ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 325-3 ฉู่จิงแตก
องค์ชายม่อเซี่ยวอวิ๋นส่ายหน้าแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้าออกไปช่วยฮว่ากั๋วกงกับแม่ทัพเหลิ่งเถิด ข้ากับพี่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
องค์หญิงเจินหนิงกุมมือน้องชายไว้แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่ ข้าเป็นองค์หญิงแห่งต้าฉู่ ต่อให้ตายก็จะตายในพระราชวังแห่งนี้ พวกเจ้าไปเถิด จำนวนของพวกเจ้ามีเพียงเท่านี้ก็ขัดขวางอันใดมิได้ เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียเปล่าๆ” เหล่าองครักษ์มองหน้ากัน เข้าใจแล้วว่าท่านอ๋องและองค์หญิงได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ราชวงศ์ต้าฉู่ละทิ้งไพร่ฟ้าประชาชนหลบหนีไป ทหารรักษาการณ์ที่ต้องอยู่ที่นี่ต่ออย่างพวกเขาแม้จะไม่พูดออกมาแต่ในใจก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อราชวงศ์ ทว่ายามนี้พวกเขามีความรู้สึกเคารพนับถือต่อสองพี่น้องตรงหน้ามากยิ่งขึ้น จึงหยัดกายแล้วประสานมือกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋อง องค์หญิง รักษาองค์เองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สองพี่น้องนั่งพิงกันมองตามหลังองครักษ์ที่เดินจากไปไกล ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมตำหนักอีกครั้ง แม้ยามนี้จะเป็นช่วงเดือนหนึ่งที่เหน็บหนาวแต่ในตำหนักกลับไม่มีความอบอุ่นจากฟืนไฟเหมือดังก่อนๆ ทั้งคู่นั่งพิงกันเช่นนี้ก็ยังพอจะมีไออุ่นให้กันอยู่บ้าง “ไม่รู้ว่าน้องเล็กจะเป็นเช่นไรบ้าง” เดิมทีพวกเขารั้งอยู่ที่ฉู่จิงแต่น้องชายคนเล็กกลับถูกม่อจิ่งหลีพาตัวไปด้วย ซึ่งนี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความตั้งใจที่จะใช้เรื่องนี้มาควบคุมม่อเซี่ยวอวิ๋น
ม่อเซี่ยวอวิ๋นกระซิบเอ่ย “คงจะยังมีชีวิตอยู่กระมัง ได้แต่หวังว่าเขาจะอยู่ดีมีสุข”
“แต่ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เลย! ข้ายังหาผู้หญิงคนนั้นไม่พบ…” เจินหนิงลูบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเบาๆ สีหน้าปรากฏความเกลียดชัง นางยังมิทันได้แก้แค้นผู้หญิงคนนั้นเลย! ผู้หญิงที่เดิมทีเป็นมารดาแท้ๆ ของนาง เพราะผู้หญิงคนนั้นนางจึงได้เป็นเช่นนี้ ขนาดจะตายนางยังต้องเอาบาดแผลน่าเกลียดเช่นนี้ไปตายด้วย!
“พี่หญิง…”
ชาวเป่ยจิ้งบุกยึดดินแดนภายในเมืองได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ยามรุ่งอรุณถึงสนธยา ทหารฉู่จิงที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ทุกคนล้วนรู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้ ทหารฉู่จิงส่วนใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งแววตามีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ปรากฏอยู่ ในเมื่อจะตายแล้วก็ขอลากคนไปร่วมฝังด้วยสักสองสามคนเถิด
เหรินฉีหนิงที่พักม้าอยู่นอกเมืองได้ยินเสียงเข่นฆ่าดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย แม่ทัพข้างกายกล่าวว่า “ชาวฉู่จิงอ่อนแอมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าจะเด็ดเดี่ยวกันเช่นนี้ สู้มาจนถึงตอนนี้จนทหารจะไม่เหลืออยู่แล้วยังไม่ยอมแพ้อีก” เหรินฉีหนิงเอ่ยเสียงเสียงเรียบว่า “มิใช่อ่อนแอแต่เป็นความเหนียวแน่น หากแข็งเกินไปจะง่ายต่อการถูกทำลาย ชาวจงหยวนมิได้ห้าวหาญชาญชัยดั่งเผ่านอกเมือง แต่กลับมีความเหนียวแน่นไม่ยอมแพ้ ดังนั้นดินแดนอันมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ผืนนี้จึงถูกปกครองโดยพวกเขามานานนับร้อยนับพันปี”
แววตาของแม่ทัพเป่ยจิ้งที่อยู่ข้างๆ ฉายแววไม่ยอมรับ เขามองเหรินฉีหนิงแต่ไม่ได้กล่าวคำใด
ทันใดนั้น ดอกไม้ไฟอันโชติช่วงก็เบ่งบานขึ้นกลางฟากฟ้า เสียงอึกทึกดังกึกก้องมาจากไกลๆ ขนาดพื้นดินยังสะเทือนไหวอยู่น้อยๆ ทุกคนตกใจอย่างอดมิได้ เหรินฉีหนิงที่นั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้ากระตุกแส้ก่นด่าด้วยความเกรี้ยวกราด “ไอ้คนไร้ประโยชน์เยียหลีว์เหยี่ย!” แม่ทัพข้างๆ เอ่ยอย่างตื่นตกใจว่า “ทหารตระกูลม่อมาแล้วหรือ!?”
“นอกจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีแล้วยังจะมีผู้ใดขู่ขวัญได้เท่านี้อีก” เหรินฉีหนิงเอ่ยอย่างเกลียดชังแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เพิ่มกำลังเข้าเมืองไป ต้องยึดฉู่จิงมาให้ข้าได้ก่อนที่ทหารตระกูลม่อจะมาถึง!”
“ขอรับ!”
เหล่าผู้คนที่กำลังต่อสู้จนเลือดนองอยู่ภายในเมืองย่อมเห็นเปลวเพลิงบนฟากฟ้า เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่กำลังไล่เข่นฆ่าอยู่แววตาพลันเป็นประกายวาบ เขายกเท้าถีบทหารเป่ยจิ้งที่อยู่ด้านหน้าแล้วดีดตัวโผทะยานสูงตะโกนก้องว่า “กองทัพตระกูลม่อมาแล้ว! เปิดประตูเมืองฝั่งตะวันตก!” ด้านตะวันตกของเมืองยามนี้ยังอยู่ในมือทหารฉู่จิง ทหารฉู่จิงได้ยินประโยคนี้ก็พลันฮึกเหิมขึ้น ตะโกนต่อๆ กันไปว่า “กองทัพตระกูลม่อมาแล้ว! กองทัพตระกูลม่อมาแล้ว!” ไม่นานเสียงตะโกนกู่ก้องก็ดังไปทั่วทั้งเมือง ขนาดเหล่าประชาชนที่หลบซ่อนอยู่ในเรือนก็ยังส่งเสียงกู่ร้องไปด้วย พวกที่ได้วรยุทธ์อยู่บ้างก็วิ่งตามออกมาเข่นฆ่ากับทหารเป่ยจิ้ง ส่วนผู้คนตามถนนใหญ่และตรอกซอกซอยถูกทหารเป่ยจิ้งเลวทรามทุบตีก็มีไม่น้อย
ประตูเมืองทางตะวันตกของฉู่จิงถูกเปิดออก ทหารฉู่จิงในเมืองก็กรูกันไปยังทางตะวันตกเพื่อปกป้องไม่ให้ประตูทางตะวันตกของเมืองถูกทหารเป่ยจิ้งยึดครองก่อนที่กองกำลังตระกูลม่อจะมา หน่วยเฮยอวิ๋นฉีรวดเร็วดั่งลมกรด เดิมที่ได้ยินเสียงราวกับยังอยู่ไกลๆ แต่ทันใดนั้นก็เห็นกองทัพชุดดำดั่งพายุทมิฬโหมพัดเข้าเมืองมา
ถนนหนทางสายหลักของฉู่จิงกว้างขวางมาก หน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ทะยานเข้ามากลับไม่รู้สึกถึงความคับแคบเบียดเสียดแต่อย่างไร ไม่ว่าลมกรดสีดำจะพัดผ่านไปที่ใด ที่นั่นก็ล้วนนองไปด้วยเลือด
พอเหลิ่งเฮ่าอวี่เห็นเงาหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็พลันถอนใจอย่างโล่งอก เขาคว้าทหารของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาได้คนหนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “กองทัพใหญ่มาถึงแล้วหรือ” เพราะเขาตื่นเต้นเกินไปจึงกำคอเสื้อแน่นไปหน่อย ทหารคนนั้นตาเหลือกตาลาย รีบตอบเขาว่า “ทหารเดินเท้าจะช้าสักหน่อย ทหารม้าอย่างพวกเราจึงล่วงหน้ามาก่อน”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ผิดหวังเล็กน้อย “กองทัพใหญ่จะมาถึงเมื่อใด”
หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเอ่ย “ไม่ทราบได้”
“ผู้ใดเป็นคนนำทัพ”
“คุณชายเฟิ่งซาน!”
เหลิ่งเฮาอวี่ปล่อยมือจากทหารคนนั้นแล้ววิ่งอย่างบ้าระห่ำไปทางตะวันตกของเมือง เมื่อเข่นฆ่ามาจนถึงประตูตะวันตกแล้วก็เห็นเฟิ่งจือเหยาในอาภรณ์สีชาดยืนอยู่นอกประตูเมืองยิ้มให้เขาอย่างสง่างาม “โอ้ ยากจะได้เห็นสภาพจนตรอกเช่นนี้ของคุณชายรองเหลิ่งนัก” หากจะบอกว่าจนตรอกก็คงจะเบาไป เหลิ่งเฮ่าอวี่ยามนี้ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือด บาดแผลน้อยใหญ่ไม่ต้องพูดถึง ยังดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอันใดจึงไม่ได้กระทบต่อการเคลื่อนไหวของเขา เขากรอกตาใส่เฟิ่งจือเหยาอย่างไม่เกรงใจแล้วเอ่ยว่า “พวกฮว่ากั๋วกงถูกล้อมอยู่ใกล้ๆ พระราชวัง รีบส่งคนไปช่วยพวกเขาเร็ว!”
เฟิ่งจือเหยาปรับสีหน้าแล้วโบกมือเลือกทหารมากลุ่มหนึ่งส่งเข้าเมืองไป แต่ตัวเขาเองกลับต้องอยู่ปกป้องประตูเมืองไว้ เพื่อกองทัพตระกูลม่อจะได้เข้าประตูมาได้โดยสะดวก หากไม่ทันระวังประตูเมืองถูกทหารเป่ยจิ้งยึดเอาไว้ได้ก่อนที่กองกำลังตระกูลม่อจะมาล่ะก็จะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่ เหลิ่งเฮ่าอวี่สูดหายใจลึกถามว่า “เจ้าพาคนมาด้วยเท่าใด”
เฟิ่งจือเหยากล่าวอย่างจนใจ “หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมีจำนวนเท่าใดล่ะ ก็สองแสนน่ะสิ”
เหลิ่งเฮ่าอวี่พยักหน้า “คงทันกับที่ท่านอ๋องมาถึงพอดี” เหลิ่งเฮ่าอวี่ย่อมรู้ดีว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีถึงจำนวนจะมีน้อยแต่ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น เขาจึงไม่ห่วงทางเฟิ่งจือเหยาอีก โบกมือพาหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองกลุ่มเข้าไปเข่นฆ่าในเมืองอีกครั้งทันที