งเฮ่าอวี่ลูบจมูกอย่างอายๆ “ท่านกั๋วกงชมเกินไปแล้วขอรับ”
ฮว่ากั๋วกงลุกขึ้นยืน และพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ภายในสามเดือน ไม่ว่าเป่ยหรงหรือว่าเป่ยจิ้ง ข้าก็จะไม่ให้ชนเผ่าต่างชาติพวกนี้ย่างกรายเข้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว!”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มพูด “ลำบากท่านกั๋วกงแล้วขอรับ”
ทุกคนไปส่งฮว่ากั๋วกง เหลิ่งเฮ่าอวี่ลูบคางและครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เขากำลังคิดเขาควรจะเขียนจดหมายไปเร่งคุณชายชิงเฉิน ถามว่าคุณชายชิงเฉินจะสามารถส่งทหารมาให้เร็วกว่านี้ได้หรือไม่ หากต้องป้องกันถึงสามเดือนย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ และหากเกิดพลาดพลั้งไปแม้สักน้อย ก็ไม่แน่ว่าชีวิตน้อยๆ ของตัวเองก็อาจไม่รอดเช่นกัน
เหลิ่งหวายที่อยู่ด้านข้างมองลูกชายที่กำลังทำท่าครุ่นคิดอยู่เงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เมื่อลองคิดถึงสงครามที่กำลังจะมาถึง ก็พอคาดการณ์ได้ว่าจะต้องเป็นสงครามที่ยากลำบากนักเป็นแน่ ท้ายสุดแล้ว เรื่องที่ฉู่จิงจะเป็นของใครนั้น ราวกับจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้นเสียแล้ว
[1] ฉู่จิง แปลได้ว่า เมืองหลวงแห่งรัฐฉู่