ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 330-1 ชื่อเล่นของเจ้าตัวเล็ก
เมื่อเชิญเหรินฉีหนิงและคนอื่นๆ เข้ามาในตำหนักแล้ว ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีก็พาพวกเขาไปพบอาจารย์ชิงอวิ๋นด้วยตนเอง
เหรินฉีหนิงและคนอื่นๆ ระหว่างเดินอยู่ในตำหนักติ้งอ๋อง เมื่อได้เห็นทัศนียภาพของตำหนักอ๋อง ก็ต่างเผยความตกใจออกมาอย่างอดไม่ได้ แม้ตำหนักติ้งอ๋องจะอยู่ใจกลางเมืองหลีและเป็นจวนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลีเช่นกัน ทว่าเมื่อเทียบกับพระราชวังของแคว้นอื่นๆ ย่อมเทียบไม่ติด ยังเล็กกว่าตำหนักติ้งอ๋องในฉู่จิงอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าภายในตำหนักอ๋องนั้นไม่มีคานไม้แกะสลัก จิตรกรรมฝาผนัง ดอกไม้พืชพรรณแปลกตาดั่งที่คนนอกจินตนาการเลย เรือนหน้าที่เอาไว้สะสางเรื่องงานบ้านเมืองนั้นสะอาดสะอ้านและเรียบง่ายแต่กลับไม่ขาดความยิ่งใหญ่เกรียงไกร ส่วนเรือนด้านหลังก็เงียบสงบ เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย
ตำหนักเช่นนี้ไม่ถือว่าแย่ ทว่าเมื่อเทียบกับชื่อเสียงของม่อซิวเหยาในปัจจุบันกลับดูยากจนข้นแค้นอยู่เล็กน้อย เหรินฉีหนิงมองชายผมขาวตรงหน้าตนแวบหนึ่งด้วยสายตาลึกล้ำ การกระทำเช่นนี้ หากไม่ได้ต้องการจะปกครองทั่วทั้งใต้หล้าจริงๆ เช่นนั้นก็คงมีแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่นาน เหรินฉีหนิงกลับปัดความคิดนี้ออกไป หากไม่ได้อยากครอบครองทั้งใต้หล้า ม่อซิวเหยาจะตีเมืองทั้งเหนือใต้ออกตกไปเพื่ออะไรกัน
เรือนที่อาจารย์ชิงอวิ๋นพักอาศัยอยู่ชั่วคราวตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนักอ๋อง ซึ่งเป็นสถานที่อันสงบเงียบ อันที่จริงตำหนักติ้งอ๋องไม่ถือว่าใหญ่ ทว่ามีการแบ่งโครงสร้างด้านนอกด้านในอย่างชัดเจนเป็นสัดส่วน ขุนนางแม่ทัพมากทายที่ไปมาหาสู่ต่างมาที่เรือนด้านหน้าหรือไม่ก็เป็นเรือนหลักที่เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาพักอยู่ โดยปกติแล้วจะไม่รบกวนคนอื่น ดังนั้นเรือนครึ่งหลังของตำหนักอ๋องจะสงบเงียบอย่างมาก บ่าวที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเข้าไปรายงาน ก่อนที่เยี่ยหลีจะหันไปเอ่ยกับหญิงชุดฟ้าที่เดินอยู่ข้างกายเหรินฉีหนิงมาตลอดว่า “เชิญสนมอวิ๋นไปดื่มชาที่ห้องด้านข้างเถิด”
สนมอวิ๋นผงะไป ก่อนจะมองเยี่ยหลีอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก พลางเอ่ย “ข้าตั้งใจมาคารวะและอวยพรวันเกิดให้อาจารย์ชิงอวิ๋น พระชายาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
เยี่ยหลีม่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะมองเหรินฉีหนิง เอ่ย “เป่ยจิ้งอ๋อง จงหยวนของเราไม่มีประเพณีในการพาอนุมาอวยพรวันเกิด เป่ยจิ้งอ๋องโปรดอภัย” เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกไป สีหน้าของเหรินฉีหนิงก็เริ่มดูไม่ดี ตัวเขาเป็นคนจงหยวน ทั้งเกิดในราชวงศ์ดั้งเดิมที่สุดของจงหยวนอีกด้วย แม้ราชงวงศ์หลินจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทว่าสิ่งที่ควรเรียนรู้เขาก็ได้เรียนรู้ไม่มีขาดตกบกพร่อง การกระทำเช่นนี้ของเยี่ยหลีแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังเหน็บแนมเรื่องที่เขาไม่มีมารยาท ดั่งชนเผ่าเร่ร่อน
“ท่านอ๋อง…” สนมอวิ๋นคิดไม่ถึงว่าเยี่ยหลีจะไม่เห็นแก่หน้านางเพียงนี้ ถลึงตามองเยี่ยหลีด้วยความเกลียดชังแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปดึงชายเสื้อของเหรินฉีหนิง พลางจ้องด้วยตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ
พระชายาเห่อหลันที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับยิ้มอย่างเบิกบาน เอ่ย “พระชายาติ้งอ๋องเข้าใจผิดแล้ว อย่าว่าแต่จงหยวนเลย คนเป่ยจิ้งอย่างพวกเราก็ไม่มีประเพณีเช่นนี้ เพียงแต่ท่านอ๋องโปรดปรานสนมอวิ๋นจึงให้ตามมาปรนนิบัติเท่านั้น ให้สนมอวิ๋นอยู่ข้างนอกรอพวกเราก็แล้วกัน” เป่ยจิ้งไม่มีประเพณีเช่นนี้จริงๆ ตระกูลสูงศักดิ์แห่งเป่ยจิ้งนับว่าภรรยาหลวงเป็นใหญ่ การเป็นอนุในสายตาของสตรีสูงศักดิ์แห่งเป่ยจิ้งนั้นไม่ต่างอะไรกับสาวใช้ โดยปกติแล้วสตรีสูงศักดิ์ในเป่ยจิ้งจะไม่ไปเป็นอนุใคร
เยี่ยหลียิ้ม “เช่นนี้นี่เอง”
ระหว่างที่พูดคุยกันนั้น บ่าวที่เข้าไปรายงานก็ออกมาเชิญให้ทุกคนเข้าไปด้านใน สนมอวิ๋นจึงรีบดึงเหรินฉีหนิงไว้ ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร “ท่านอ๋อง…” เหรินฉีหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “เจ้ารออยู่ข้างนอกเถิด”
“ผู้น้อยหลินย่วน คารวะอาจารย์ชิงอวิ๋น” ด้านในตัวเรือน อาจารย์ชิงอวิ๋นที่เดิมทีกำลังดื่มชาอยู่ ครั้นได้ยินเสียงรายงานของบ่าวจึงให้คนไปเรียกพวกเยี่ยหลีเข้ามาในเรือน เหรินฉีหนิงไม่รอให้เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาแนะนำ เขาเดินเข้าไปประสานมือ ก่อนจะคารวะ
อาจารย์ชิงอวิ๋นชะงักมืไปอ ก่อนจะเงยหน้ามามองเหรินฉีหนิงด้วยความสงสัย พลางเอ่ย “หลินย่วนหรือ แม้ข้าจะแก่แล้ว แต่ก็จำได้ว่าเป่ยจิ้งอ๋องแซ่เหรินมิใช่หรือ” เหรินฉีหนิงยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย “หลินย่วนหรือก็คือเหรินฉีหนิง ข้าน้อยเป็นทายาทของราชวงศ์หลินซื่อขอรับ หลินย่วนคารวะอาจารย์ชิงอวิ๋น” สีหน้าของม่อซิวเหยาที่อยู่ด้านข้างเย็นชาลงเล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจที่เหรินฉีหนิงจะกระตือรือร้นในการเข้ามาพบอาจารย์ชิงอวิ๋นก่อน แทนที่จะบอกว่ามาอวยพรวันเกิด น่าจะบอกว่ามาเหน็บแนมคนอื่นเสียมากกว่า ในเวลานั้นตระกูลสวีได้สังหารฮ่องเต้องค์สุดท้ายของอดีตราชวงศ์ไป ยอมจำนนพร้อมเปิดประตูเมืองให้ หลังจากนั้น ตระกูลสวีก็ได้รับใช้ฮ่องเต้ต้าฉู่ ถึงได้มีชื่อเสียงในฐานะปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า การกระทำเช่นนี้ของเหรินฉีหนิง เห็นได้ชัดว่ากำลังเตือนอาจารย์ชิงอวิ๋นว่าตระกูลสวีมีวันนี้ได้ด้วยการทรยศต่ออดีตราชวงศ์เท่านั้น
อาจารย์ชิงอวิ๋นพินิจเหรินฉีหนิงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “ที่แท้ก็ยังมีสายเลือดของราชวงศ์ก่อนหลงเหลืออยู่ในใต้หล้าอีกหรือ ไม่เลวนี่ เป่ยจิ้งอ๋องประสบความสำเร็จเพียงนี้ก็ถือว่าได้ปลอบโยนบรรพบุรุษแล้ว”
เหรินฉีหนิงมองอาจารย์ชิงอวิ๋น ก่อนจะถามเสียงทุ้ม “ผู้น้อยต้องการฟื้นฟูแคว้นและราชวงศ์ อาจารย์ชิงอวิ๋นคิดว่าทำได้หรือไม่”
“ได้สิ” อาจารย์ชิงอวิ๋นเอ่ย “ใต้หล้าไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้ คุณชายหลินมีความตั้งใจเช่นนี้ไฉนถึงจะทำไม่ได้เล่า”
เหรินฉีหนิงตาเป็นประกาย ก่อนจะถาม “อาจารย์ชิงอวิ๋นคิดว่าผู้น้อยจะทำสำเร็จหรือไม่”
อาจารย์ชิงอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “หากเป่ยจิ้งอ๋องต้องการจะรวมแคว้นให้เป็นปึกแผ่น ใต้หล้าแห่งนี้…จะเป็นสกุลเหริน หรือว่าสกุลหลิน ใต้หล้าแห่งนี้จะมีนามว่าเป่ยจิ้งหรือว่าต้าฉิน” เมื่อเหรินฉีหนิงได้ยินดังนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะฝืนยิ้ม เอ่ย “รอให้รวบรวมแว่นแคว้นให้ได้ก่อน ค่อยคิดเรื่องนี้ก็ไม่สาย” อาจารย์ชิงอวิ๋นส่ายหัวพลางเอ่ย “หากเป่ยจิ้งอ๋องตัดสินใจไม่ได้ ก็ไม่มีวันที่จะรวบรวมแว่นแคว้นให้เป็นปึกแผ่นได้” สีหน้าของเหรินฉีหนิงพลันซีดเผือด ทว่ากลับเงียบลงและไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
เยี่ยหลีเดินไปข้างหน้า ยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ไฉนท่านตาถึงดื่มชาอยู่เพียงคนเดียวเล่า ผู้อาวุโสซูและอาจารย์ซิ่วถิงไม่อยู่หรือเจ้าคะ”
อาจารย์ชิงอวิ๋นอมยิ้ม ก่อนจะรินชาสองสามแก้วแล้วเชิญพวกเขามานั่ง พลางยิ้มเอ่ย “พวกเขากำลังแข่งหมากล้อมกันอยู่ที่ห้องหนังสือ ข้าอายุมากแล้ว นั่งได้ไม่นาน จึงออกมาดื่มชา แล้วพวกอวี้เฉินเล่า สองสามวันนี้หายไปไหนกันหมด ไม่ให้คนไปเรียกพวกเขามาเยี่ยมข้าแล้วหรือ” เยี่ยหลียิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย “สองสามวันนี้ท่านตาให้พวกเขาพักผ่อนพอดี ตอนนี้กำลังนอนดูน้องชายน้องสาวอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ” เด็กน้อยสองคนมีอายุหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้หน้าตาเริ่มเข้ารูป กำลังเป็นก้อนกลมๆ นุ่มนิ่ม น่ารักอย่างมาก พวกเด็กสามคนหรือซาลาเปาสามก้อนที่มีม่อตัวน้อยเป็นหัวหน้า หากพวกเขาไม่มีธุรระอะไรก็จะมาล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าตัวเล็ก แม้แต่ในวันปกติยังชอบวิ่งเล่นไปทั่วจนหาตัวไม่เจอ จะเอาเวลาว่างมานั่งเรียนเสริมกับอาจารย์ชิงอวิ๋นในเรือนเล็กได้อย่างไร “หากท่านตาอย่ในเรือนแล้วรู้สึกเบื่อ หลีเอ๋อร์จะให้คนพาพวกเด็กๆ มาเล่นกับท่านตาแก้เบื่อ ท่านตาก็อย่าว่าที่พวกเขาซนแล้วกันนะเจ้าคะ”
อาจารย์ชิงอวิ๋นโบกมือ เอ่ย “ช่างเถิด ปีนี้เจ้าพวกนั้นดื้อหนักขึ้นทุกวัน อุตส่าห์ได้พักผ่อนสักสองวันก็ดีเหมือนกัน”
เด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบเป็นวัยกำลังซน ถึงขนาดที่สุนัขและแมวยังไม่อยากยุ่ง ม่อตัวน้อยที่ฉลาดเป็นกรดตั้งแต่เกิด ยิ่งรับมือยากเข้าไปใหญ่ สร้างความวุ่นวายให้คนในตำหนักอ๋องไปทั่ว ใครเห็นใครก็กลัว หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้มีสวีชิงเฉิน และตอนนี้มีเยี่ยหลีคอยยั้งเอาไว้ เกรงว่าคงจะไปสร้างความวุ่นวายถึงนอกตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ทว่าตอนนี้เพราะเด็กสองคนที่เพิ่งเกิด ทำให้ม่อตัวน้อยเงียบลงมากอย่างไม่ค่อยมีให้เห็น ทุกครั้งยามที่เห็นม่อตัวน้อยนอนแผ่อยู่ข้างเปล พูดคนเดียวกับทารกที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้น เยี่ยหลีก็รู้สึกว่าในอนาคตม่อตัวน้อยจะต้องเป็นพี่ชายที่ดีอย่างแน่นอน
เมื่อได้พูดคุยกับอาจารย์ชิงอวิ๋นครู่หนึ่งแล้ว เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาจึงพาเหรินฉีหนิงออกมา โดยไม่รู้ว่าประโยคใดของอาจารย์ชิงอวิ๋นไปสะเทือนอารมณ์ของเหรินฉีหนิงเข้า เพราะตอนที่เดินออกมานอกประตู สีหน้าของเขาซีดลงเล้กน้อย ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีทำเป็นมองไม่เห็น เพียงสั่งให้คนไปส่งเหรินฉีหนิงที่โรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อนเท่านั้น