ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 335-2 เยี่ยเย่ว์
หวังซื่อถูกสายตาเขามองจนรู้สึกเย็นวาบในใจ แต่ที่มากกว่ากลับเป็นความโกรธ นางกระแทกของในมือลงบนโต๊ะ ก่อนหวังซื่อจะพูดด้วยความโกรธว่า “ในเมื่อนายท่านรู้แล้ว เหตุใดถึงยังจะให้ข้าไล่นางออกไปอีก! ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่า…ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่าหากให้ตำหนักติ้งอ๋องรู้เรื่องนี้…” เยี่ยเหวินหวาตัดบทนางด้วยความรำคาญ “ในเมื่อเจ้ารู้อย่างนี้ ก็ไม่ควรพานางมาด้วยแต่แรก เมื่อก่อนอยู่ที่บ้านเดิมไม่มีใครยุ่งอะไรกับเจ้า แต่เจ้าคิดว่าในเมืองหลีนี้จะยังไม่มีคนรู้หรือ คนที่เคยพบนางมีอยู่ไม่มา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย!” ยังดีที่เมื่อไม่ตาย ตัวเยี่ยเย่ว์เองก็หลบซ่อนตัวอย่างดีอย่างรู้อันใดควรไม่ควร นอกจากนี้นางเข้าวังเร็ว คนที่เคยได้พบนางจึงมีอยู่เพียงไม่กี่คน เกรงว่าไม่อย่างนั้นคงถูกคนจำได้ไปแล้ว เยี่ยเหวินหวาย่อมรู้ว่าในจวนเยี่ยมีคนของตำหนักติ้งอ๋องลอบจับตาดูอยู่ และด้วยเพราะเหตุนี้ เยี่ยเย่ว์จึงยิ่งจะอยู่ในจวนไม่ได้
หลายปีมานี้ น้อยครั้งนักที่เยี่ยเหวินหวาจะแสดงความโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ออกมา เยี่ยหวังซื่อจึงอดอึ้งไปไม่ได้ พักใหญ่ถึงได้พูดปนสะอื้นขึ้นว่า “นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ หากไม่ตามพวกเรามาด้วย นางจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร แล้วไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ หากพวกเราไปที่เจียงหนานแต่แรก อย่างไรก็ดีกว่ามีชีวิตอย่างกินไม่อิ่ม หิวไม่ตายอยู่ที่นี่เช่นนี้” ทุกวันนี้ที่ไหนก็มีแต่ความวุ่นวายจากสงคราม ต่อให้เป็นตามปกติสตรีอ่อนแอคนหนึ่งคิดจะเดินทางจากบ้านเดิมไปยังเจียงหนานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว นับประสาอะไรกับสภาพการณ์เช่นในตอนนี้ น่ากลัวว่าระหว่างเดินทาง พอไม่ทันระวังตัว ต่อให้ไม่ได้พบเจอกับสงคราม ก็อาจถูกพวกโจรป่าจับตัวไประหว่างทาง ถึงยามนั้นจะยิ่งตายทั้งเป็นยิ่งกว่านี้
เยี่ยเหวินหยายิ้มเย็นให้แก่ความใสซื่อของสตรีตรงหน้า เดิมทีที่ตระกูลเยี่ยถูกไทเฮาและฮ่องเต้จับแกว่งไปไกวมาตามใจก็ทำให้ม่อจิ่งหลีไม่พอใจอย่างมากแล้ว ต่อมายังปกปิดเรื่องที่เยี่ยอิ๋งตั้งครรภ์และเก็บนางไว้ในเมืองหลวงจนทำให้เยี่ยอิ๋งถูกกักบริเวณ เด็กที่เกิดมาก็ถูกสับเปลี่ยนจนไม่รู้ไปอยู่เสียที่ไหน หนำซ้ำม่อจิ่งหลียิ่งเป็นคนจิตใจคับแคบ จะให้เยี่ยเหวินหวาเชื่อว่าเขาจะปฏิบัติต่อตระกูลเยี่ยด้วยดี คงต้องรอให้เขาสมองมีปัญหาเสียก่อนแล้ว แต่หวังซื่อกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ “ไม่ว่าอย่างไร เย่ว์เอ๋อร์ก็เป็นบุตรสาวของนายท่าน หรือนายท่านจะใจไม้ไส้ระกำขนาดอยากให้เย่ว์เอ๋อร์ตายตกไปเสีย! ขอเพียงผ่านช่วงหลายวันนี้ไปได้ หลีอ๋องรับปากแล้วว่าจะพาพวกเรากลับไปเจียงหนานด้วย ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไม่ต้องคอยรับอารมณ์ใครอยู่ที่เมืองหลีอีก หรงเอ๋อร์ก็จะต้องได้มีหน้ามีตา ถึงตอนนั้นตระกูลเยี่ยของพวกเราจะต้องกลับมารุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อนเป็นแน่ เช่นนี้แล้วมีอันใดไม่ถูกต้องหรือ ตอนนี้ในใจนายท่านคิดถึงแต่เยี่ยหลี แต่นางทำอันใดให้กับตระกูลเราบ้าง ไม่ใช่ว่าสนใจแต่ความสุขของตนเองจนไม่สนใจคนเป็นบิดาอย่างท่านหรอกหรือ อย่างไรก็มีแต่เย่ว์เอ๋อร์ของข้าที่คิดเผื่อตระกูลของพวกเรา”
“โง่เง่า!” เยี่ยเหวินหวาสบถด่าด้วยความไม่สบอารมณ์ นางถึงขั้นเชื่อว่าม่อจิ่งหลีจะพาทุกคนในตระกูลเยี่ยไปด้วย ไม่คิดบ้างว่าด้วยนิสัยของม่อจิ่งหลี การที่อยู่ๆ มาพาคนจำนวนมากขนาดนี้ไปพร้อมกันด้วย จะไม่ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องรู้สึกสงสัย
“เจ้าจะคิดอย่างไรข้าไม่สน ข้าไม่ได้มีแผนจะไปที่เจียงหนานแต่แรกแล้ว” เยี่ยเหวินหวาเอ่ย
ครานี้เยี่ยหวังซื่อจึงนิ่งอึ้งไปจริงๆ แน่นอนว่าความมั่งคั่งรุ่งเรืองนั้นสำคัญและบุตรสาวก็สำคัญมากเช่นกัน แต่สิ่งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่ามีเยี่ยเหวินหวาอยู่ด้วย เยี่ยหวังซื่อยังรู้จักบุตรชายของตนดีอยู่หลายส่วน เขายังช่วยพยุงตระกูลเยี่ยเอาไว้ไม่ได้ หากเยี่ยเหวินหวาไม่ยอมไปเจียงหนาน ต่อให้พวกเขาพากันไปทั้งหมด ก็คงอยู่ที่เจียงหนานได้เพียงไม่กี่วันเป็นแน่ ต่อให้หวังซื่อชื่นชอบการวางแผนอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วนางก็เป็นเพียงสตรีในเรือนที่ไม่ค่อยได้พบเจอโลกภายนอก การจะให้นางละทิ้งสามีแล้วตามบุตรสาวไปเช่นนี้ นางไม่กล้าทำและทำไม่ได้อีกด้วย
“เพราะเหตุใด!” เยี่ยหวังซื่อกรีดร้องออกมาอย่างสุดจะทน “ท่านชอบอยู่ที่เมืองหลีถึงเพียงนี้เชียวหรือ มีชีวิตอยู่ด้วยการยืมจมูกผู้อื่นหายใจเช่นนี้น่ะหรือ ไปที่เจียงหนานมีอันใดไม่ดีกัน ถึงยามนั้นตระกูลเยี่ยก็จะเป็นเหมือนเช่นเมื่อก่อนที่ใครๆ ต่างต้องให้ความเคารพและนึกอิจฉา หรือว่าเช่นนั้นไม่ดีกว่าการที่ท่านอยู่ในเรือนผุๆ พังๆ เช่นนี้”
“หุบปาก!” เยี่ยเหวินหวาตะคอกเสียงเข้ม
“ท่านยังคิดถึงนังสารเลวคนนั้นใช่หรือไม่!” ในที่สุดหวังซื่อก็ทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์ออกมา ตระกูลมารดาของนางถึงแม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่นางก็ถือเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่ ครานั้นที่แต่งงานเข้ามาเป็นอนุของตระกูลเยี่ยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่น่าเสียดาย เพียงแต่คนที่เป็นฮูหยินของตระกูลเยี่ยในยามนั้นกลับเป็นคนที่ทำให้นางแม้แต่จะนึกริษยาก็ยังทำไม่ได้ เมื่อตัวนางกับอีกฝ่ายต่างกันมากเกินไป นางจึงไม่มีแม้คุณสมบัติให้นึกริษยา เหลือเพียงความรู้สึกต้อยต่ำเท่านั้น ถึงแม้เยี่ยเหวินหวาจะรักใคร่นางมาโดยตลอด แต่นางรู้ดีว่าตนเองเทียบสวีซื่อไม่ได้ ทุกครั้งที่เยี่ยเหวินหวามองสวีซื่อ ถึงแม้นัยน์ตาเขาแม้แต่นางก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงความรัก แต่ก็ยิ่งเป็นเหมือนเข็มพิษที่ปักอยู่ในใจของนาง แม้สวีซื่อจะตายไปนานแล้วก็ยังไม่อาจถอนออกมาได้ ช่างน่าขำนัก ไม่ใช่ว่าเยี่ยเหวินหวาไม่ชอบพอสวีซื่อ แต่เขาไม่กล้ารู้สึกชอบ เพราะแม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้ว่าตนไม่คู่ควรกับภรรยาของตนเอง
“เพี๊ยะ!” ดูเหมือนเยี่ยเหวินหวาจะถูกทำให้โกรธเสียแล้ว เขาสะบัดตบหน้าหวังซื่ออย่างไม่ออมแรงสักนิด หวังซื่อไม่ทันยืนให้ดีจึงถูกตบจนลงไปล้มฟุบอยู่กับพื้นทั้งอย่างนั้น นางอึ้งไปพักหนึ่งก่อนในที่สุดจะร้องไห้เสียงดังออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“นี่มันอะไรกัน” ด้านนอกประตูมีเสียงเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าดังลอยเข้ามา
เยี่ยเหวินหวาส่งเสียงหึเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนหันไปพูดทางประตูว่า “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร” สายตาพอมองเห็นคนที่ประคองเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เบือนสายตาออกไป
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วพูดด้วยความไม่พอใจว่า “หากข้าไม่มา พวกเจ้าคงทะเลาะกันเอะอะจนพังไปทั้งจวนใช่หรือไม่ นี่กำลังทำอะไรกันอยู่” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจับมือเยี่ยเย่ว์ที่ประคองเข้ามาพลางก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ก่อนเยี่ยเย่ว์จะหันไปปิดประตูห้องหนังสือกลับลงอีกครั้งหนึ่ง
“ฮูหยินผู้เฒ่า…เย่ว์เอ๋อร์…” หวังซื่อพอเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากับบุตรสาว ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เยี่ยเย่ว์ก้าวเข้ามาพยุงหวังซื่อ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่นี่มันอะไรกัน อยู่ดีๆ เหตุใดถึง…” เยี่ยเหวินหวาส่งเสียงเหอะเย็นๆ ทีหนึ่ง “เจ้ายังรู้หรือว่าข้าเป็นพ่อ” เยี่ยเย่ว์อึ้งไป ก่อนจะเผยรอยยิ้มว่าง่ายขึ้นมาบนใบหน้า “ลูกรู้ว่าที่ปิดบังท่านพ่อมาตลอดเป็นลูกที่ทำไม่ถูก แต่เรื่องนี้แท้จริงแล้วเป็นเพราะ…ท่านพ่อก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในฉู่จิงเมื่อครานั้น ไม่ใช่เพราะลูกต้องการทำร้ายน้องสามจริงๆ แต่เพราะไม่ทำไม่ได้ ลูกเองก็จนใจ หลายปีมานี้ลูกก็มีชีวิตอยู่มาไม่ง่าย ขอท่านพ่อได้โปรดอภัยให้ลูกด้วย” คงต้องบอกว่า เรื่องการพูดการจาเมื่อเทียบกับเยี่ยอิ๋งแล้ว เยี่ยเย่ว์เก่งกว่ามากนักและเข้าใจจิตใจคนมากกว่า ต่อให้เยี่ยเหวินหวาใจแข็งดั่งเหล็กกล้า แต่สีหน้าก็อ่อนลงไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว เรื่องในตอนนั้นเขาเองย่อมรู้ดี หากจะบอกว่าเยี่ยเย่ว์คิดเองเออเองนึกอยากจะฆ่าเยี่ยหลีขึ้นมา อย่าว่าแต่เขาจะไม่เชื่อเลย เกรงว่าแม้แต่ตัวเยี่ยหลีเองก็คงไม่เชื่อเช่นกัน ในตอนนั้นตระกูลเยี่ยอยู่ในกำมือของไทเฮา ไทเฮาคิดอยากฆ่าเยี่ยหลี เยี่ยเย่ว์เองก็ถูกบังคับให้ร่วมมือด้วย เขาหันมองท่าทางของเยี่ยเย่ว์อีกครั้ง ถึงแม้รูปโฉมจะยังคงเดิม แต่หากเทียบกับความสวยสดงดงามอันสูงส่งอย่างเมื่อครั้งอยู่ในบ้านตระกูลเยี่ยกับในวังแล้ว นางกลับดูผ่ายผอมและซีดขาวลงไปมาก และด้วยเพราะความซีดขาวและผ่ายผอมนี้เอง ถึงทำให้นางดูแก่กว่าอายุจริงเล็กน้อย นางหลบอยู่แต่ในห้องมานานเพียงนี้ น้อยนักที่จะออกไปไหนทั้งยังไม่เป็นที่สังเกตของใคร ถึงอย่างไรก็ลำบากไม่น้อย
“เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยก็แล้วกัน ไว้มีโอกาสเหมาะๆ ข้าจะหาทางส่งเจ้าออกจากเมืองหลวง แล้วต่อไปเจ้าก็ปิดบังชื่อสกุลแล้วใช้ชีวิตต่อไปก็พอ” ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวที่เขารักและเอ็นดูมาตั้งแต่เล็กๆ เยี่ยเหวินหวาจึงใจอ่อนในที่สุด
เยี่ยเย่ว์อึ้งไป หลุบตาลงด้วยความกลัว “หลีอ๋องรู้ว่าข้าอยู่ในเมืองหลีแล้ว บอกว่าจะพาพวกเราไปที่เจียงหนานด้วย ที่ท่านพอพูดเกรงว่าคงจะ…”
“อยู่ดีๆ เหตุใดม่อจิ่งหลีถึงต้องพาเจ้าไปที่เจียงหนานด้วย” เยี่ยเหวินหวาเอ่ยถามเสียงเย็น แต่ไหนแต่ไรมาม่อจิ่งหลีก็เป็นคนไม่ตื่นเช้าหากไม่มีผลประโยชน์ ความรักใคร่ที่มีต่อเยี่ยอิ๋ง คนมีตาล้วนมองออกว่าไม่ได้มีมากมายสักเท่าไร เมื่ออยู่ๆ มารับปากว่าจะพาเยี่ยเย่ว์ไปที่เจียงหนาน หากจะบอกว่าไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ใครจะไปเชื่อ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ก่อนหน้านี้แม้แต่คนของตำหนักติ้งอ๋องก็ยังไม่รู้ว่าเยี่ยเย่ว์อยู่ในจวน หากไม่ใช่เพราะตัวนางเองตั้งใจแพร่งพรายออกไปให้ม่อจิ่งหลีรู้ ม่อจิ่งหลีจะรู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ที่ไหน