ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 323-2 ความแตกต่างของตระกูลเยี่ยกับตระกูลสวี
ม่อตัวน้อยเบะปากเล็กๆ นั่นอย่างไม่ไว้หน้าแล้วซุกหน้ากับอกสวีชิงเฉิน ข้าไม่เอาคนอัปลักษณ์เช่นนั้นมาเล่นด้วยหรอก อัปลักษณ์อย่างเดียวไม่พอ ยังโง่อีกด้วย ขนาดท่านลุงใหญ่ประชดไปเขายังดูไม่ออก ซ้ำยังยิ้มรับโง่ๆ อีก! ข้ายอมเล่นกับท่านลุงเล็กและหานหมิงซีต่อเสียยังดีกว่า
“จิ้นซื่อคืออะไร เก่งกาจมากหรือไม่” ม่อตัวน้อยกระพริบตาถามขึ้น
สวีชิงเฉินยิ้มบางเอ่ยว่า “ตาทวด ลุงทวดและบรรดาลุงๆ ของเจ้าล้วนเคยได้เป็นจิ้นซื่อกันทั้งสิ้น” สำหรับที่อื่นจิ้นซื่ออาจเป็นตำแหน่งที่เก่งกาจ แต่สำหรับตระกูลสวีแล้วกลับเป็นเพียงตำแหน่งกิ๊กก๊อกเท่านั้น หลายร้อยกว่าปีมานี้อย่างน้อยที่สุดลูกหลานของตระกูลสวีล้วนได้ที่หนึ่งของจิ้นซื่อมาแล้ว กล่าวได้ว่าสำหรับตระกูลสวีแล้วหากสอบผ่านจิ้นซื่อจึงจะนับว่าสิ่งที่ร่ำเรียนมาไม่สูญเปล่า ได้ยินดังนั้นม่อตัวน้อยก็มองฮูหยินผู้เฒ่าแล้วกล่าวอย่างใสซื่อว่า “ตระกูลเรามี…หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด…ตระกูลเรามีจิ้นซื่อแปดคน อีกทั้ง…ข้ามีท่านตาทวดคอยสอนหนังสือ ท่านตาเก่งกว่าท่านตาทวดหรือไม่”
เยี่ยเหวินหวาตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก เขารีบยิ้มกล่าวว่า “วิชาความรู้ของท่านตาทวดเจ้ายอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า ได้ร่ำเรียนกับท่านตาทวดนับเป็นโชคดีอันใหญ่หลวงนัก ตาไหนเลยจะสู้ได้…”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าถูกม่อตัวน้อยถามจนจุกสีหน้าก็เริ่มจะดูไม่ได้ ในใจเริ่มจะไม่ชอบเหลนน้อยที่ฉีกหน้านางตั้งแต่พบหน้าคนนี้เสียแล้ว เพียงแต่นางยังมีสติอยู่บ้าง รู้ถึงฐานะของม่อตัวน้อยดีว่ามิใช่คนที่นางจะเอ่ยปากสั่งสอนได้
เยี่ยหลีมองลูกชายที่ขดตัวซุกอยู่ในอกสวีชิงเฉินพลางทำหน้าทำตาส่งมาให้นางจึงแย้มยิ้มบางๆ กล่าวกับเยี่ยเหวินหวาว่า “ท่านพ่อ ที่พักที่อยู่ตอนนี้มีตรงใดไม่สะดวกหรือ”
เยี่ยเหวินหวารีบกล่าว “เปล่าหรอก บ้านที่ถนนเสวียนอู่ที่พี่รองหาไว้ให้นั้นสะดวกสบายกว้างขวางใหญ่โต ไม่มีตรงใดไม่เหมาะสมเลย” ไม่ได้เจอกันนาน ยามนี้ได้พบลูกสาวอีกครา เยี่ยเหวินหวาไม่มีกลิ่นอายของความเป็นพ่อที่สูงส่งดั่งเก่าก่อนอีกแล้ว กลับมีเพียงรู้สึกผิดเล็กน้อยอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ได้พบกันนาน แม้เยี่ยหลีจะยังคงสง่างามและอ่อนโยนดังเก่า ทั้งยังมีตำแหน่งสูงกว่าและมีประสบการณ์การออกรบมาหลายครั้งหลายครา จึงทำให้นางมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม ทำให้คนคำนับกราบไหว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ คนที่ได้พบเจอกันทุกวันอาจจะไม่รู้สึกเท่าใดนัก แต่เยี่ยเหวินหวากลับรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปรอบๆ ตัวลูกสาวคนนี้ได้อย่างชัดเจน
เยี่ยหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี หากมีตรงใดที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสม ท่านพ่อก็บอกมาได้เลย คนภายนอกจะได้ไม่คิดว่าท่านอ๋องโหดร้ายกับผู้ใหญ่”
เยี่ยเหวินหวารีบตอบว่าทุกอย่างดีงามเหมาะสม เขารู้ดีแก่ใจว่านี่เป็นการเตือนจากเยี่ยหลี หากยอมแยกบ้านอยู่ที่เมืองหลีแห่งนี้เสียดีๆ ก็ย่อมมีของกินของใช้อย่างไร้กังวล แต่ถ้ายังคิดอยากจะมาอยู่ร่วมกันในตำหนักอีกล่ะก็ อย่ามาหาว่านางเป็นลูกสาวไร้เมตตาก็แล้วกัน เยี่ยเหวินหวาถูกลูกสาวตัวเองปฏิบัติใส่เช่นนี้จึงรู้สึกเสียใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าเมื่อก่อนที่ตนละเลยเพิกเฉยต่อสวีซื่อและเยี่ยหลีตนก็อดครุ่นคิดและรู้สึกผิดขึ้นมายามอยู่ต่อหน้าคนตระกูลสวีอย่างห้ามไม่ได้
เห็นเยี่ยเหวินหวาเป็นเช่นนี้ เยี่ยหลีก็พยักหน้าอย่างพอใจ เยี่ยเหวินหวาผู้นี้จริงๆ แล้วไม่ใช่คนคิดไม่ได้ แม้คราแรกจะคิดอยากมีอำนาจอย่างเอาเป็นตายจนทอดทิ้งภรรยาหลวงไป แต่ก็นับว่ายังไม่ถึงกับโง่เขลา หากมีเพียงเขาคนเดียวเยี่ยหลีคงไม่กังวลใจและไม่ถือสาที่จะเลี้ยงดูเขาไปชั่วชีวิต ให้เขาอยู่ที่เมืองหลีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวปลาอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ ก็จะถือว่าสายเลือดเดียวกันได้มาอยู่กันพร้อมหน้า น่าเสียดายที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าและเยี่ยหวังซื่อกลับไม่ยอมแบ่งบ้าน เห็นได้ชัดว่ากำลังในการควบคุมบังคับภรรยากกับมารดาของเยี่ยเหวินหวานั้นไม่มากพอ อย่างไรเสียก็ต้องให้คนไปคอยจับตาดูพวกนางไว้ ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ก่อเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมาได้
สวีหงอวี่และคนอื่นๆ ก็ไม่อยู่กันนาน พวกเขาต่างยุ่งกันจนหัวหมุนย่อมไม่อาจอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนเยี่ยเหวินหวาได้ นั่งต่อสักพักพวกเขาก็ลุกขึ้นพยุงท่านชิงอวิ๋นเข้าไปพัก ส่วนสวีชิงเฉินก็พาม่อตัวน้อยที่นอนอยู่บนตัวเขาอย่างเกียจคร้านไปด้วย เหลือเพียงเยี่ยหลีกับเยี่ยเหวินหวาและคนอื่นๆ ที่พูดคุยเรื่องเก่าก่อนกัน เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยอย่างสนิทสนมกับเยี่ยหลี พอคนของตระกูลสวีไปแล้ว ชิงซวงและฉินเฟิงก็เดินเข้ามายืนประกบทั้งซ้ายและขวาของเยี่ยหลี จ้องมองคนตระกูลเยี่ยอย่างข่มขู่ จริงๆ แล้วเมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ทว่าที่เมืองหลวงซีหลิงคราก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ทำเอาฉินเฟิงและคนอื่นๆ ตกอกตกใจกันไม่น้อย ยามนี้ฉินเฟิงและคนอื่นๆ จึงมองเยี่ยหลีเป็นสตรีบอบบาง อ่อนแอและไร้วรยุทธิ์เข้าให้จริงๆ เพียงแค่มีคนนอกอยู่ด้วย ฉินเฟิง จั๋วจิ้ง หลินหัน หนึ่งในสามคนนี้ต้องอยู่ปกป้องข้างกายเยี่ยหลี ห่างไปไม่เกินสามก้าวเสมอ เยี่ยหลีแม้จะจนใจอยู่บ้างกับเรื่องนี้แต่ก็รู้ดีว่าพวกเขาเป็นห่วงตนจึงไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความ
ภายในห้องรับแขกที่ติดกับสวนดอกไม้ชั่วพริบตาคนก็น้อยลงไปมากจึงเงียบลงอย่างกะทันหัน ท่านชิงอวิ๋นและสวีหงอวี่ไม่อยู่ เยี่ยเหวินหวาสีหน้าจึงดีขึ้นมาก
ภายในห้องรับแขกเงียบไปครู่หนึ่ง นานทีเดียวเยี่ยเหวินหวาจึงได้กระแอมเอ่ยถามขึ้น “หลายปีที่ผ่านมาหลีเอ๋อร์สบายดีหรือไม่” เยี่ยหลีพยักหน้าเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “ลำบากท่านพ่อเป็นห่วงแล้ว ข้าสบายดี” คนของตระกูลสวีไม่อยู่ เยี่ยฮูหยินู้เฒ่าจึงผ่อนคลายลงไปมาก มองเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าเจ้าออกไปรบกับติ้งอ๋องด้วยหรือ เจ้าเป็นสาวเป็นแส้ไม่อยู่บ้านเลี้ยงดูสั่งสอนลูก ออกไปสนามรบทำไมกัน คนนอกมองมาจะคิดว่าบ้านเราสอนเจ้าไม่ดี” ความโมโหที่ได้รับจากม่อตัวน้อยเมื่อครู่ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กล้าระบายออกมาต่อหน้าคนตระกูลสวี แต่ว่ากล่าวตำหนิเยี่ยหลีเช่นนี้กลับไม่รู้สึกความกดดันอะไร
ประโยคของนางเพิ่งกล่าวจบไป เยี่ยเหวินหวาก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยหลีจางลง ในใจพลันกระตุกด้วยรู้ดีว่าสถานการณ์เริ่มจะไม่สู้ดีแล้ว
ได้ยินเพียงเยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ท่านย่ากังวลเกินไปแล้ว ต่อให้มีคนว่า ก็จะว่าให้ตระกูลสวีที่อบรมสั่งสอนไม่ดี ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลเยี่ยหรอกเจ้าค่ะ” แม้คนทั่วหล้าจะรู้ว่าพระชายาติ้งอ๋องแซ่เยี่ย แต่ผู้ที่รู้ว่าเป็นตระกูลเยี่ยไหนและตระกูลเยี่ยมีผู้ใดบ้างนั้น นอกจากชนชั้นสูงของฉู่จิงแล้วก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นจริงๆ ผ่านไปอีกไม่กี่ปี เกรงว่าแม้แต่ชนชั้นสูงของฉู่จิงก็คงจะลืมตระกูลเยี่ยที่เคยรุ่งเรืองมีชื่อเสียงอยู่พักหนึ่งไปเช่นกัน ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยหลีกับตระกูลสวีกลับเป็นเรื่องที่ผู้คนต่างรู้ดี เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าที่ถูกเยี่ยหลีตอกกลับคำตำหนิมาอย่างไม่หนักไม่เบาก็สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด จ้องมองเยี่ยหลีพักใหญ่โดยไม่ได้กล่าวคำใด
เยี่ยหลีก็ไม่มีอารมณ์จะไปสนใจนาง หันมามองเยี่ยหลินที่นั่งอยู่หลังสุดคราหนึ่งแล้วอมยิ้มถามขึ้นว่า “นี่คือน้องหกหรือ แล้วท่านนี้คือ…” เยี่ยหลีบังคับให้ตอบกรายๆ เมื่อเห็นเยี่ยหลีพูดถึงตนก็รีบเข้ามาคำนับกล่าวว่า “หลินเอ๋อร์คารวะพี่สาม นี่คือสามีข้า เสินเหลียง” ชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ เยี่ยหลินรีบคำนับตามภรรยาแล้วกล่าวว่า “เสินเหลียงคารวะพระชายาติ้งอ๋อง” การพูดจาและท่าทางดูลนลานเล็กน้อย แต่ก็ดูออกว่าคนๆ นี้เป็นคนซื่อสัตย์ คิดไปถึงเยี่ยหลินปีนั้นที่อายุยังน้อยก็เข้ากับคนง่าย เรียกความเอ็นดูจากเยี่ยหวังซื่อและเยี่ยอิ๋งได้ไม่น้อย สามีเช่นนี้ถึงจะมิใช่แบบที่นางหวังไว้ในคราแรก แต่เยี่ยหลีก็อดกล่าวไม่ได้ว่าการได้แต่งงานกับสามีเช่นนี้อาจจะโชคดีของเยี่ยหลินแล้วก็เป็นได้
“น้องห้าเป็นเช่นไรบ้าง” เยี่ยหลีเอ่ยถาม สำหรับเยี่ยหลีแล้วนางไม่ค่อยสนิทสนมกับน้องสาวต่างมารดาอย่างเยี่ยหลินและเยี่ยซานนัก ทว่าก็ไม่ได้มีความรู้สึกด้านลบมากเช่นกัน แม้ในตอนแรกพวกนางจะประจบสอพลอเยี่ยอิ๋งตามหวังซื่อ แล้วมาดูถูกนางอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เพียงเพื่อให้ได้มีชีวิตต่อไปเท่านั้น หากนางถือสาเรื่องเก่าๆ เอามารังแกทั้งคู่ที่เป็นเพียงเด็กอายุสิบสองสิบสามปีในตอนนั้นก็คงจะใจร้ายไปสักหน่อย
เยี่ยเหวินหวาถอนใจเบาๆ พูดคุยเรื่องราวของตระกูลเยี่ยเมื่อหลายปีที่ผ่านมา อันที่จริงก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร มีเพียงเรื่องเดียวที่เยี่ยหลินกับเยี่ยซานในปีนั้นพอกลับถึงบ้านเกิดก็ถูกเยี่ยเหวินหวายกให้กับสองตระกูลที่นับว่าไม่แย่อะไรไป เมื่อสามปีก่อนเยี่ยซานคลอดยากจนเสียชีวิต ยามนี้ทายาทของเยี่ยหลินก็มีเพียงลูกสาวแค่คนเดียว ไม่มีลูกชาย บ้านสามีของเยี่ยหลินเดิมเป็นพ่อค้าร่ำรวยในท้องที่ แต่เสินเหลียงเป็นทายาทสายรองมิอาจสืบทอดกิจการต่อจากตระกูลได้ ยามนี้ซีหนานก็ถูกคนซีหลิงยึดครองจนยุ่งวุ่นวายไม่น้อย เสินเหลียงจึงหอบเงินที่ควรเป็นของตนตามพวกเขามาที่ซีเป่ย