ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 326-1 สงครามนองเลือดในฉู่จิง ฝ่าวงล้อม
เนื่องจากการมาถึงของหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ทำให้ทหารเป่ยจิ้งที่เดิมทีเห็นชัยชนะอยู่ในมือก็ค่อยๆ พลิกมาลำบากขึ้น ส่วนทหารฉู่จิงที่ตอนแรกเริ่มจะยอมแพ้ พริบตาเดียวก็ราวกับมีเรี่ยวมีแรงเพิ่มขึ้นมหาศาล แม้จำนวนทหารของกองทัพใหญ่เป่ยจิ้งจะยังคงมากกว่าของฉู่จิงอยู่สิบกว่าเท่า แต่บนถนนอันคับแคบของเมืองนี้ ต่อให้คนมากเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นทหารรักษาการณ์ฉู่จิงเหล่านี้ย่อมรู้จักฉู่จิงเป็นอย่างดีมากกว่าพวกทหารป่าเถื่อนอย่างเป่ยจิ้งอยู่แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะขับไล่กองทัพเป่ยจิ้งออกไปจากเมืองไม่ได้ แต่คนเหล่านี้ก็มิอาจจะยึดครองฉู่จิงทั้งหมดไว้ได้ภายในครึ่งชั่วยามเช่นกัน
เฟิ่งจือเหยายืนอยู่บนป้อมปราการพลางทอดสายตามองลงไปยังสนามรบภายในเมืองก็ค่อยๆ พบว่าทหารกลุ่มใหญ่ของเป่ยจิ้งไม่กล้าปล่อยทหารรักษาการณ์ฉู่จิงไป พวกมันกรูกันเข้ามาทางตะวันตกเรื่อยๆ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเย็นชา “อยากจะยึดประตูตะวันตกไว้หรือ ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น” อวิ๋นถิงที่อยู่ด้านหลังเขากอดอกมองทหารเป่ยจิ้งที่เบียดเสียดกันอยู่ไกลๆ แล้วกล่าวว่า “พวกมันหมายจะตีประตูตะวันตกให้แตกก่อนเพื่อตัดเส้นทางการเข้ามาของทหารตระกูลม่อ จากนั้นค่อยมาจัดการทหารรักษาการณ์ที่อยู่ในเมืองใช่หรือไม่”
เฟิ่งจือเหยายิ้มกล่าว “อย่าได้กังวลไป ก่อนจะไปท่านอ๋องให้ของเล่นชั้นดีแก่ข้ามา เพียงแต่ว่า…” เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วอย่างฉงนใจแล้วเอ่ยต่อว่า “ของเล่นชิ้นนี้ดูท่าจะอันตรายเสียหน่อย หากใช้ในเมืองเกรงว่าจะ…” อวิ๋นถิงกลับไม่สนใจ “ถึงขั้นนี้แล้วยังจะมาพะว้าพะวงอันใดอยู่อีก พอพวกมันกรูกันเข้ามาแล้ว พวกเราที่มีกันอยู่เพียงหยิบมือยังไม่พอให้พวกมันกัดด้วยซ้ำ”
เฟิ่งจือเหยาลูบคางพลางพยักหน้าเอ่ยว่า “กล่าวได้ถูกต้อง! อันที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่าเวลานี้ของเล่นนั่นจะเป็นเช่นไรบ้าง! นั่นน่ะ ใครนะ…เอาของของพวกเจ้ามาด้วย ไปขวางพวกนั้นเอาไว้ให้ได้” เขาหันไปกวักมือเรียกหัวหน้าหน่วยกิเลน เหล่ากิเลนต่างคึกคัก ของสิ่งนี้อยู่ในมือพวกเขามานานแล้ว น่าเสียดายที่ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้เลย หัวหน้าหน่วยกิเลนได้รับคำสั่งจากเฟิ่งจือเหยาก็รีบโบกมือสั่งหน่วยกิเลนให้หอบหีบสี่เหลี่ยมลงจากป้อมไป
ภายในเมือง หลังทหารเป่ยจิ้งได้รับคำสั่งก็เบียดเสียดกรูกันเข้ามายังป้อมปราการประตูตะวันตก แต่บนถนนใหญ่ที่ห่างไกลออกไปกลับได้ยินเสียงระเบิดอึกทึกกึกก้องดังขึ้นติดต่อกันไม่หยุด ทัพเป่ยจิ้งยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นก็ถูกระเบิดจนร่างกระจุยเลือดนองพื้น หากเป็นคนจงหยวนก็ยังพอเคยเห็นระเบิดมาอยู่บ้าง ก่อนที่เหรินฉีหนิงจะมาจัดการเป่ยจิ้งนั้น ชาวเป่ยจิ้งล้วนใช้ชีวิตกันไม่ต่างกับมนุษย์ยุคหินเท่าใดนัก ไหนเลยจะเคยเห็นเสียงดังที่ทำเอาฟ้าแตกแผ่นดินแยกและประสิทธิภาพในการทำลายล้างที่สูงเช่นนี้มาก่อน ทหารเป่ยจิ้งมากมายจึงตกใจราวกับตนได้ทำผิดต่อเทพสวรรค์ พระองค์จึงได้ลงโทษโดยการทำให้ฟ้าผ่าลงมาเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงพวกที่ถูกระเบิด พวกที่ถูกไม่โดนส่วนใหญ่ล้วนอกสั่นขวัญหายหมอบลงกับพื้นไม่กล้าลุกขึ้นมากันหมด ชนเผ่าป่าเถื่อนไร้อารยะจึงหวาดกลัวฟ้าดินกันมากกว่ากว่าพวกจงหยวน
หลังจากระเบิดสงบลง ท้องถนนต่างอบอวลไปด้วยกลิ่นเขม่าควัน บนพื้นเกลื่อนไปด้วยโลหิตและซากศพทหารที่ขาดวิ่น บนป้อมปราการที่ห่างไปไม่ไกลนั้น อวิ๋นถิงเบิกตาโพรงด้วยความตกใจ เขากล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “ขะ…ของเล่นนี้เป็นท่านอ๋องให้เจ้ามาหรือ” ทำเอาเขาเสียขวัญไปไม่น้อย แต่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกกิเลนแบกของเล่นพวกนั้นไปตามถนนแล้วซ่อนมันเอาไว้ตามทาง พอพวกเป่ยจิ้งเข้ามาก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว หากเยี่ยหลีอยู่ด้วยล่ะก็จะต้องไม่รู้สึกถึงผลกระทบใดๆ เป็นแน่ ศึกษาความลับในสุสานของฮ่องเต้มาหลายต่อหลายปีแต่สิ่งที่ประดิษฐ์ออกมาได้ดีที่สุดกลับมีประสิทธิภาพได้ไม่เท่าระเบิดมือที่มีมาแต่เดิม ยิ่งไม่ต้องไปเทียบกับระเบิดที่มีแรงระเบิดสูงอย่าง TNT ไม่ว่าจะระดับความแรงหรือความแม่นยำก็ยังเทียบธนูไม่ได้ คงต้องรอให้เปลี่ยนรัชสมัยไปสักสี่ห้าราชวงศ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ ทว่าสำหรับคนที่เล่นดอกไม้ไฟประทัดไม้ไผ่ในสมัยโบราณ ประสิทธิภาพเช่นนี้นับว่ามากพอจะทำคนอกสั่นขวัญแขวนได้แล้ว
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้าขึ้นลงด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ขณะเดียวกันก็ปิดบังความตกใจของตนเอาไว้ในใจ แต่ก็แอบด่าม่อซิวเหยาอยู่ในใจอย่างอดมิได้ว่า มีอาวุธสังหารขนาดมหึมาเช่นนี้ก็เอาออกมาใช้ให้มันไวๆ หน่อยสิ
ความจริงแล้วนี่เป็นการใส่ร้ายม่อซิวเหยา ยามนี้ของพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ด้วยมือทั้งสิ้น มิได้มีกระบวนการผลิตอย่างในโรงงานอันใดเช่นนั้น สามารถทำออกมาได้เจ็ดแปดลูกภายในหนึ่งเดือนก็นับว่ามีกำลังผลิตสูงมากแล้ว แต่อำนาจในการทำลายล้างของสิ่งนี้กลับไม่ได้สูงตาม อย่างอานุภาพที่ลั่นฟ้าสะเทือนแผ่นดินบนถนนใหญ่เมื่อครู่ หน่วยกิเลนติดตั้งไว้สองข้างถนนไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยลูก สิ่งที่พกพาไม่สะดวก ซ้ำต้นทุนก็สูงลิ่ว แถมยังระเบิดคนเพียงสามคนในพื้นที่กว้างก็ยังไม่ตายเช่นนี้ ม่อซิวเหยาจึงยังไม่คิดจะใช้อย่างแพร่หลายในสนามรบภายในระยะเวลาอันสั้น คงต้องนับว่าพวกทหารเป่ยจิ้งโชคร้ายก็แล้วกันที่เบียดเสียดกันอยู่บนถนนแคบๆ เช่นนี้ ไม่ระเบิดโดนพวกมันแล้วจะไประเบิดโดนผู้ใด
ชาวเป่ยจิ้งก็มิใช่พวกไร้สมอง ไม่นานก็มีคนตอบสนองขึ้นมา คนผู้นั้นตะโกนก้องว่า “นี่เป็นแผนการของคนจงหยวน ไม่ต้องกลัว บุกเข้าไปสังหารพวกมันให้หมด!” ชาวเป่ยจิ้งอย่างไรเสียก็ห้าวหาญ มีคนนำเช่นนี้ไม่นานก็ปีนกันขึ้นมาตะโกนกู่ร้องมุ่งหน้าไปสังหารต่อทันที ไม่ผิดไปจากที่เหล่ากิเลนที่อยู่บนหลังคาทั้งสองฟากคิดไว้นัก พวกเขาแยกเขี้ยวกระทุ้งวัตถุสีดำลงมาอย่างโหดเหี้ยม วัตถุสีดำทรงกลมตกกระทบพื้นพลันเกิดระเบิดรุนแรงขึ้นท่ามกลางเหล่าทหารของเป่ยจิ้ง คนที่อยู่ใกล้สุดก็โดนระเบิดจนกระเด็นออกไปไกลอย่างที่คาดคิดไว้
จากนั้นบนถนนก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นเลื่อนลั่นปานหูจะดับขึ้นอีกครั้ง เจือเสียงร้องคร่ำครวญของชาวเป่ยจิ้งไว้ด้วย พอเสียงระเบิดสงบลง ในที่สุดทหารเป่ยจิ้งที่โชคดีรอดมาได้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาทิ้งดาบทิ้งโล่วิ่งหนีไปทันที
คนทั้งเมืองฉู่จิงต่างได้ยินเสียงระเบิดอันรุนแรงที่ด้านตะวันตกของเมือง รวมถึงเหรินฉีหนิงที่อยู่นอกเมืองด้วยเช่นกัน แววตาเขาเย็นเยียบขึ้นมาอย่างอดมิได้ เอ่ยขึ้นว่า “เกิดอันใดขึ้น”
ไม่นานก็มีคนวิ่งทุลักทุเลออกมาจากในเมืองรายงานว่า “เรียนท่านอ๋อง กองกำลังตระกูลม่อมีปีศาจร้าย ทหารฝั่งเราล้มตายกันอเนจอนาถนัก”
เหรินฉีหนิงพลันโมโหจนหน้าดำคร่ำเครียด “ข้าอยากจะรู้นักว่าเป็นปีศาจใดที่มันร้ายกาจถึงเพียงนี้!”
ทหารที่มารายงานตอบด้วยอาการตัวสั่นงันงกว่า “พวกทหารต่างเห็นไม่ชัดว่าสิ่งนั้นคืออันใด ได้ยินแต่เสียงดังลั่นฟ้าสะเทือนดิน จากนั้นร่างก็อาบโลหิตล้มตายกันแล้วขอรับ”
“เจ้าจะบอกว่ากระทั่งทหารตระกูลม่อพวกเจ้าก็มองไม่เห็นเช่นนั้นหรือ” เหรินฉีหนิงเอ่ยถาม ทหารคนนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าอีก พวกเขาไม่เห็นแม้แต่เงาของทหารตระกูลม่อ
“สารเลว! ข้าไม่สนว่าทหารตระกูลม่อจะมีปีศาจร้ายตนใด แต่ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ต้องยึดประตูตะวันตกมาให้ข้าให้ได้!”
ทหารคนนั้นลังเลครู่หนึ่งจึงตอบว่า “แต่ว่า…พวกทหารต่างบอกวะ…ว่าเป็นโทษจากเทพสวรรค์ ดังนั้นจึงได้มีสายฟ้าผ่าเลื่อนลั่นเช่นนี้ จึงมิกล้าเข้าไป…” เหรินฉีหนิงหัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “สายฟ้าหรือ ท้องฟ้าปลอดโปร่งไปทั้งผืนเช่นนี้จะมีสายฟ้ามาจากที่ใด หากมีสายฟ้าลงมาจริงๆ ก็ให้มาผ่าข้าก่อนคนแรกเสีย ถ่ายทอดคำสั่งออกไปว่าหากยึดประตูตะวันตกมามิได้ภายในหนึ่งชั่วยาม แม่ทัพที่บัญชาการต้องมาพบข้า!”
“ขอรับ!”
เขามองทหารที่มาส่งข่าวกลับไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว เหรินฉีหนิงที่สีหน้าเขียวคล้ำก็ยิ่งบิดเบี้ยวดุร้ายมากขึ้น สายฟ้า!? เหลวไหลทั้งเพ! ม่อซิวเหยา…เจ้าได้สมบัติล้ำค่าที่บรรพบุรุษเหลือเอาไว้ให้อย่างนั้นหรือ เหรินฉีหนิงแตกต่างกันกับถานจี้จือ เขาเติบโตมาท่ามกลางตระกูลใหญ่ที่หลบซ่อนจากใต้หล้าอย่างแท้จริง คนรอบข้างที่คอยสั่งสอนเขาล้วนเป็นขุนนางในราชวงศ์ก่อนที่จงรักภักดีทั้งสิ้น นั่นย่อมเคยได้พบได้เห็นตำราล้ำค่าของราชวงศ์ก่อนมาไม่น้อย หรือแม้แต่ตำราที่มีเพียงเล่มเดียวของราชวงศ์ก่อนที่ไม่เคยมีปรากฏในใต้หล้ามาก่อนก็ด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นมีบรรพบุรุษที่ก่อตั้งราชวงศ์ในอดีตเขียนขึ้นมาด้วยตัวเอง เนื้อหาปกปิดบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ เดิมทีเหรินฉีหนิงมิได้สนใจ อย่างไรเสียของพวกนั้นที่ปีนั้นบรรพบุรุษเอาชนะใต้หล้าได้ก็ไม่เคยใช้มาก่อน ซ้ำฮ่องเต้องค์ต่อๆ มาก็ไม่เคยเห็นอาวุธมหัศจรรย์ใดที่ร้ายกาจเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วมีจริงหรือไม่ก็ต้องรอพิสูจน์ต่อไป ทว่ายามนี้นึกไปถึงเรื่องสมบัติของราชวงศ์ก่อนที่ดินแดนซีเป่ยเมื่อหลายปีก่อน ยังมีที่ใดที่เขายังไม่กระจ่างแจ้งกันนะ ปีนั้นเขากำลังยุ่งอยู่กับการปราบปรามชนเผ่าเป่ยจิ้งที่ต่อต้านตัวเองอยู่ แต่ก็ยังคงส่งคนไปซีเป่ยเพื่อสอดแนมเรื่องนี้ ทว่ากลับไม่พบสมบัติล้ำค่าใด กองกำลังที่อยากจะแย่งชิงสมบัติต่างก็ผิดหวังกันกลับไป นึกไม่ถึงว่าม่อซิวเหยาจะแอบได้มาไว้ในครอบครอง