ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 333-2 แขกผู้มีเกียรติมากันพร้อมหน้า และพระชายาองค์ชายเจ็ด
กว่าเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาจะมาถึง ก็เห็นว่าทั้งสองรามือกันไปแล้ว เพียงถลึงตาใส่กันอย่างไม่ยอมแพ้เท่านั้น บนใบหน้าของทั้งสองทิ้งรอยแผลไว้ให้กันไม่น้อย หน้าของผู่อาบวมปูดเป็นลูกใหญ่ ที่มุมปากม่อจิ่งหลีก็มีรอยเลือดซิบๆ และเริ่มเห็นว่าเขียวไปเป็นดวง สภาพของทั้งสองทำให้ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันพูดไม่ออก เยี่ยหลียืนอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา ในใจลอบหัวเราะ หลายปีมานี้นางคุ้นชินกับความสุภาพของปัญญาชน ใช้วาจาไม่ใช้กำลัง ส่วนคนมีวรยุทธแน่นอนว่าย่อมตัดสินแพ้ชนะกันด้วยวรยุทธ ต่อให้เป็นพลทหารทั่วไปในค่าย ก็ไม่มีทางต่อยตีกันราวกับชาวบ้านร้านตลาดเช่นนี้ เมื่ออยู่ๆ ยามนี้ได้มาเห็นสภาพของม่อจิ่งหลี นางจึงแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่จริงๆ
“ติ้งอ๋อง พระชายา ข้าขอโทษด้วย” ผู่อาก้าวออกมา พร้อมกล่าวขอโทษม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีด้วยภาษาต้าฉู่ที่ฟังดูแปร่งหู
ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร พระสวามีแห่งจักรพรรดินีหนานจ้าวไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใดกระมัง?” ผู่อาส่ายหน้าก่อนกลับไปยืนข้างกายองค์หญิงอันซี องค์หญิงอันซีมองใบหน้าที่บวมไปครึ่งซีกของเขาแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดฝุ่นที่เปรอะบนใบหน้าเขาให้ ก่อนหันไปพูดกับเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาว่า “เป็นพวกเราที่เสียมารยาทเอง หวังว่าติ้งอ๋องและพระชายาจะอภัยให้ด้วย”
ระหว่างทางมานี้ เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากหัวหน้าพ่อบ้านม่อมาแล้ว ย่อมไม่โทษว่าเป็นความผิดของผู่อา เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เป็นความผิดของเราต่างหาก ที่เกือบจะทำให้องค์จักรพรรดินีได้รับบาดเจ็บในตำหนักติ้งอ๋อง”
องค์หญิงซีสยาและเยี่ยอิ๋งที่อยู่ข้างๆ พากันเข้าไปห้อมล้อมม่อจิ่งหลี เช็ดหน้าเช็ดตาให้เขาพลางไต่ถามอาการด้วยความเป็นห่วง ม่อจิ่งหลีเหลือบมองความสามัคคีปรองดองของทางฟากองค์หญิงอันซีทีหนึ่ง แล้วจึงผลักองค์หญิงซีสยากับเยี่ยอิ๋งที่กำลังเช็ดหน้าให้เขาออกไปด้วยความรำคาญ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป องค์หญิงซีสยาอึ้งไป หันกลับมามององค์หญิงอันซีพลางกระทืบเท้าทีหนึ่งแล้วรีบตามเขาไป เหลือเพียงเยี่ยอิ๋งที่มองตามร่างม่อจิ่งหลีเดินดุ่มๆ ไม่สนใจใครออกไปอย่างเหม่อลอย มุมปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน นางหันมาก้มศีรษะให้คณะของเยี่ยหลีแล้วถึงได้หมุนตัวเดินออกไป
พอเห็นว่าม่อจิ่งหลีไปแล้ว องค์หญิงอันซีถึงได้ถามขึ้นว่า “ใครไปยั่วโมโหเขาเข้าหรือ”
เยี่ยหลีอมยิ้มกล่าวว่า “คนเช่นหลีอ๋องนั่น ไม่ต้องให้ใครไปยั่วโมโห เขาก็สามารถหัวเสียขึ้นมาเองได้ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ อยากให้ท่านหมอมาดูหน่อยไหม” องค์หญิงอันซีส่ายหน้า “ไม่ได้รู้สึกไม่สบายที่ตรงใดนะ เพียงแค่ถูกเขาผลักทีหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บอะไร” เยี่ยหลีถึงได้วางใจ ยิ้มพร้อมพยักหน้า “ไม่เป็นอะไรก็ดี”
องค์หญิงอันซีมองไปทางปากประตูอย่างใช้ความคิด นางนิ่งใคร่ครวญเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็หันไปพูดกับเยี่ยหลีว่า “พวกเจ้าระวังไว้หน่อยก็ดีนะ ข้าว่านิสัยอย่างหลีอ๋องนั่น ไม่แน่ว่าอาจก่อเรื่องอะไรขึ้นมาได้”
คำเตือนขององค์หญิงอันซี เยี่ยหลีย่อมน้อมรับไว้ จึงเอ่ยขอบคุณนางอีกครั้ง ทั้งยังเชื้อเชิญให้องค์หญิงอันซีและพระสวามีอยู่กินอาหารกลางวันที่ตำหนักก่อนแล้วค่อยกลับไป
ภายในโรงพักม้าของต้าฉู่ในเมืองหลี เยี่ยอิ๋งพอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ก็เห็นม่อจิ่งหลีนั่งดื่มชาอยู่ภายใน เพียงดูจากสีหน้าของเขาก็รู้ว่ายามนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ เยี่ยอิ๋งไม่ใช่เด็กสาวไม่รู้ประสาที่เอาแต่ฝันหวานอย่างเมื่อในอดีตอีกแล้ว จึงย่อมไม่ยินดีที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในเวลานี้ ประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาได้บอกนางว่า ในยามนี้หากเสนอหน้าเข้าไปมีแต่จะกลายเป็นกระโถนให้ม่อจิ่งหลีใช้ระบายอารมณ์เท่านั้น เยี่ยอิ๋งจึงชะงักฝีเท้า คิดจะหมุนตัวเดินเลี่ยงออกไป
“เจ้าจะไปไหน!” เสียงเย็นเยียบของม่อจิ่งหลีดังขึ้นที่ด้านหลัง
เยี่ยอิ๋งชะงักไป พอตั้งสติได้ก็หันกลับไปหาเขาพร้อมเอ่ยว่า “ข้าจะกลับไปพักที่ห้อง”
“เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาป่านนี้” ม่อจิ่งหลีถาม เยี่ยอิ๋งอดยิ้มฝืดเฝื่อนขึ้นมาไม่ได้ ม่อจิ่งหลีโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินออกมาก่อน องค์หญิงซีสยาที่ออกมาก่อนนางก็รีบตามเขาไป พอนางที่ช้าไปก้าวหนึ่งตามออกมาอีกที ก็เห็นว่าคณะผู้ติดตามของตำหนักหลีอ๋องทั้งหมดตามกันกลับไปหมดแล้ว สุดท้ายนางจึงจำต้องค่อยๆ เดินกลับมาคนเดียว นางที่เป็นถึงพระชายาหลีอ๋องถูกละเลยเพียงนี้ ก็ถือว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว
“ข้าเดินเล่นอยู่ข้างนอก เลยกลับมาช้าไปเล็กน้อยเพคะ” เยี่ยอิ๋งตอบเรียบๆ
ขณะที่ม่อจิ่งหลีถามออกมานั้น อันที่จริงเขานึกถึงเรื่องในตอนนั้นออกแล้ว เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางของเยี่ยอิ๋งที่ดูราวกับน่าสงสารไปหมด ก็เสมือนเป็นการย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่าเขาได้เคยสูญเสียอะไรไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เขาเพิ่งได้พบเยี่ยหลี ซ้ำยังถูกนางพูดจาถากถางเหน็บแนมอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนหน้านี้ม่อจิ่งหลีเคยคิดอยู่นับครั้งไม่ถ้วนว่า หากในตอนนั้นเขาไม่ได้คบหากับเยี่ยอิ๋ง หากในตอนนั้นคนที่เขาแต่งเข้ามาเป็นเยี่ยหลี ทุกอย่างจะไม่เป็นเช่นนี้หรือไม่ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ทุกครั้งที่เขาเห็นเยี่ยหลียืนอยู่ข้างกายม่อซิวเหยาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ม่อจิ่งหลีก็มักรู้สึกประหนึ่งในใจมีงูพิษกำลังกัดกินอย่างโหดร้ายเสมอ
ม่อจิ่งหลีนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วถึงได้มองเยี่ยอิ๋งพลางถามว่า “หลายวันก่อนที่เยี่ยหลีพาเจ้าออกไปพูดคุยเป็นการส่วนตัว พวกเจ้าคุยอะไรกัน”
ในใจเยี่ยหลีพลันเย็นวาบ หลุบตาลงตอบเรียบๆ ว่า “ก็ไม่มีอะไรเพคะ พระชายาติ้งอ๋องบอกว่าท่านย่ากับท่านพ่อยามนี้ก็อยู่ที่เมืองหลี หากมีเวลาให้ข้าไปเยี่ยมพวกท่านบ้าง”
“เท่านี้หรือ” ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เยี่ยอิ๋งพยักหน้า “เท่านี้เพคะ ข้ากับพระชายาติ้งอ๋องไม่ได้มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก จึงไม่มีอันใดให้พูดคุยกันมาก”
“เช่นนั้นหรือ” ม่อจิ่งหลีนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็กลับไปเยี่ยมพวกท่านสักหน่อยเถิด” เยี่ยหลีพยักหน้าเงียบๆ “ข้ารู้แล้ว ข้ากลับห้องไปพักผ่อนก่อนนะเพคะ” พอเยี่ยอิ๋งจากไปแล้ว องค์หญิงซีสยาถึงได้เดินออกมานั่งลงข้างม่อจิ่งหลี ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเชื่อที่นางพูดจริงๆ หรือ” ม่อจิ่งหลีผินหน้ามองนาง เอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าหมายความเช่นไร”
ในใจองค์หญิงซีสยาพลันเย็นวาบ รีบเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หมายความเช่นไรที่ไหนกัน ข้าเพียงเห็นว่าวันนั้นนางพูดคุยอยู่กับพระชายาติ้งอ๋องเป็นนานสองนาน จะพูดคุยกันเพียงเรื่องของตระกูลเยี่ยได้อย่างไร” ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเบาๆ “ไม่ว่านางจะคุยอันใดกับเยี่ยหลี อย่างไรก็หนีไปจากเงื้อมือข้าไม่ได้หรอก” เยี่ยอิ๋งมีความสามารถแค่ไหน เขารู้เสียยิ่งกว่ารู้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเยี่ยอิ๋งมีความสามารถอันใดที่สามารถสร้างความเกรงกลัวให้ตนได้ ม่อจิ่งหลีปรายตามององค์หญิงซีสยาอย่างไม่แยแสพร้อมพูดว่า “เจ้าก็สงบเสงี่ยมหน่อย อย่าได้ไปยั่วยุนางให้มากนัก ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นชายาเอกของตำหนักหลีอ๋อง ทั้งยังเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเยี่ยหลีด้วย ถึงอย่างไรข้าก็ต้องเห็นแก่หน้าเยี่ยหลีอยู่บ้าง”
รอยยิ้มบนใบหน้าองค์หญิงซีสยาแข็งทื่อไปทันที นางข่มความเกลียดเยี่ยหลีในใจลง ยิ้มออดอ้อนพร้อมพูดว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าติดตามท่านอย่างไร้ฐานะไร้ตำแหน่งมาหลายปีเพียงนี้ ข้าเคยพูดอันใดด้วยหรือ” ม่อจิ่งหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “เช่นนั้นก็ดี เจ้าวางใจได้ ต่อไปข้าไม่มีทางทำไม่ดีต่อเจ้าแน่” องค์หญิงซีสยาฉีกยิ้มกว้าง “ข้ารู้ว่าท่านอ๋องดีกับข้าที่สุด”
นางอิงแอบเข้าสู่อ้อมอกของม่อจิ่งหลีอย่างว่าง่าย แล้วใบหน้างดงามขององค์หญิงซีสยาก็พลันบิดเบี้ยวขึ้นทันที นัยน์ตาที่เดิมพราวสเน่ห์ก็เต็มไปด้วยความโกรธเกลียด นางละทิ้งฐานะอันทรงเกียรติอย่างองค์หญิงเพื่อม่อจิ่งหลี ติดตามอยู่ข้างกายเขาอย่างไร้ตำแหน่งไร้ฐานะมาเป็นสิบปี หากจะบอกว่านางไม่เคยนึกเสียใจมาก่อน ก็คงเป็นไปไม่ได้ นางไม่ใช่องค์หญิงหนานจ้าวผู้นั้นที่วิ่งโร่ไปหาม่อจิ่งหลีถึงต้าฉู่โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นมานานแล้ว แต่ครั้นนางเสียใจไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด นางถูกตัดชื่อออกจากราชวงศ์หนานจ้าวไปแล้ว ต่อให้กลับไปที่หนานจ้าวก็มีแต่จะถูกขุนนางและชาวบ้านรังเกียจและดูแคลน นางจึงทำได้เพียงติดตามม่อจิ่งหลีต่อไป แต่กระนั้นม่อจิ่งหลีกลับใช้ข้ออ้างสารพัดในการยืดเวลาออกไป ไม่ยอมปลดเยี่ยอิ๋งออกจากตำแหน่งพระชายาเพียงเพราะเยี่ยหลีคนนั้น ท่านพี่จิ่งหลี ท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร
ม่อจิ่งหลีที่กอดองค์หญิงซีสยาอยู่ในอ้อมแขน แต่จิตใจก็ล่องลอยไปไกลเช่นกัน ระหว่างที่จับเส้นผมองค์หญิงซีสยาเล่นนั้น ในหัวก็ใคร่ครวญไปด้วย เขาจำได้ว่า…เขายังมีหมากอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้ใช้