ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 321-2 กลับเมืองหลี
อาจารย์ชิงอวิ๋นโบกมือพูด “ตอนนี้ร่างกายของข้าแข็งแรงดี เดินเยอะหน่อยก็ไม่ได้ลำบากอันใด ข้าได้มาดูเจ้า ก็สบายใจแล้ว ประเดี๋ยวจะนั่งอยู่อีกสักพัก พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนกันก่อนเถิด ส่วนงานเลี้ยงต้อนรับอะไรนั่นผ่านไปสองสามวันค่อยว่ากันก็แล้วกัน อีกอย่างตอนนี้ คนข้างนอกก็ยังไม่รู้ว่าพวกเจ้ากลับมาแล้ว” การคิดเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าอาจารย์ชิงอวิ๋นสงสารที่หลานเขยและพระชายาเหน็ดเหนื่อยมากับการเดินทาง ติ้งอ๋องกับพระชายาเพิ่งกลับมาถึง เรื่องที่ต้องยุ่งจัดการมีมากมาย อีกทั้งตอนนี้เยี่ยหลีก็ท้องได้ห้าเดือนแล้ว จะให้นางเหนื่อยแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว
สวีหงอวี่ขมวดคิ้วพูด “เกรงว่างานเลี้ยงต้อนรับพวกนั้นอาจจะต้องงดเว้นชั่วคราวก่อนขอรับ ท่านอ๋องต้องรีบไปต้าฉู่ก่อนถึงจะถูก”
คิ้วโก่งของม่อซิวเหยาเลิกขึ้นเล็กน้อย ถามว่า “ไม่ใช่ว่าด้านหน้ามีพี่สวีประจำอยู่หรือ ได้ยินมาว่าราบรื่นทีเดียว เกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียแล้วเล่า”
สวีหงอวี่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นจดหมายที่เหลิ่งเฮ่าอวี่ส่งมาทางม้าเร็ว ท่านอ๋องลองดูเถิด ชิงเฉินไม่ถนัดการสู้รบ ต่อให้เขาประจำอยู่ด้านหน้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม้ว่าหนานโหวจะไม่ได้ลดความกล้าในการใช้กำลังทหารเช่นเมื่อในอดีตลง ทำให้กองทัพใหญ่ของเป่ยหรงกับซีหลิงที่ต้องเผชิญหน้ามีวี่แววจะถอนกำลังทหารออกไป แต่ก็เพียงพอแค่รักษาด่านเฟยหงไว้ได้เท่านั้น หากอยากจะนำทหารบุกตีไปถึงเมืองฉู่จิงภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่า กลับไม่สามารถทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น…ทหารป้องกันของฉู่จิงจะยื้อไว้ถึงครึ่งเดือนหรือไม่ก็ไม่อาจคาดการณ์ได้”
ม่อซิวเหยาอ่านจดหมายของเหลิ่งเฮ่าอวี่อย่างสนใจ และยิ้มพูด “เหลิ่งเฮ่าอวี่นี่สมกับเป็นคนที่เรียนทำการค้ามาหลายปีจริงๆ” แต่เดิม เขาวางแผนไว้จริงๆ ว่า หลังจากกลับมาซีเป่ยแล้วจะสั่งทหารให้เคลื่อนพลไปทางตะวันออกเพื่อช่วยเหลือฉู่จิง และแน่นอนว่าจะถือโอกาสนี้ยึดฉู่จิงมาเป็นของตัวเอง แต่เมื่อตอนนี้มีจดหมายฉบับนี้ของเหลิ่งเฮ่าอวี่มา ก็ยิ่งสามารถพูดได้อย่างสมเหตุสมผลมากขึ้นแล้ว แต่ว่าตอนนี้อาหลีกำลังตั้งครรภ์…เขามองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างตน แล้วม่อซิวเหยาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เยี่ยหลีดึงจดหมายจากมือของม่อซิวเหยามาอ่าน และยิ้มบางๆ “พูดได้ไม่เลว ครั้งนี้เหลิ่งเฮ่าอวี่คว้าโอกาสทำการค้าไว้ได้ดีทีเดียว ถ้าหากรักษาฉู่จิงไว้ได้ ต่อไปแม้แต่ฝั่งม่อจิ่งหลีก็คงพูดอะไรไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พักสักสองวัน ท่านอ๋องก็ไปที่ด่านเฟยหงแทนพี่ใหญ่แล้วให้พี่ใหญ่กลับมาเถิด”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว และพูดเบาๆ “แต่ว่าอาหลี…” เยี่ยหลี่ยิ้มน้อยๆ “ข้าอยู่ที่เมืองหลี อย่าบอกนะว่า จะอันตรายกว่าเข้าไปในสนามรบน่ะ ไม่นาน เวลาสี่ห้าเดือนก็ผ่านไปแล้ว”
ม่อซิวเหยารู้สึกไม่สบายใจ พลางวางจดหมายกลับลงบนโต๊ะ “ช่างเถิด ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว พักผ่อนสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่างไร ฝั่งฉู่จิงด้านนั้นก็ไม่ได้รีบร้อนต้องไปในวันสองวันนี้หรอก” คนที่นั่งอยู่ต่างมองมาทางม่อซิวเหยาโดยไม่ได้นัดหมาย ที่บอกว่าฉู่จิงไม่ได้รีบร้อนต้องไปในวันสองวันนี้หมายความว่าอย่างไร ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าฉู่จิงกำลังมีอันตรายอยู่ตรงหน้า อย่างน้อยเร็วขึ้นสักหนึ่งเค่อก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมากแล้ว เยี่ยหลีเข้าใจความคิดของม่อซิวเหยา จึงไม่พูดฝืนเขาต่อ เพียงคลี่ยิ้มบางๆ
คุยสัพเพเหระต่ออีกครู่หนึ่ง อาจารย์ชิงอวิ๋นและคนอื่นๆ ก็เร่งให้เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยากลับไปพักผ่อน แม้แต่เด็กน้อยอย่างม่อตัวน้อยกับเหลิ่งจวินหานก็ถูกอาจารย์ชิงอวิ๋นหิ้วตัวมาสอนวิชาในห้องหนังสือแล้ว เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาจึงไม่ได้พูดถ้อยคำเกรงใจ กล่าวลาทุกคนเสร็จก็กลับเรือนของตัวเองไป ภายในเรือนมีเหล่าคนใช้เตรียมน้ำชาและขนมรอไว้แล้ว หลายปีนี้ คนรอบตัวเยี่ยหลีปรนนิบัติรับใช้เยี่ยหลีเช่นนี้ตลอด ทว่า สาวใช้ประจำตัวสองสามคนของเยี่ยหลีเมื่อก่อน ต่างแต่งงานและมีครอบครัวไปแล้ว เหลือเพียงชิงซวงที่ยังไม่ได้แต่งงานและคอยอยู่ดูแลข้างกายเยี่ยหลีกับแม่นมอีกสองคนที่อยู่กับเยี่ยหลีมาตลอดเท่านั้น เพียงแต่ หลายครั้งที่เยี่ยหลีไม่ได้อยู่ที่เมืองหลีจึงไปดูแลม่อตัวน้อยแทน
พอเดินเข้าประตูมา ชิงซวงก็พาสาวใช้ที่ไม่ได้รับใช้มานานเข้ามา บัดนี้ ชิงซวงอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่ใช่สาวใช้อายุน้อยๆ ไม่รู้ความอย่างตอนแรกอีกแล้ว พอเห็นเยี่ยหลีก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง “ชิงซวงคารวะท่านอ๋องและพระชายาเพคะ ยินดีกับพระชายาที่มีซื่อจื่อเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนเพคะ” เยี่ยหลียิ้มบางๆ ให้กับชิงซวง ชิงซวงคือคนที่ถูกตนซื้อเข้ามาจากด้านนอก และเป็นสาวใช้ที่ตามติดนางมาตั้งแต่เด็ก ทำให้นางใกล้ชิดมากกว่าคนอื่นพอสมควร “ทั้งปีที่ข้าไม่อยู่นี้ ต้องลำบากเจ้าแล้วนะ” ชิงซวงยิ้มพูด “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่บ่าวสมควรกระทำเพคะ ลำบากที่ไหนกัน การได้รับใช้พระชายาไม่รู้ว่าเป็นวาสนาที่บำเพ็ญมากี่ชาติแล้ว บ่าวให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว เชิญท่านอ๋องและพระชายาอาบน้ำแล้วมากินโจ๊กสักหน่อยเถิด หลายวันนี้คงจะเหนื่อยมากแล้ว”
คำพูดนี้เป็นคำพูดที่จากใจจริงของชิงซวง นางเคยเป็นหญิงกำพร้าที่เร่ร่อนบนถนนมาก่อน แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในหญิงรับใช้ข้างกายพระชายาที่พระชายาติ้งอ๋องไว้วางใจมากที่สุด ชิงซวงรู้สึกจริงๆ ว่าไม่มีเรื่องอะไรที่โชคดีไปกว่านี้อีกแล้ว อีกอย่างนางแตกต่างจากชิงอวี้และชิงหลวน ตรงที่พวกนางยังมีพ่อแม่และครอบครัว แต่นางกลับเป็นเด็กกำพร้าที่แม้แต่พ่อแม่คือใครก็ยังเลือนลาง ทว่า พระชายาปฏิบัติต่อนางอย่างดีมาก แม้จะบอกว่าเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายพระชายา แต่ว่าเทียบกับคนร่ำรวยธรรมดาๆ ในเมืองหลีแล้วก็ยังมีหน้ามีตามากกว่า ชิงซวงรู้สึกว่า แม้ว่าทั้งชาตินางจะไม่ได้แต่งงาน แต่เพียงได้รับใช้ข้างกายพระชายาก็คุ้มค่าแล้ว ดังนั้นหลายปีนี้ ชิงอวี้ ชิงหลวน หรือแม้แต่ชิงสยาที่แต่งงานออกไปติดๆ กัน ชิงซวงก็ยังบอกปัดแม่สื่อที่มาแนะนำคู่แต่งงานให้ และตั้งใจรับใช้เยี่ยหลีต่อไป นางเป็นคนที่อยู่ข้างกายเยี่ยหลีมาเก่าแก่ที่สุด และตอนนี้ ก็เป็นคนที่ติดตามเยี่ยหลีนานที่สุดด้วย
เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อ แต่งกายออกมาแล้ว ชิงซวงก็เตรียมโจ๊กบำรุงร้อนๆ ที่ทั้งสองคนชอบมาให้ หลายปีนี้ อายุของชิงซวงค่อยๆ มากขึ้น การปรนนิบัติต่างๆ ก็ค่อยๆ สุขุมและรอบคอบมากขึ้น ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่ทำอะไรรีบร้อนและผิดพลาดบ่อยๆ เมื่อให้ทุกคนออกจากห้องไปแล้ว เยี่ยหลีก็กินไปใช้ความคิดไปเงียบๆ ม่อซิวเหยาเห็นนางขมวดคิ้ว จึงเอ่ยถาม “อาหลีกำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
เยี่ยหลียิ้มพูด “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่จู่ๆ ก็คิดว่า เผลอแผลบเดียวชิงซวงก็ผ่านอายุยี่สิบไปแล้ว” หลายปีนี้กลายเป็นว่า นางทำให้การแต่งงานของชิงซวงล่าช้าไป
ม่อซิวเหยาพูด “อาหลีอยากจะแนะนำให้นางแต่งงาน ก็รอไปอีกหน่อย ค่อยว่ากันเถิด” ปกติแล้ว หากสาวใช้แต่งงานก็ไม่อาจรับใช้ข้างกายนายได้อีก แต่ม่อซิวเหยาเสียดายชิงซวงมาก หลายปีมานี้ ชิงซวงดูแลเยี่ยหลีได้รอบคอบ คล่องมือและเชื่อถือได้ ยิ่งบัดนี้ที่อาหลีท้อง ก็ยิ่งเป็นช่วงที่ต้องระวังอย่างมาก รอให้นางคลอดเด็กออกมาก่อน ค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย
เยี่ยหลีพยักหน้าพูด “ก็ต้องถามความคิดของชิงซวงสักหน่อย ตอนแรก ที่ให้ชิงอวี้กับชิงหลวนแต่งงานไปกับคนของบ้านท่านลุงใหญ่เดิม ก็ถือว่าพวกนางได้กลับไปพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวแล้ว เดิมทีที่พวกนางต้องย้ายจากอวิ๋นโจวมาที่ฉู่จิงก็เมื่อมารับใช้ข้า ชีวิตของชิงซวงตอนนี้ก็ถือว่าไม่เลวและนางเป็นคนที่โตมาพร้อมกันข้าตั้งแต่เล็กๆ อย่างไรเรื่องการหาคนที่จะเหมาะสมชิงซวงก็ต้องคิดให้มากสักหน่อย”
ม่อซิวเหยาคิดครู่หนึ่ง และพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากแต่งงานก็ให้นางอยู่ข้างกายเจ้าเถิด เจ้าว่า อาจิ่นเป็นอย่างไร”
“อาจิ่นหรือ” เยี่ยหลีอึ้งไป จะว่าไปแล้ว แม้ว่าอาจิ่นจะติดตามม่อซิวเหยามาตั้งแต่เล็ก แต่เยี่ยหลีไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขาสักเท่าไร นางแต่งงานกับม่อซิวเหยาได้ไม่นาน อาจิ่นก็ถูกม่อซิ่วเหยาส่งให้ออกไปทำงาน จึงมักจะอยู่ด้านนอก และกลับมาน้อยครั้งนัก อาจิ่นไม่เหมือนกับเฟิ่งจือเหยาและเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่สามารถช่างพูดช่างเจรจา อาจิ่นเป็นชายหนุ่มที่เงียบขรึม หากดูเผินๆ ก็จะทำให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นใบ้ได้ ดังนั้น เยี่ยหลีถึงได้ไม่คุ้นเคยกับเขา
ม่อซิวเหยาพยักหน้าพูด “อาจิ่นเป็นหลานชายของลุงม่อ เพียงแต่ด้วยนิสัยของเขาจึงรับงานต่อจากลุงม่อไม่ได้ คนในครอบครัวลุงม่อกับพ่อแม่ของอาจิ่นล้วนล้มหายตายจากเพราะจวนติ้งอ๋องไปแล้ว หลายปีนี้ ข้าให้เขาออกไปศึกษาเล่าเรียน หวังว่าเขาจะสามารถแข็งแกร่ง ทำให้ลุงม่อวางใจได้ แม้ว่าอาจจะไม่เหมือนกับเฟิ่งซาน เหลิ่งเอ้อร์พวกนั้น แต่ว่าเขาคงไม่ถึงกับไม่คู่ควรกับสาวใช้”