ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 329-1 พระชายาเห่อหลัน
ณ เมืองหลี ซีเป่ย เมื่อหกเจ็ดปีก่อนซีเป่ยยังเป็นเพียงเมืองเมืองหนึ่งทางซีเป่ยของต้าฉู่ซึ่งไม่โดดเด่นเท่าไรนัก แต่เนื่องจากตำหนักติ้งอ๋องมาตั้งอยู่ที่นี่ ชั่วเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็พัฒนาจนกลายเป็นเมืองที่เชื่อมต่อเส้นทางการค้าระหว่างแคว้นต่างๆ ทางฝั่งตะวันตกกับดินแดนจงหยวน และยังกลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งเมื่อเทียบกับแคว้นโดยรอบ อีกทั้งในตอนนี้ยังเชื่อมประสานระหว่างเมืองหลวงเก่าของซีหลิงที่อยู่สุดทางฝั่งตะวันตกกับเมืองฉางซิงของฉู่จิงที่อยู่ทางตะวันออกอีกด้วย จนถึงตอนนี้ เส้นทางการค้าจากตะวันออกไปตะวันตกที่ตำหนักติ้งอ๋องได้บากบั่นสร้างขึ้นอย่างยากลำบากก็เพิ่งได้ฤกษ์ประกาศว่าเสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ ส่วนเมืองหลีก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่เปลี่ยนผ่านระหว่างสองทิศทาง จึงทำให้ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา
เพิ่งจะเข้าสู่กลางเดือนหก ผู้คนจากพื้นที่อื่นที่มาเยือนเมืองหลีมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ในหมู่คนเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงพ่อค้าที่ร่ำรวย ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง บัณฑิตผู้สง่างาม แต่ยังรวมถึงขุนนางและราชนิกุลของทุกแว่นแคว้นด้วย ภายในชั่วเวลาไม่นานทั่วทั้งเมืองหลีก็เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมวีรชนเลยทีเดียว เดิมทีแม้ว่าอาจารย์ชิงอวิ๋นจะโด่งดังไปทั่วใต้หล้า แต่หากเป็นเพียงงานวันเกิดของเขาแล้วคงจะไม่มีคนมามากมายขนาดนี้ แต่เมื่ออาจารย์ชิงอวิ๋นเป็นท่านตาแท้ๆ ของพระชายาติ้งอ๋อง และคนในตระกูลสวีต่างเข้ามาดำรงตำแหน่งที่สำคัญมากในตำหนักติ้งอ๋อง สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เรื่องราวต่างไปจากเดิมมากมาก นอกจากนี้ติ้งอ๋องยังเพิ่งได้ครอบครองเมืองหลวงสองแห่งและเพิ่งได้ลูกชายและลูกสาวฝาแฝด คนที่เดินทางมาทันแทบจะทุกคนจึงไม่มีใครยอมพลาดงานเลี้ยงในครั้งนี้
ณ ตำหนักติ้งอ๋องที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง อาจารย์ชิงอวิ๋นและซูเจ๋อกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีอากาศเย็นฉ่ำ ไม่ว่าด้านนอกจะเอะอะวุ่นวายอย่างไร ก็ไม่มีทางดังมาถึงพวกเขา ซูเจ๋อครุ่นคิดการเดินหมากตรงหน้าพลางยิ้มเอ่ยว่า “ตอนนี้เมืองหลีเรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมวีรชนชั้นยอดไปแล้ว อาจารย์ชิงอวิ๋นช่างวาสนาดีเหลือเกิน”
อาจารย์ชิงอวิ๋นส่ายหัวอย่างเงียบๆ “การมีวาสนาดีจะไปมีความหมายอะไร ไม่ดีเท่าครอบครัวได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันหรอก มีกี่คนในเมืองนี้ที่มาหาข้าอย่างจริงใจเพื่อฉลองวันเกิดของชายชราเช่นข้ากัน” ซูเจ๋อคิด แม้สิ่งที่อาจารย์ชิงอวิ๋นเอ่ยจะตรงไปเสียหน่อย แต่ก็เป็นความจริงอย่างมาก ก่อนจะยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “อย่างน้อยก็เป็นเพราะลูกหลานกตัญญู อาจารย์ชิงอวิ๋นก็อย่าโจมตีพวกเขาเช่นนี้เลย”
อาจารย์ชิงอวิ๋นหัวเราะ ก่อนจะเอ่ย “คนแก่อย่างข้าน่าเบื่อเพียงนั้นเชียวหรือ แม้คนแก่อย่างพวกเราจะชราภาพและอ่อนแอ ทว่าการนั่งดูการแสดงนั้นยังทำได้อยู่บ้างล่ะนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูเจ๋อก็หัวเราะขึ้นเช่นกันก่อนจะพยักหน้าติดๆ กัน แล้วค่อยๆ วางมือลง “ท่านเอ่ยเช่นนี้ คงทำให้พวกคนที่รีบร้อนมารู้สึกขัดเขินกันหมดแล้ว”
“คารวะท่านอาจารย์ชิงอวิ๋น” ที่หน้าประตู ชายหนุ่มชุดครามกล่าวอย่างเคารพ อาจารย์ชิงอวิ๋นเงยหน้าขึ้นก่อนจะถาม “มีธุระอะไรหรือ”
บ่าวรายงานด้วยความนอบน้อม “คุณชายสวีสี่กลับมาแล้ว รอมาทำความเคารพท่านอาจารย์อยู่นอกประตู อีกทั้งอาจารย์ซิ่วถิงก็มาขอพบด้วยขอรับ”
ซูเจ๋อและอาจารย์ชิงอวิ๋นมองหน้ากัน ก่อนที่อาจารย์ชิงอวิ๋นจะรีบเอ่ย “รีบเชิญอาจารย์ซิ่วถิงและชิงปั๋วเข้ามา” บ่าวรับคำ ซูเจ๋อยิ้ม “เฉินซิ่วฟูก็มาเสียด้วย ได้ยินว่าเขาช่วยคุณชายสี่ตอนที่อยู่ซีหลิง ดูเหมือนว่าตอนนี้จะสวามิภักดิ์ต่อตำหนักติ้งอ๋องแล้วจริงๆ” อาจารย์ชิงอวิ๋นยิ้มพลางเอ่ย “ชิงปั๋วได้รับความช่วยเหลืออย่างจริงใจจากเขา เชื่อว่าจะต้องประสบความสำเร็จเป็นเท่าทวีคูณเป็นแน่”
ในระหว่างการพูดคุย อาจารย์ซิ่วถิงและสวีชิงปั๋วก็เดินตามกันเข้ามา สวีชิงปั๋วเดินไปหาอาจารย์ชิงอวิ๋น ก่อนคุกเข่าด้วยความเคารพ “หลานคำนับท่านปู่ ไม่ได้อยู่ดูแลข้างกายท่านปู่มาเป็นเวลานาน ท่านปู่โปรดอภัยให้หลานด้วย” อาจารย์ชิงอวิ๋นรีบเอื้อมมือไปดึงเขาลุกขึ้น “เด็กดี หน้าตาดูสดใสดีนี่ เกรงว่าตอนอยู่ที่ซีหลิงคงมีความสุขดีกระมัง” สวีชิงปั๋วยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากอาจารย์ซิ่วถิง หลานถึงไม่ได้ยุ่งเพียงนั้นขอรับ”
อาจารย์ซิ่วถิงที่อยู่ถัดจากเขา ก็รีบเดินเข้าไปทำความเคารพ “ผู้น้อยเฉินซิ่วฟู คำนับอาจารย์ชิงอวิ๋นและท่านผู้เฒ่าซู” ตอนที่อาจารย์ซิ่วถิงทัศนาจรมายังฉู่จิงก็เคยได้พบกับซูเจ๋อเช่นกัน แม้ว่าจะไม่พบกันมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังพอจำรูปร่างหน้าตาได้ อาจารย์ชิงอวิ๋นยิ้มก่อนจะเอ่ย “ซิ่วถิงไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองมากหรอก นานๆ ทีจะได้มาเมืองหลี หากมีตรงใดที่ละเลยไปก็ขออย่าได้ถือสา” อาจารย์ซิ่วถิงรีบเอ่ยว่ามิบังอาจ ซูเจ๋อเชิญอาจารย์ซิ่วถิงนั่งลงและคุยกันเป็นเวลานาน ทั้งสามเป็นบุคคลสำคัญในการศึกษาด้านลัทธิขงจื๊อที่จับตัวยากที่สุดในใต้หล้า เมื่อได้พูดคุยกันแล้วย่อมติดลม สวีชิงปั๋วเห็นว่าพวกเขาคุยกันอย่างออกรส จึงขอตัวไปพบสวีหงอวี่
เวลานี้ในห้องหนังสือใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋องกำลังโกลาหล แม้แต่เยี่ยหลีที่ในเวลาปกติไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไร ก็ยังได้มาช่วยงานในห้องหนังสือด้วย อีกไม่ถึงสิบวันก็จะถึงวันเกิดของอาจารย์ชิงอวิ๋นแล้ว แขกกิตติมศักดิ์หลายคนเริ่มทยอยเดินทางมาถึงแล้ว งานเลี้ยงนี้เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ผู้คนภายในเมืองหลีเพิ่มขึ้นมากกว่าสามส่วน หนึ่งในนั้นนอกจากแขกที่ได้รับเชิญจากตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ยังมีพ่อค้าจากแคว้นอื่นๆ ที่ได้ยินข่าวนี้ นอกจากนี้ยังมีนักเรียน นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่อยากมาร่วมงานอันยิ่งใหญ่ โรงเตี๊ยมเล็กใหญ่ของทั้งเมืองหลีจึงย่อมคราคร่ำไปด้วยผู้คน กระทั่งคนที่มาช้าไม่สามารถหาที่พักได้เลยทีเดียว
เมื่อจู่ๆ ก็มีคนมากมายเช่นนี้ ปัญหาเรื่องเครื่องแต่งกาย อาหาร การดำรงชีวิตและความสงบเรียบร้อย ย่อมมีมาไม่หยุดหย่อน ยิ่งไปกว่านั้น ความสมดุลระหว่างอำนาจกับบุคคลสำคัญของแคว้นต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักติ้งอ๋อง และข้อตกลงประเภทใดที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะยุ่งเกินกว่าจะบรรยายเช่นนี้
ตอนที่สวีชิงปั๋วเข้ามาก็เห็นท่านพ่อของตน พี่ชายทั้งสองและม่อซิวเหยา เยี่ยหลีนั่งรอบโต๊ะยาวอันกว้างใหญ่ ตรงหน้าทุกคนเต็มไปด้วยกองหนังสือราชการสารพัดประเภท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจั๋วจิ้งที่อยู่ด้านนอกพร้อมกับกองเอกสารหลายชั้น ที่เขาเพิ่งตรวจอ่านไปเพียงขั้นต้นเท่านั้น คิดไปถึงตนเองในช่วงแรกเริ่มเมื่อยามอยู่ที่ซีหลิง ก็ยุ่งวุ่นวายเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าว ก็อดรู้สึกยินดีขึ้นมาไม่ได้ ดูท่าคงไม่ได้มีแต่ตนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยามอยู่ที่ซีหลิงแล้ว ท่านพ่อและพี่น้องที่อยู่ในเมืองหลี ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าไรนัก
“ท่านอ๋อง ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง หลีเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว” สวีชิงปั๋วอมยิ้มพลางเอ่ย
เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ม่อซิวเหยาซึ่งเดิมทีนั่งอยู่ข้างเยี่ยหลีตาก็เป็นประกายขึ้นมาโดยพลัน ทำให้สวีชิงปั๋วรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ได้ยินเพียงม่อซิวเหยาพูดยิ้มๆ อย่างเป็นกันเองว่า “ชิงปั๋วกลับมาแล้ว เดินทางเหนื่อยแย่ รีบเข้ามานั่งข้างในเถิด” เมื่อได้รับความนอบน้อมจากม่อซิวเหยาเช่นนี้ สวีชิงปั๋วรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย มองม่อซิวเหยาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะยิ้มบางๆ “ท่านอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่เหนื่อยขนาดนั้นหรอก”
ด้วยเหตุนี้ ม่อซิวเหยาจึงยิ่งพอใจเข้าไปใหญ่ “ในเมื่อไม่เหนื่อย…มา งานพวกนี้เป็นของเจ้าแล้ว” ม่อซิวเหยากดสวีชิงปั๋วลงนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แม้จะไม่เจ็บแต่ก็อย่าคิดว่าจะได้ยืนขึ้นอีกเลย ม่อซิวเหยายกเอกสารตรงหน้าเยี่ยหลีมาวางไว้ตรงหน้าสวีชิงปั๋วแล้วจึงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร “งานพวกนี้เป็นของเจ้าแล้ว อาหลี หมอบอกว่าเพิ่งคลอดลูกห้ามใช้สายตามาเกินไป งานพวกนี้ให้เป็นหน้าที่ของชิงปั๋วเถิด”
สวีชิงปั๋วมองกองเอกสารตรงหน้าอย่างตกตะลึง ก่อนจะมองตาพี่ใหญ่ของตระกูลแล้วถึงได้รู้ว่าตนเองหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว
“น้องสี่อยู่ที่ซีหลิงสบายดีใช่หรือไม่” สุดท้ายก็เป็นสวีชิงเจ๋อที่ยังใจกว้างอยู่บ้าง เอ่ยปากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบสวีชิงปั๋วสักครู่ ถึงไม่ได้ทำให้สวีชิงปั๋วรู้สึกว่าตนเองจากบ้านไปไม่ถึงปี คนในตระกูลก็กลายเป็นคนไร้มนุษยธรรมเสียแล้ว สวีชิงปั๋วเปิดเอกสารตรงหน้าตน พลางเอ่ยตอบ “พอไหวกระมัง ตอนนี้เกือบจะเข้าที่เข้าทางแล้ว”