ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 334-1 ตัวเลือกขององค์หญิงหรงหวา
เยี่ยหลีมองสตรีในชุดขาวที่มีผ้าโปร่งสีขาวพลิ้วไหวคลุมหน้า รอยยิ้มในแววตาเยี่ยหลีก็ยิ่งล้ำลึกมากขึ้น แต่หากลองสังเกตดีๆ แล้ว ในรอยยิ้มนั้นกลับเจือประกายเย็นยะเยือกเล็กน้อย เยี่ยหลีมองสตรีข้างกายเยียหลี่ว์เหยี่ยด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ก่อนยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “จะว่าไป ข้ากลับรู้สึกว่าพระชายาองค์ชายเจ็ดดูคุ้นตายิ่งนัก พระชายารัชทายาท ท่านคิดเห็นอย่างไร”
องค์หญิงหรงหวาหยักยิ้มมุมปาก เอ่ยกลั้วหัวเราะพร้อมเหลือบมองสตรีที่อยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “นั่นน่ะสิ ยามที่พบหน้าครั้งแรกข้ายังตกใจเสียแทบแย่ ข้ายังคิดว่า…”
“เสด็จพี่!” เยียหลี่ว์เหยี่ยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย โพล่งขึ้นตัดบทองค์หญิงหรงหวาทันที องค์หญิงหรงหวาก็ไม่ได้ใส่ใจ ในหลายๆ เรื่องขอเพียงสื่อความหมายให้ทุกคนเข้าใจได้ก็เพียงพอแล้ว ใช่ว่าจำเป็นต้องพูดออกมาตรงๆ เสมอไป พอได้ยินที่เยี่ยหลีกับองค์หญิงหรงหวาคุยกัน ม่อซิวเหยาถึงได้เลื่อนสายตาไปมองสตรีที่นั่งอยู่ข้างเยียหลี่ว์เหยี่ยพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย เยี่ยหลียื่นมือไปจับมือเขาไว้ ยิ้มน้อยๆ บอกว่า “ท่านอ๋องก็รู้สึกว่าพระชายาองค์ชายเจ็ดดูคุ้นหน้าหรือเพคะ”
ม่อซิวเหยามองนางเรียบๆ สองครั้ง ก่อนพูดว่า “ไม่คุ้นเลย”
ถึงแม้คำตอบจะขัดแย้งกับเยี่ยหลีและองค์หญิงหรงหวา แต่กระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีกลับดูยินดีมากขึ้น เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีสตรีคนใดชื่นชอบให้สามีของตนจำลักษณะท่าทางของสตรีอื่น แม้จะจำได้เพราะความรังเกียจก็ตาม ม่อซิวเหยาก็ดูออกว่าเยี่ยหลีกำลังอารมณ์ดีมาก คิ้วที่เดิมขมวดมุ่นอยู่จึงค่อยๆ คลายออก
ชิงอีน่าที่นั่งอยู่ถัดลงมาสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเพียงเพราะคำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำของม่อซิวเหยา หากไม่ใช่เพราะนางมีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าอยู่ คนที่อยู่ ณ ที่นั้นคงได้พากันตกใจเพราะสีหน้าดุดันของเธอไปแล้ว นัยน์ตาที่หลุบลงครึ่งหนึ่งส่องประกายโกรธแค้นอย่างคลุ้มคลั่ง
แม้ว่าความสัมพันธ์กับเป่ยหรงจะไม่ปรองดองนัก แต่อย่างไรผู้มาจากแดนไกลก็เป็นแขก ตำหนักติ้งอ๋องยังคงต้องให้การต้อนรับดูแลอย่างดี เมื่อไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกับเยียหลี่ว์หงและเยียหลี่ว์เหยี่ยได้สองสามประโยคแล้ว เยี่ยหลีก็ลุกขึ้นนำองค์หญิงหรงหวากับชิงอีน่าออกไปเปลี่ยนสถานที่พูดคุยกัน ถึงอย่างไรเรื่องที่บุรุษคุยกันก็ยากที่จะไม่ทำให้สตรีทั้งสองรู้สึกน่าเบื่อได้ อีกทั้งด้วยสัมพันธ์ที่เยี่ยหลีมีต่อองค์หญิงหรงหวา การพูดคุยเป็นการส่วนตัวก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพียงแต่ด้านหลังพวกนางยังมีพระชายาองค์ชายเจ็ดที่ไม่รู้จักมักคุ้นติดตามมาด้วยอีกหนึ่งคน จึงทำให้พวกนางไม่เป็นอิสระนัก และเห็นได้ชัดว่าองค์หญิงหรงหวาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับน้องสะใภ้ในอนาคตผู้นี้มากนัก
“ชิงอีน่า ข้ากับพระชายาติ้งอ๋องมีเรื่องต้องพูดคุยกัน เจ้าแยกออกไปก่อนคงไม่ลำบากกระมัง” เนื้อแท้ขององค์หญิงหรงหวายังคงมีความเอาแต่ใจและเย่อหยิ่งอย่างสมัยอยู่ที่ฉู่จิง กับสตรีที่นางไม่ชอบใจแล้ว นางไม่สนใจที่จะรักษามารยาทสักนิด
ชิงอีน่าเหลือบมองนางเย็นๆ ทีหนึ่ง แม้นัยน์ตาจะมีความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่นางกลับดูไม่อยากมีความขัดแย้งกับองค์หญิงหรงหวานักจริงๆ เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พอดีข้ากับองค์หญิงหรงหวาไม่ได้พบหน้ากันหลายปี สวนของตำหนักติ้งอ๋องก็ถือว่าพอน่าดูอยู่บ้าง เช่นนั้นขอเชิญแม่นางไปเดินเล่นในส่วนก่อนก็แล้วกัน หากมีตรงใดที่เสียมารยาทไปก็ขอได้โปรดอภัยด้วย” พูดจบก็กวักมือเรียกชิงซวงกับอาจิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเมื่อหลายวันก่อน “พวกเจ้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนแขกในสวนที”
หลายปีนี้ชิงซวงฝึกฝนจนฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ พอได้ยินก็เข้าใจความหมายของเยี่ยหลีทันที จึงยิ้มเอ่ยว่า “บ่าวรับบัญชาเพคะ แม่นางเชิญทางนี้เจ้าค่ะ” ถึงแม้จะอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่อาจิ่นกลับยังคงเงียบขรึม พูดน้อยดังเช่นเก่าก่อน เขาเพียงเหลือบมองชิงอีน่าเรียบๆ ทีหนึ่ง ยืนอยู่ด้านหลังชิงซวงโดยไม่พูดอะไร สายตาของชิงอีน่ากวาดผ่านไปทางเยี่ยหลี ในที่สุดก็หมุนตัวเดินไปโดยไม่ได้พูดอะไร
เมื่อไล่คนที่ขัดหูขัดตาไปได้แล้ว องค์หญิงหรงหวาถึงได้เผยรอยยิ้มสบายๆ ออกมา “ไปได้เสียที ทำตัวราบกับวิญญาณ แค่เห็นก็รู้สึกไม่สบายตาแล้ว”
ทั้งสองเดินเรื่อยๆ ไปในสวน เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบาว่า “นั่นใช่จริงๆ หรือ…” องค์หญิงหรงหวาพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ ได้เห็นคราแรกข้ายังนึกว่าตัวเองจำคนผิด ยังคิดว่าเป็นคนหน้าคล้ายเฉยๆ เสียอีก แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางเช่นนั้นของนางแล้ว ในโลกนี้จะมีสตรีสักกี่คนที่น่ารังเกียจเช่นนางอีก” พูดพลางก็เบ้ปากด้วยความรังเกียจไปด้วย ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเมื่อยามอยู่ฉู่จิงนั้น หากเทียบเรื่องความหยิ่งผลองกับนางนั้นแล้วก็ไม่มีใครเป็นรองใครเลยจริงๆ “เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่านางจะหนีออกมาได้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่านางทำอีท่าไหนถึงไปโปรยเสน่ห์ใส่เยียหลี่ว์เหยี่ยได้” คนที่นางพูดถึงนี้ ย่อมหมายถึงหลิ่วกุ้ยเฟยที่ในตอนนั้นหลังจากหนีออกมาจากวังหลวงแล้วก็หายตัวไปไม่รู้ไปอยู่เสียที่ใดนั่นเอง เยี่ยหลีก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหลิ่งกุ้ยเฟยจะได้กลายมาเป็นถึงพระชายาในอนาคตขององค์ชายเจ็ด
เดิมทีองค์หญิงหรงหวาไม่ได้ชื่นชอบหรือเกลียดชังอะไรในตัวหลิ่วกุ้ยเฟย แต่กระนั้นต่อให้นางโกรธเกลียดม่อจิ่งฉีที่ให้ตนต้องแต่งงานมาที่เป่ยหรงเพียงไร แต่นางก็ยังคงเป็นคนของราชวงศ์ต้าฉู่ และเป็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้องกับม่อจิ่งฉี เมื่อมาเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยที่พอม่อจิ่งฉีตาย ก็จัดฉากลวงว่าตนเองตายแล้วหลบหนีออกมา ซ้ำยังมาข้องเกี่ยวกับเยียหลี่ว์เหยี่ยซึ่งเป็นศัตรูโดยตรงกับสามีของตนอีก เช่นนี้แล้วองค์หญิงหรงหวาจะชอบขี้หน้านางได้อย่างไร
“เจ้าอย่ามองแต่เพียงใบหน้าเย่อหยิ่งของนาง ความสามารถในการยั่วยวนผู้ชายถือว่าไม่เบาเลยจริงๆ ไม่เพียงเยียหลี่ว์เหยี่ยลุ่มหลงนางหัวปักหัวปำเท่านั้น แม้แต่เป่ยหรงอ๋องก็ชื่นชมนางอย่างมากเช่นกัน” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้สีหน้าองค์หญิงหรงหวาก็ดูจะโกรธเคือง เยียหลี่ว์หงและเยียหลี่ว์เหยี่ยเป็นบุตรชายสองคนที่เป่ยหรงอ๋องให้ความสำคัญมากที่สุด เมื่อเป่ยหรงอ๋องชื่นชอบชิงอีน่า ก็ย่อมให้ความสำคัญกับเยียหลี่ว์เหยี่ยยิ่งขึ้นไปอีก จึงย่อมไม่เป็นผลดีต่อเยียหลี่ว์หง
เยี่ยหลีระบายยิ้ม มองใบหน้าเรียวเล็กที่เต็มไปด้วยความโกรธ “ดูท่าหลายปีนี้องค์หญิงกับรัชทายาทเป่ยหรงคงจะรักใคร่กันมากกระมัง”
องค์หญิงหรงหวาหน้าแดงระเรื่อ ถลึงตาดุใส่เยี่ยหลี เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่เจ้ากลับมาล้อเลียนข้าเสียแล้ว ใครไม่รู้บ้างว่าติ้งอ๋องกับพระชายาติ้งอ๋องต่างหากที่เป็นคู่รักเทพเซียนที่น่าอิจฉาที่สุดในใต้หล้า” เยี่ยหลียิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าก็ล้อเลียนข้าได้เช่นกันนี่ ข้ากับม่อซิวเหยารักใคร่กันดีจริงๆ นี่นา เจ้าอิจฉาหรือ” องค์หญิงหรงหวาถูกนางทำให้โกรธจนมีแรงฮึดขึ้นมา เอ่ยเสียงกระแทกกระทั้นว่า “ข้ากับรัชทายาทก็รักใคร่กันดีเช่นกัน!”
เยี่ยหลีสีหน้าสงบนิ่ง ยิ้มบางๆ มององค์หญิงหรงหวา รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงหรงหวากลับค่อยๆ จางลงไป มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องที่ข้ารับปากเจ้ากับติ้งอ๋องไว้จะไม่มีทางคืนคำเป็นแน่”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “เท่าที่ข้ารู้ องค์หญิงกับรัชทายาทเป่ยหรงมีบุตรด้วยกันแล้วสองคน องค์หญิงจะทำได้จริงๆ หรือ? หากมีเรื่องใดที่ลำบากใจ ข้าหวังว่าองค์หญิงจะพูดมันออกมาก่อน ไม่ใช่ว่าไปถึงตอนท้ายแล้วเกิดจะมีสิ่งใดที่ทำให้วุ่นวายขึ้นมา ข้าเชื่อว่าองค์หญิงเข้าใจความหมายของข้า” หากยามนี้มีเรื่องใดลำบากใจแล้วพูดออกมาก่อน ทุกคนก็จะได้หารือกันด้วยดี หากต่อไปองค์หญิงหรงหวาเกิดเปลี่ยนใจ แล้วทำให้ตำหนักติ้งอ๋องได้รับความเสียหาย เช่นนั้นตำหนักติ้งอ๋องก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน
องค์หญิงหรงหวาสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “พระชายาโปรดวางใจ ข้าเป็นองค์หญิงของต้าฉู่ ถึงแม้ยามนี้ต้าฉู่จะ… อีกอย่าง แม้ว่าข้ากับรัชทายาทจะรักใคร่กันดี แต่ทว่า…หากในอนาคตรัชทายาทขึ้นสืบทอดตำแหน่ง บุตรของข้าก็ไม่มีทางได้เป็นผู้สืบทอดของรัชทายาท” คนจงหยวนแน่นอนว่านึกดูถูกพวกชนเผ่าที่อยู่ห่างไกล แต่ชนเผ่าที่อยู่ห่างไกลเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดูถูกคนจงหยวน หนำซ้ำกลับยิ่งรุนแรงกว่าเสียอีก ราชวงศ์เป่ยหรงกีดกันสายเลือดที่มาจากต่างถิ่น เรียกได้ว่ากลายเป็นโรคเรื้อรังไปแล้ว บุตรที่นางคลอดออกมาไม่ว่าจะดีเลิศเพียงใดก็ไม่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งเป่ยหรงอ๋องได้ ดังนั้น ถึงแม้เยียหลี่ว์หงจะปฏิบัติต่อนางด้วยดี แต่กระนั้นก็ยังแต่งชายารองเข้ามาไม่น้อย และถึงขั้นให้ความสำคัญกับบุตรที่เกิดจากสตรีเป่ยหรงเหล่านั้นยิ่งกว่าบุตรของนาง ด้วยเกิดมาเป็นราชนิกุล องค์หญิงหรงหวาจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงประโยคที่ว่า “เมื่อสูญสิ้นความงาม ความรักก็หดหาย” ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่โบราณกาลมาก็มีประโยคที่พูดกันว่าความงามยังไม่ทันหายก็หมดรักเสียก่อน ไว้ถึงยามที่เยียหลี่ว์หงไม่นึกรักใคร่ตนแล้ว เมื่อนั้นตำหนักติ้งอ๋องต่างหากที่จะเป็นที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดของนางกับลูก