ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 335-1 เยี่ยเย่ว์
หลังจากปลอบใจเยี่ยอิ๋งเสร็จ ม่อจิ่งหลีถึงได้เดินออกไปยังห้องหนังสือเพียงคนเดียว เมื่อเข้ามานั่งภายในห้องหนังสือ ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วใคร่ครวญถึงผลการเจรจากับเยี่ยเย่ว์ที่จวนตระกูลเยี่ย อันที่จริงไม่ว่ามองจากมุมใด การทำให้ม่อซิวเหยาไม่พอใจยามอยู่ในเมืองหลีเพียงเพื่อเยี่ยเย่ว์เพียงคนเดียวนั้น ไม่ใช่การตัดสินใจที่หลักแหลมเลยจริงๆ และม่อจิ่งหลีก็ไม่เคยเป็นคนที่ลุ่มหลงในสิ่งเย้ายวนจนหลงผิดมาก่อน แต่ในมือของเยี่ยเย่ว์กลับมีสิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้
ม่อจิ่งหลีหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีเขียวหยกเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ นัยน์ตามีประกายร้อนวูบวาบให้เห็นจางๆ
การพาตัวเยี่ยเย่ว์กลับเจียงหนาน หากสามารถทำได้อย่างราบรื่น สิ่งที่เขาจะได้รับ ต้องมากกว่าสิ่งที่เขาสละไปเป็นสิบเท่าหรืออาจถึงร้อยเท่าเลยทีเดียว
อันที่จริงเรื่องในครานั้นจะว่าไปแล้ว ม่อจิ่งหลีก็ถือว่าเคยได้ช่วยชีวิตเยี่ยหลีเอาไว้ครั้งหนึ่ง ความตั้งใจเดิมของไทเฮาคือต้องการที่จะสังหารเยี่ยหลี เยี่ยเย่ว์ถูกไทเฮาบังคับจึงไม่อาจไม่ทำตามได้ แต่ม่อจิ่งหลีในยามนั้นกลับไม่อยากสังหารเยี่ยหลี ดังนั้นหลังจากเยี่ยเย่ว์ทำตามแผนที่วางไว้แล้ว เขาเลยส่งคนเข้าไปแทรกกลางพอตัวเยี่ยหลีออกจากวังไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่แน่ว่าเยี่ยหลีอาจถูกเยี่ยเย่ว์สังหารไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วจริงๆ ก็เป็นได้ เมื่อพาตัวเยี่ยหลีออกไปแล้ว ม่อจิ่งหลีก็ไม่ได้สนใจเยี่ยเย่ว์อีก คนคนหนึ่งที่เป็นเพียงสนมของเสด็จพี่และหมากในมือเสด็จแม่ ไม่คู่ควรให้เขาต้องไปเสียเวลาด้วย ดังนั้นหลังจากเยี่ยเย่ว์ถูกไฟครอกตาย เขาจึงคิดเพียงว่านางถูกเสด็จแม่สังหารเพื่อปิดปาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเย่ว์ไม่ใช่แค่ไม่ตาย แต่ยังถึงขั้นหลบพันจากสายตาไทเฮา คนในวังหรือแม้กระทั่งคนของตำหนักติ้งอ๋องไปได้อย่างปลอดภัย ซ้ำยังมีชีวิตรอดมาอีกหลายปี แล้วยังมายังเมืองหลีที่อยู่ภายใต้สายตาของม่อซิวเหยาเสียอีกด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่อเทียบกับเยี่ยอิ๋งที่มีเพียงรูปโฉมกลวงๆ แล้ว เยี่ยเย่ว์ต่างหากถึงเป็นคนที่เฉลียวฉลาดโดยแท้จริง แม้จะเทียบกับบรรดาสตรีในวังหลังของเสด็จพี่ทั้งหมด เยี่ยเย่ว์ก็ยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดอยู่ดี ขอเพียงสามารถพาตัวเยี่ยเย่ว์กลับไปเจียงหนานได้ เช่นนั้น…ไทเฮาที่ทำให้เขาปวดหัวมาตลอดก็จะไม่เป็นหินที่คอยขวางทางเขาอีกต่อไป
ไทเฮามีอำนาจอยู่ในวังมาหลายสิบปี แม้แต่ตอนที่ม่อจิ่งฉียังมีชีวิตอยู่ก็ยังถูกนางควบคุมอยู่เสมอ นับประสาอะไรกับม่อจิ่งหลีที่ได้อำนาจมากุมอยู่ในมือไม่นานเท่าม่อจิ่งฉีกัน เดิมทีหลังจากถูกม่อจิ่งฉีกดอำนาจเอาไว้หลายปีกับที่ถูกม่อจิ่งฉีเล่นงานก่อนตาย อำนาจของไทเฮาควรที่จะโงนเงนง่อนแง่นได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากม่อจิ่งหลีขึ้นมาครองอำนาจแล้ว ไทเฮาก็ราวกับมีเทพคอยช่วยเหลือ กลับมามีอำนาจมั่นคงในราชสำนักได้อีกครั้ง ม่อจิ่งหลีรู้ว่าเบื้องหลังจะต้องมีคนนอกที่คอยยื่นมือเข้าช่วยอย่างแน่นอน เขาถึงขั้นรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่กระนั้นกลับทำอะไรไม่ได้ เขาสามารถกดข่มอำนาจของไทเฮาลงได้ แต่กลับยังไม่สามารถสู้กับนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนเสียหายกันทั้งสองฝ่ายให้คนอื่นมาฉวยผลประโยชน์ไปได้
ฝีไม้ลายมือและความโหดเหี้ยมของเสด็จแม่ผู้นี้ ม่อจิ่งหลีรู้ดีกว่าใครทั้งสิ้น เขายิ่งกว่ารู้ว่าในใจไทเฮานั้น พอใจที่จะปลุกปั้นม่อซู่อวิ๋น เจ้าเด็กบ้าเจ็ดแปดขวบนั่นขึ้นเป็นฮ่องเต้มากกว่าเขาผู้ซึ่งเป็นบุตรชาย ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เรื่องจะนำไทเฮาไปฝังร่วมไม่สำเร็จเป็นต้นมา ในใจม่อจิ่งหลีก็มักนึกสงสัยว่า ไทเฮาคิดหาโอกาสกำจัดตนเองอยู่ตลอดเวลาหรือไม่
แต่หากมีเยี่ยเย่ว์เข้ามาก็คงจะต่างออกไปทันที ในมือเยี่ยเย่ว์มีไพ่ตายบางอย่างของฮองเฮาอยู่ในมือ หากรู้จักใช้ก็อาจถึงขั้นสามารถกำจัดอำนาจของฮองเฮาให้สิ้นซากได้ เยี่ยเย่ว์ฉลาดมาก ในขณะที่นางถูกไทเฮาข่มขู่และใช้ประโยชน์ นางก็ลอบเก็บรวบรวมสิ่งที่ไทเฮาซ่อนเร้นเอาไว้ไปด้วย และอาจถึงขั้นว่าหากเยี่ยเย่ว์ไม่หนีออกมาเร็วเกินไป ม่อจิ่งหลีก็เชื่อว่าเยี่ยเย่ว์อาจมีวิธีที่จะง้างปากม่อจิ่งฉีออกมาได้ว่าบุตรชายเขาไปอยู่ที่ไหน แต่ก็น่าเสียใจ ถ้าเทียบกับเยี่ยหลีแล้ว ชะตาชีวิตของเยี่ยเย่ว์ถือว่าเลวร้ายไปเลยจริงๆ ตอนม่อจิ่งฉียังมีชีวิตอยู่ก็โปรดปรานหลิ่วกุ้ยเฟยมากกว่าเยี่ยเย่ว์ ดังนั้นต่อให้เป็นคนที่ฉลาดอย่างนางก็ทำได้เพียงอยู่ในวังอย่างสงบเสงี่ยมเท่านั้น แต่สนมเพียงคนหนึ่งสามารถหลบหลีกอำนาจและการข่มขู่ของไทเฮาไปได้อย่างไร เพราะตอนนั้นบิดาของนางยืนอยู่ฝั่งเดียวกับไทเฮาอย่างนั้นหรือ
หลังจากนิ่งไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุดนัยน์ตาม่อจิ่งหลีก็มีประกายเด็ดเดี่ยว อันที่จริงต่อให้ไม่มีเหตุผลข้างต้น ม่อจิ่งหลีก็จำต้องพาตัวเยี่ยเย่ว์กลับไปให้ได้ เขาบดบีบขวดเล็กๆ ในมืออย่างเลื่อนลอย พร้อมคิ้วคมของม่อจิ่งหลีที่ขมวดมุ่นเข้าหากันมากขึ้น หากคิดจะส่งตัวเยี่ยเย่ว์ออกไปจากเมืองหลีในตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ ความแน่นหนาเข้มงวดขององครักษ์ตำหนักติ้งอ๋องนั้นทำให้เขาต้องนึกหวาดเกรง วิธีการเดียวที่สามารถทำได้ก็คือ ตอนที่พวกเขาเดินทางออกจากเมืองหลี ให้เยี่ยเย่ว์ปะปนไปกับคณะของตำหนักหลีอ๋อง แล้วจากไปโดยไม่ให้ผีสางเทวดารู้เท่านั้น แต่นั่นกว่าจะทำได้ก็อีกหลายวัน ช่วงนี้หากเกิด…ในเมื่อเยี่ยเย่ว์สามารถมาถึงเมืองหลีได้อย่างเงียบเชียบ ทั้งยังสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านของตนเองได้หลายปีเพียงนี้ ช่วงสิบกว่าวันนี้ก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง ม่อจิ่งหลีคิดกับตัวเองในใจ
ภายในห้องหนังสือจวนเยี่ย เยี่ยเหวินหวานั่งหน้าเคร่งขรึมอยู่ภายใน หัวคิ้วที่เดิมเริ่มเป็นสีดอกเลาขมวดมุ่นเข้าหากัน ตั้งแต่หลีอ๋องกับเยี่ยอิ๋งกลับไปเขาก็มีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ ยิ่งนึกถึงใครคนหนึ่งในห้องของภรรยาตน…ถึงแม้จะออกจากราชสำนักมาหลายปีแล้ว แต่เยี่ยเหวินหวายังคงเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง สัญชาตญาณที่มีต่อความอันตรายเช่นนี้เคยช่วยเขาหลีกหนีจากอันตรายมาได้แล้วหลายครั้งตั้งแต่สมัยอยู่ในราชสำนัก ถึงแม้จะเป็นลูกเขยของตระกูลสวี แต่อย่างน้อยช่วงหลายปีหลังจากที่ตระกูลสวีถอยออกจากราชสำนัก เขาก็ต่อสู้มาด้วยตนเอง ซึ่งไม่เพียงไม่ทำให้ตระกูลเยี่ยถดถอยลงแต่กลับทำให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้นอีกด้วย
ตั้งแต่มาถึงเมืองหลีเป็นต้นมา เยี่ยเหวินหวาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ยินดีเช่นเดียวกับที่ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยกับเยี่ยหวังซื่อรู้สึก เขาพอใจกับชีวิตในยามนี้มาก เขาเคยทั้งยากจนและมั่งมี เขาเคยต้องตรากตรำอ่านหนังสือ และเคยเกือบอีกเพียงนิดจะได้อยู่เหนือขุนนางทั้งปวง เขาเคยแต่งงานกับสตรีที่งดงามและมากความสามารถที่สุดของต้าฉู่ บุตรสาวของเขาในตอนนี้ยังเป็นถึงพระชายาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการและพระชายาของตำหนักติ้งอ๋อง ส่วนตัวเขาในท้ายที่สุดก็ตกจากที่สูงลงมากลายเป็นชาวบ้านสามัญทั่วไป หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจกระตือรือร้นในยศฐาและเงินทอง แต่เมื่อได้มาเห็นความลำบากของชาวบ้านในระหว่างความโกลาหลของสงคราม เขาถึงได้รู้ว่าความสงบสุขอย่างทุกวันนี้นั้นได้มาไม่ง่าย เยี่ยเหวินหวารู้ดีว่า ขอเพียงเขาอยู่ในเมืองหลีอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แค่เพียงฐานะบิดาของพระชายาติ้งอ๋องของเขา ก็ไม่มีทางมีใครทำให้เขาลำบากได้ แต่หากไปที่เจียงหนาน ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะใช้ให้เขาทำงานสำคัญ แต่กระนั้นเจียงหนานจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกสักกี่มากน้อย พูดตามตรง หลายปีที่ผ่านมานี้ เยี่ยเหวินหวาไม่นึกคาดหวังอะไรกับความสามารถของม่อจิ่งหลีมานานแล้ว มิหนำซ้ำเมื่อเทียบกันแล้ว เขายังนึกเชื่อในความเป็นคนของม่อซิวเหยามากกว่าม่อจิ่งหลีเสียอีก
“นายท่าน นี่ท่านเป็นอะไรไป เหตุใดถึงสีหน้าย่ำแย่เพียงนี้” เยี่ยหวังซื่อถืออาหารบำรุงเดินเข้ามา มองสีหน้าเยี่ยเหวินหวาพลางอมยิ้มถามขึ้น
เยี่ยเหวินหวารู้สึกตัว หันมองสีหน้ายิ้มแย้มด้วยความพอใจของนางเรียบๆ ในใจบังเกิดความรังเกียจขึ้นมาแวบหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด ภาพภรรยาที่เคยผูกเส้นผมแต่งงานกันที่เดิมคิดว่าพร่าเลือนไปแล้ว กลับขึ้นมาปรากฏในหัวของของเขาอย่างชัดเจน ชั่ววินาทีนั้น เขาถึงขั้นสงสัยในตนเองว่า เหตุใดในยามนั้นเขาถึงได้เมินเฉยต่อภรรยาของตนเพื่อเยี่ยหวังซื่อ ไม่ว่าจะเรื่องรูปลักษณ์ ความสามารถ คุณธรรมหรือชาติตระกูล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสวีซื่อทิ้งห่างจากเยี่ยหวังซื่อไปไม่รู้กี่ช่วงถนน บางที…คงเพราะสวีชื่อดีเลิศเกินไปกระมัง สตรีที่ดีเลิศเกินไป สูงส่งประหนึ่งเทพเซียน แต่กลับลดตัวลงมาเห็นค่าบุรุษตัวเล็กๆ ที่ชาติกำเนิดต่ำต้อยยากจน หลังจากผ่านช่วงเวลาคลั่งรักในตอนแรกไป สิ่งที่ตามมากกลับเป็นความพ่ายแพ้และความกดดันที่ทำให้ตนเองรู้สึกต่ำต้อย แล้วยังสายตาทั้งอิจฉาทั้งแปลกประหลาดจากบรรดาเพื่อข้าราชการเหล่านั้นอีก…
“คนในห้องเจ้าผู้นั้น รีบไล่นางออกไปเดี๋ยวนี้” เมื่อเรียกสติกลับมาได้ เยี่ยเหวินหวาก็มองหน้าหวังซื่อที่นัยน์หน้าเจือแววยินดี พลางเอ่ยเสียงเย็นขึ้น
“อะไรนะ!” หวังซื่ออึ้งไป ก่อนจะร้องเสียงหลงขึ้นทันที