ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 325-1 ฉู่จิงแตก
สวีหงเยี่ยนไม่ทันจะได้ฉลองปีใหม่ก็พาม่อหวาและคนติดตามออกเดินทางไปยังทุ่งหญ้าเหอเป่ยอันแสนไกลนับพันลี้ที่บัดนี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ความยากลำบากในการเดินทางครานี้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เหล่าคนที่ดูแลปกป้องฉู่จิงก็ไม่มีกะจิตกะใจจะมาฉลองปีใหม่เช่นกัน แม้ว่าจะมีกองกำลังเสริมของมู่หรงเซิ่นและเหอซู่ล้อมเมืองไว้คอยช่วยเหลือ แต่ไม่กี่วันมานี้แม้การโจมตีของทางด้านเป่ยหรงจะดูเหมือนอ่อนกำลังลง แต่กองทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งกลับดูเหมือนจะยิ่งรบยิ่งฮึกเหิม และกองทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งที่โจมตีเมืองอยู่ด้านนอกฉู่จิงก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกองกำลังของเหอซู่ก็ต้านกองทัพนับแสนนายไว้ไม่อยู่จนต้องถอยทัพออกจากสนามรบไป
แต่เหอซู่ที่ถอยทัพกลับไปนั้นกลับไม่อยู่เฉย ซ้ำยังนำกองกำลังอ้อมไปด้านหลังกองทัพของมู่หรงเซิ่นที่กำลังต่อสู้กับทัพใหญ่เป่ยหรงอยู่ กองทัพทั้งสองจู่โจมเข่นฆ่าทัพใหญ่เป่ยหรงที่กำลังตีเมือง หลังจากตีเป่ยหรงให้ถอยทัพไปได้แล้วก็มุ่งตรงไปทางตะวันตกต่ออย่างไม่ลดละ ทำให้กองกำลังรักษาการณ์ที่ปกป้องเมืองต้าฉู่คลายความพะวงหลังและรับมือเป่ยจิ้งได้อย่างเต็มที่ อีกด้านหนึ่ง หากมุ่งไปทางตะวันตกเรื่อยๆ จนสามารถรวมทัพเข้ากับกองกำลังตระกูลม่อได้ล่ะก็ จะเป็นการประหยัดเวลาให้แก่กองกำลังตระกูลม่อได้ไม่น้อย
เนื่องจากฝ่ายศัตรูล้อมฉู่จิงไว้ทั้งเมือง ภายในเมืองจึงไม่มีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองปีใหม่อันใดทั้งสิ้น หลังหิมะตกไปรอบหนึ่งศึกตีเมืองของทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้งก็หยุดลงชั่วคราว ฤดูหนาวของทางเหนือรุนแรงมาก หลังจากหิมะตก เมืองทั้งเมืองล้วนปกคลุมด้วยน้ำแข็ง เทียบกับยามปกติแล้วยากที่จะโจมตีเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเป็นสิบเท่า ฮว่ากั๋วกง เหลิ่งหวาย เหลิ่งเฮ่าอวี่และคนอื่นๆ ต่างยืนอยู่ในป้อมปราการมองออกไปไกลสุดสายตา เห็นค่ายทหารของทัพเป่ยจิ้งอย่างชัดเจนในดินแดนหิมะอันขาวโพลน เหลิ่งเฮ่าอวี่ทอดสายตาออกไปไกลพลางถอนใจกล่าวว่า “เป่ยจิ้งมีทหารมาเพิ่มอีกแล้ว”
ฮว่ากั๋วหงหรี่ตาเอ่ย “เกรงว่าจะไม่เพียงแค่เพิ่มกองกำลังเท่านั้นแล้ว ขนาดเป่ยจิ้งอ๋องก็เข้าร่วมทัพด้วย” เขาชี้ไปยังธงสัญลักษณ์ของเป่ยจิ้งอ๋องที่อยู่ท่ามกลางค่ายอันแสนไกลสุดลูกหูลูกตานั้น เพื่อปลุกกำลังใจของเหล่าทหารเป่ยจิ้งให้ฮึกเหิม ข่าวที่เหรินฉีหนิงมายังกองทัพก็ถูกแพร่ออกไปโดยไม่สนใจว่าทหารรักษาการณ์ของฉู่จิงจะรู้หรือไม่
เหลิ่งหวายขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจแล้วถามว่า “เหตุใดลายธงที่ปักจึงเป็นมังกรทองห้าขาเล่า” จงหยวน ต้าฉู่ รวมทั้งซีหลิงล้วนเป็นสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นธงและสัญลักษณ์ของราชวงศ์จึงล้วนใช้มังกรกับหงส์เป็นหลัก แต่เผ่าอื่นด้านนอกกลับมิใช่แบบนี้ อย่างเช่นเป่ยหรงนับถือหมาป่า ดังนั้นรูปสัญลักษณ์ประจำตัวของเป่ยหรงอ๋องจึงเป็นหัวหมาป่า ส่วนหนานเจ้าใช้พืชพรรณดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ เผ่าเป่ยจิ้งส่วนใหญ่ก็ใช้สัตว์ป่าดุร้ายมาเป็นรูปสัญลักษณ์ แต่กลับไม่มีสักเผ่าที่ใช้มังกรที่เป็นสัตว์เทพไม่มีตัวตนมาเป็นรูปสัญลักษณ์ประจำเผ่า
เหลิ่งเฮ่าอวี่พิงกำแพงอันเย็นเยียบยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เพราะเป่ยจิ้งอ๋องอย่างเหรินฉีหนิงยามนี้เรียกตัวเองว่าทายาทของราชวงศ์ก่อนน่ะสิ”
“ว่าอย่างไรนะ” เหลิ่งหวายและฮว่ากั๋วกงต่างตกใจ
เหลิ่งหวายถามอย่างฉงนว่า “ราชวงศ์ก่อนล่มสลายไปสองร้อยปีแล้ว เหรินฉีหนิงผู้นี้จะเป็นทายาทจริงๆ น่ะหรือ”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ยักไหล่แล้วยิ้มกล่าวว่า “ใครจะรู้ล่ะ อย่างไรเสียเขาก็เป็นชาวจงหยวน เขายินดีที่จะบอกว่าตนเป็นทายาทราชวงศ์ก่อนหรือทายาทของราชวงศ์ก่อนๆ ก็ไม่มีผู้ใดมาว่าอันใดได้ อยากจะเป็นใหญ่ในใต้หล้าก็ต้องที่มาที่ไปเช่นนี้กระมัง” เหลิ่งหวายสบตากับฮว่ากั๋วกงคราหนึ่ง ฮว่ากั๋วกงยิ้มกล่าว “ลูกชายคนรองสกุลเหลิ่งกล่าวได้ไม่เลว ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แค่การที่เขานำชาวเป่ยจิ้งมาโจมตีจงหยวน เขาก็ไม่มีสิทธิ์ใช้ข้ออ้างว่าตนเป็นทายาทราชวงศ์ก่อนมาช่วงชิงจงหยวนได้แล้ว มิสู้เปิดเผยออกมาโดยตรงเสียยังจะดีกว่า” ใช้ฐานะทายาทของราชวงศ์ก่อนแต่กลับพาพวกป่าเถื่อนมาโจมตีจงหยวน กล่าวออกไปก็มิใช่ว่าจะดูดี อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมานักปราชญ์แห่งจงหยวนในราชวงศ์ก็ดูหมิ่นเหยียดหยามชนเผ่าป่าเถื่อนต่างแดน การกระทำเช่นนี้ของเหรินฉีหนิงยิ่งยากที่จะได้รับการยอมรับจากนักปราชญ์ได้
เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มเต็มหน้า กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ยามนี้ดินแดนในเป่ยจิ้งก็มิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การให้ความสำคัญในการใช้ชาวเป่ยจิ้งดั้งเดิมกับชาวจงหยวนของเหรินฉีหนิงก็บาดหมางกันมาแต่ไหนแต่ไร ครานี้ท่านอ๋องจัดการกับเป่ยจิ้งได้ไม่เลว เกรงว่ายามนี้เป่ยจิ้งดั้งเดิมคงจะเหลือแต่ชื่อ ภายในแตกแยกกันไปหมดแล้วกระมัง”
“อ้อ” เหลิ่งหวายและฮว่ากั๋วกงได้ยินก็หูผึ่งด้วยความแปลกใจอย่างอดมิได้ พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าติ้งอ๋องที่อยู่ไกลนับร้อยลี้นั้นได้ลงมือกับเป่ยจิ้งไปแล้ว เดิมทีนี่ก็มิใช่ความลับอันใด เพียงแต่ยามนี้ฉู่จิงถูกล้อมไว้คนภายในจึงถูกปิดกั้นข่าวจากภายนอกไปโดยปริยาย เหลิ่งเฮ่าอวี่จึงไม่ปิดบังอีกต่อไป มุมปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้าย กล่าวว่า “ไม่กี่วันก่อน ท่านอ๋องให้คนไปสังหารภรรยาและอนุ รวมถึงลูกสาวสายหลักของเหรินฉีหนิงตาย ต่อมาไม่กี่วันลูกชายลูกสาวสายรองของเหรินฉีหนิงก็ถูกฆ่าตายหมด ยามนี้ราชวงศ์เป่ยจิ้งเหลือเพียงเหรินฉีหนิงเพียงผู้เดียวแล้ว”
ฮว่ากั๋วกงกับเหลิ่งหวายตกตะลึงไปตามๆ กัน ติ้งอ๋องไม่เพียงแต่จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเท่านั้น ยังแฝงความนัยอันไม่มีที่สิ้นสุดไว้ด้วย นี่มิเพียงลงมือแก้แค้นเหรินฉีหนิงอย่างโหดเหี้ยมเท่านั้น เกรงว่าคนภายในเป่ยจิ้งคงแอบคิดว่าเหรินฉีหนิงกับชาวจงหยวนพวกนั้นเป็นคนสังหารองค์หญิงเป่ยจิ้งและธิดา ส่วนการตายของบุตรธิดาสายรองของเหรินฉีหนิง คนนอกมองดูเหมือนเป็นการแก้แค้นของชาวเป่ยจิ้ง แม้ว่าเหรินฉีหนิงเองจะรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร แต่พูดออกไปจะมีกี่คนกันที่เชื่อนั่นก็เป็นอีกเรื่องแล้ว ยามติ้งอ๋องวางแผนนี้นั้นเกรงว่าคงยังอยู่ที่ซีหลิงอยู่เลย แต่สามารถควบคุมอำนาจของชาวเป่ยจิ้งไว้ได้เช่นนี้ วางแผนในกระโจมแต่ตัดสินชัยไกลพัน คำกล่าวนี้มิใช่การโป้ปดแต่อย่างใด
ฮว่ากั๋วกงกับเหลิ่งหวายสบตากันคราหนึ่ง แล้วต่างก็ถอนหายใจอย่างอดมิได้ ติ้งอ๋องปัญญาปราดเปรื่องเช่นนี้ สองพี่น้องม่อจิ่งฉีกับม่อจิ่งหลีพวกนั้นสมควรพ่ายแพ้จริงๆ
เหลิ่งเฮ่าอวี่จับกำแพงมองไปยังค่ายใหญ่ของเป่ยจิ้งที่ไกลออกไป แววตาปรากฏรอยยิ้มเย็นชาสายหนึ่ง บ้านเมืองสูญสิ้นไปตั้งนานแล้วก็ควรรอคอยเสียดีๆ เถิด พยายามจะฟื้นฟูเมืองขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้ผลเป็นเพียงแค่ภาพฝันลวงตาเท่านั้น ยังคิดอยากโจมตีฉู่จิงให้ชาวเป่ยจิ้งเข้ามาเป็นใหญ่ในจงหยวน ไม่ช้าก็เร็วข้าจะสังหารพวกมันให้เกลี้ยง!
ราชวงศ์เป่ยจิ้งเกือบจะสูญสลาย ข่าวการร่วมมือกันของเป่ยจิ้งกับเป่ยหรงย่อมแพร่สะพัดมาถึงแดนใต้ เพียงแต่ขั้วอำนาจสองขั้วใหญ่ในแดนใต้อย่างม่อจิ่งหลีและเหลยเจิ้นถิงนอกจากจะยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นแล้วก็มิมีอย่างอื่นอีก เหลยเจิ้นถิงหัวเราะอย่างเย็นชาคราหนึ่ง รู้สึกว่าสองเดือนมานี้เรื่องอึดอัดใจได้มลายลงไปมาก หากไม่ใช่เพราะเหรินฉีหนิงเล่นตุกติก ต่อให้เมืองหลวงซีหลิงเปลี่ยนมือคนปกครอง อำนาจของตระกูลเขาก็คงไม่ถึงกับถูกม่อซิวเหยากวาดล้างจนไม่เหลือหลอเช่นนี้ เพียงแต่ยามนี้ความสนใจของเขากลับมิได้อยู่ที่แดนเหนือ แต่กลับไปอยู่ที่ฮ่องเต้ซีหลิงที่เพิ่งย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองอันและม่อจิ่งหลีที่อยู่แดนใต้ ม่อจิ่งหลียังนับว่าสงบเสงี่ยม แต่หลังจากฮ่องเต้ซีหลิงย้ายเมืองแล้วกลับมิเป็นเช่นนั้น อำนาจจวนเจิ้นหนานอ๋องในราชสำนักถูกม่อซิวเหยากำจัดออกไปแปดเก้าส่วนในสิบส่วน ยามนี้เถิงเฟิงเริ่มจะกดฮ่องเต้ซีหลิงไว้ไม่อยู่แล้ว
แม้ว่าซีหลิงจะเสียดินแดนตอนเหนือไปถึงหนึ่งในสามของทั้งหมด แต่เหลยเจิ้นถิงกลับยึดครองดินแดนทางใต้ของต้าฉู่ไว้ได้ทั้งหมด หลังจากมู่หรงเซิ่นนำทัพขึ้นเหนือไปก็ยิ่งเป็นการเปิดทางเชื่อมระหว่างตะวันตกและแดนใต้ ทำให้ดินแดนที่เหลยเจิ้นถิงยึดครองมาเชื่อมกับซีหลิง เช่นนี้นอกจากซีหลิงเสียเมืองหลวงไปแล้วก็ไม่นับว่าเสียเปรียบเกินไป แต่เหลยเจิ้นถิงกลับรู้ดีว่าตระกูลที่ครอบครองชัยชนะไว้ในสงครามครานี้ยังคงเป็นม่อซิวเหยา พอเขายึดฉู่จิงได้ ตำหนักติ้งอ๋องก็จะมีเมืองหลวงทั้งตะวันออกและตกไว้ในมือ อำนาจของเขาก็จะมีมากกว่าทุกแคว้น แต่ในใจของเหลยเจิ้นถิงรู้ดีว่ายามนี้เขาไม่มีเวลามารับมือม่อซิวเหยา จึงได้แต่กัดฟันทนต่อไปเงียบๆ
ทว่าหลังจากเหรินฉีหนิงมาเฝ้านอกเมืองฉู่จิงด้วยตัวเอง กำลังโจมตีของทัพเป่ยจิ้งก็ยิ่งดุเดือดขึ้น ทหารรักษาการณ์ในเมืองฉู่จิงปฏิบัติหน้าที่รักษาเมืองมาเป็นเวลาเกือบจะสามเดือนแล้ว ไม่เพียงแต่จะเหนื่อยล้าอ่อนแรง เสบียงที่เตรียมไว้ในเมืองก็ค่อยๆ เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประชาชนอีกนับล้านภายในเมืองที่ต้องกินดื่มเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นวันฉลองปีใหม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือทหารรักษาการณ์ก็มีเพียงโจ๊กจืดๆ ถ้วยหนึ่งกับแป้งข้าวโพดนึ่งก้อนหนึ่งเท่านั้น วันคืนในการปกป้องเมืองก็ลำบากขึ้นเรื่อยๆ ฮว่ากั๋วกงที่อยู่ในวัยชราจึงจำต้องเฝ้ารักษาการณ์อยู่บนป้อมด้วยตัวเองเพื่อปลุกขวัญกำลังใจเหล่าทหารให้ฮึกเหิม